ݺߣ
Submit Search
ประวัติྺองคอมพิวตอร์
•
Download as PPTX, PDF
•
0 likes
•
158 views
P
Pingsdz Pingsdz
Follow
ประวัติྺองคอมพิวตอร์
Read less
Read more
1 of 21
Download now
Download to read offline
More Related Content
ประวัติྺองคอมพิวตอร์
1.
ประวัติྺองคอมพิวตอร์
2.
ความหมายและความเป็ นมา คอมพิวเตอร์ ถ้าแปลกันตรงตัวตามคาภาษาอังกฤษ
จะหมายถึงเครื่ องคานวณ ดังนั้นถ้ากล่าว อย่างกว้าง ๆ เครื่ องคานวณที่มีส่วนประกอบเป็นเครื่ องกลไกหรือเครื่ องไฟฟ้า ต่างก็จัดเป็นคอมพิวเตอร์ ได้ทั้งสิ้น ลูกคิดที่เคยใช้กันในร้านค้า ไม้บรรทัด คานวณ (slide rule) ซึ่งถือเป็นเครื่ องมือประจาตัว วิศวกรในยุคยี่สิบปีก่อน หรือเครื่ องคิดเลข ล้วนเป็นคอมพิวเตอร์ได้ทั้งหมด ในปัจจุบันความหมายของคอมพิวเตอร์จะระบุเฉพาะเจาะจง หมายถึงเครื่ องคานวณ อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถทางานคานวณผลและเปรียบเทียบค่าตามชุดคาสั่งด้วยความเร็วสูงอย่าง ต่อเนื่ องและอัตโนมัติ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้คาจากัดความของ คอมพิวเตอร์ไว้ค่อนข้างกะทัดรัดว่า เครื่ องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทาหน้าที่เสมือนสมองกล ใช้ สาหรับแก้ปัญหาต่าง ๆ ทั้งที่ง่ายและซับซ้อน โดยวิธีทางคณิตศาสตร์
3.
การจาแนกคอมพิวเตอร์ตามลักษณะวิธีการทางานภายในเครื่อง คอมพิวเตอร์อาจ แบ่ง 2
ประเภท 1.แอนะล็อกคอมพิวเตอร์ (analog computer) เป็นเครื่ องคานวณอิเล็กทรอนิกส์ ที่ไม่ได้ใช้ค่าตัวเลขเป็นหลักของการคานวณ แต่จะใช้ค่าระดับแรงดันไฟฟ้าแทน ไม้บรรทัด คานวณ ในปัจจุบันไม่ค่อยพบเห็นแอนะล็อกคอมพิวเตอร์เท่าไรนักเพราะผลการคานวณมี ความละเอียดน้อย ทาให้มีขีดจากัดใช้ได้กับงานเฉพาะบางอย่างเท่านั้น
4.
2.ดิจิทัลคอมพิวเตอร์ (digital computer)
คอมพิวเตอร์ที่พบเห็นทั่วไปในปัจจุบัน จัดเป็น ดิจิทัลคอมพิวเตอร์แทบทั้งหมด ดิจิทัลคอมพิวเตอร์เป็นเครื่ องคานวณอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้งานเกี่ยวกับ ตัวเลข มีหลักการคานวณที่ไม่ใช่แบบไม้บรรทัดคานวณ แต่เป็นแบบลูกคิด
5.
จากอดีตสู่ปัจจุบัน พัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีในช่วง 100 ปีที่ผ่านมาได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งเทคโนโลยีทางด้าน คอมพิวเตอร์ เมื่อ 50 ปีที่แล้วมา มีคอมพิวเตอร์ขึ้นใช้งาน ต่อมาเกิด ระบบสื่อสารโทรคมนาคมสมัยใหม่เกิดขึ้นมากมาย และมีแนวโน้มการพัฒนาอย่างต่อเนื่ อง เรา สามารถแบ่งพัฒนาการคอมพิวเตอร์จากอดีตสู่ปัจจุบัน สามารถแบ่งเป็นยุคก่อนการใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิคส์ และยุคที่เครื่ องคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิคส์
6.
เครื่ องคานวณเครื่ องแรกของโลก
ได้แก่ ลูกคิด มีการใช้ลูกคิดในหมู่ชาวจีนมากกว่า 7000 ปี และใช้ ในอียิปต์โบราณมากกว่า 2500 ปี ลูกคิดของชาวจีนประกอบด้วยลูกปัดร้อยอยู่ในราวเป็นแถวตาม แนวตั้ง โดยแต่ละแถวแบ่งเป็นครึ่งบนและล่าง ครึ่งบนมีลูกปัด 2 ลูก ครึ่งล่างมีลูกปัด 5 ลูก แต่ละแถว แทนหลักของตัวเลข เครื่ องคานวณกลไกที่รู้จักกันดี ได้แก่ เครื่ องคานวณของปาสคาลเป็นเครื่ องที่บวกลบด้วย กลไกเฟืองที่ขบต่อกัน เบลส ปาสคาล (Blaise Pascal) นักคณิตศาสาตร์ชาวฝรั่งเศส ได้ประดิษฐ์ขึ้น ในปี พ.ศ. 2185 เครื่องคานวณในยุคประวัติศาสตร์
7.
คอมพิวเตอร์ในยุคเริ่มแรก ได้แก่ เครื่ องจักรกลหรือสิ่งประดิษฐ์ขึ้นเพื่อช่วยในการ
คานวณ โดยที่ยังไม่มีการ นาวงจร อิเล็กทรอนิกส์ เข้ามาใช้ประโยชน์ร่วมด้วย ลาดับเครื่ องมือขึ้นมามีดังนี้ ในระยะ 5,000 ปีที่ผ่านมา มนุษย์เริ่มรู้จักการใช้นิ้วมือและนิ้วเท้าของตนเพื่อช่วยในการคานวณ และพัฒนา มาใช้อุปกรณ์อื่น ๆ เช่น ลูกหิน ใช้เชือกร้อยลูกหินคล้ายลูกคิด ต่อมาประมาณ 2,600 ปีก่อนคริสตกาล ชาวจีนได้ประดิษฐ์เครื่ องมือเพื่อใช้ในการ คานวณขึ้นมา ชนิดหนึ่ง เรียกว่า ลูกคิด ซึ่งถือได้ว่า เป็นอุปกรณ์ใช้ช่วยการคานวณที่เก่าแก่ที่สุดในโลกและคงยังใช้งานมา จนถึงปัจจุบัน พ.ศ. 2158 นักคณิตศาสตร์ชาวสก็อตแลนด์ชื่อ John Napier ได้ประดิษฐ์อุปกรณ์ใช้ ช่วยการ คานวณขึ้นมา เรียกว่า Napier's Bones เป็นอุปกรณ์ที่ลักษณะคล้ายกับตารางสูตรคูณในปัจจุบัน เครื่ องมือ ชนิดนี้ช่วยให้ สามารถ ทาการคูณและหาร ได้ง่ายเหมือนกับทาการบวก หรือลบโดยตรง
8.
พ.ศ 2185 นักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศลชื่อ
Blaise Pascal ซึ่งในขณะนั้นมีอายุเพียง 19 ปี ได้ ออกแบบ เครื่ องมือในการคานวณโดย ใช้หลักการหมุนของฟันเฟืองหนึ่งอันถูกหมุนครบ 1 รอบ ฟันเฟืองอีก อันหนึ่งซึ่งอยู่ ทางด้านซ้ายจะถูกหมุนไปด้วยในเศษ 1 ส่วน 10 รอบ เครื่ องมือของปาสคาลนี้ถูกเผยแพร่ออก สู่สาธารณะชน เมื่อ พ.ศ. 2188 แต่ไม่ประสบความสาเร็จเท่าที่ควรเนื่ องจากราคาแพง และเมื่อใช้งานจริงจะ เกิดเหตุการณ์ที่ฟันเฟืองติดขัดบ่อยๆ ทาให้ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ค่อยถูกต้องตรงความเป็นจริง เครื่ องมือของปาสคาล สามารถใช้ได้ดีในการคานวณการบวกและลบ ส่วนการคูณและหารยังไม่ดี เท่าที่ควร ดังนั้นในปี พ.ศ. 2216 นักปราชญษชาวเยอรมันชื่อ Gottfriend von Leibnitz ได้ปรับปรุงเครื่ ง คานวณของ ปาสคาลให้สามารถทหการคูณและหารได้โดยตรง โดยที่การคูณใช้หลักการบวกกันหลายๆ ครั้ง และการหาร ก็คือการลบกันหลายๆ ครั้ง แต่เครื่ องมือของ Leibnitz ยังคงอาศัยการหมุนวงล้อ ของเครื่ องเอง อัตโนมัติ นับว่า เป็นเครื่ องมือที่ช่วยให้การคานวณทางคณิตศาสตร์ที่ดูยุ่งยากกลับเป็นเรื่ องที่ง่ายขึ้น
9.
พ.ศ. 2344 นักประดิษฐ์ชาวฝรั่งเศลชื่อ
Joseph Marie Jacquard ได้พยายามพัฒนาเครื่ องทอผ้า โดยใช้บัตรเจาะรูในการบันทึกคาสั่ง ควบคุมเครื่ องทอผ้าให้ทาตามแบบที่กาหนดไว้ และแบบดังกล่าวสามารถ นามา สร้างซ้าๆ ได้อีกหลายครั้ง ความพยายามของ Jacquard สาเร็จลงใน พ.ศ. 2348 เครื่ องทอผ้านี้ถือว่า เป็น เครื่ องทางานตามโปรแกรมคาสั่งเป็นเครื่ องแรก พ.ศ. 2373 Chales Babbage ถือกาเนิดที่ประเทศอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2334 จบการศึกษาทางด้าน คณิตศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ และได้รับตาแหน่ง Lucasian Professor ซึ่งเป็นตาแหน่งที่ Isaac Newton เคยได้รับมาก่อน ในขณะที่กาลังศึกษาอยู่นั้น Babbage ได้สร้างเครื่ อง หาผลต่าง (Difference Engine) ซึ่งเป็นเครื่ องที่ใช้คานวณ และพิมพ์ตารางทางคณิศาสตร์อย่างอัตโนมัติ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2373 เขา ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลอังกฤษเพื่อสร้างเครื่ อง Difference Engine ขึ้นมาจริงๆ
10.
พ.ศ. 2385 ชาวอังกฤษ
ชื่อ Lady Auqusta Ada Byron ได้ทาการแปลเรื่ องราวเกี่ยวกับเครื่ อง Anatical Engine จากภาษาฝรั่งเศลเป็นภาษาอังกฤษ ในระหว่างการแปลทาให้ Lady Ada เข้าใจถึง หลักการทางาน ของเครื่ อง Analytical Engine และได้เขียนรายละเอียดขั้นตอนของคาสั่งให้เครื่ องนี้ทา การคานวณที่ยุ่งยาก ซับซ้อนไว้ในหนังสือทางคณิตศาสตร์เล่มหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โปรแกรมแรกของโลก และจากจุดนี้จึงถือว่า Lady Ada เป็นโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก พ.ศ. 2397 นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ George Boole ได้ใช้หลักพีชคณิตเผยแพร่กฎของ Boolean Algebra ซึ่งเป็นคณิตศาสตร์ที่ใช้อธิบายเหตุผลของตรรกวิทยาที่ตัวแปรมีค่าได้เพียง "จริง" หรือ "เท็จ" เท่านั้น (ใช้สภาวะเพียงสองอย่างคือ 0 กับ 1 ร่วมกับเครื่ องหมายในเชิงตรรกพื้นฐาน คือ AND, OR และ NOT)
11.
พ.ศ. 2423 Dr.
Herman Hollerith นักสถิติชาวอเมริกันได้ประดิษฐ์เครื่ องประมวลผลทางสถิติซึ่ง ใช้กับบัตรเจาะรู เครื่ องนี้ได้รับการพัฒนา ให้ดียิ่งขึ้นและมาใช้งานสารวจสามะโนประชากร ของ สหรัฐอเมริกา ในป พ.ศ. 2433 และช่วยให้การสรุปผลสามะโนประชากรเสร็จสิ้นภายในระยะเวลา 2 ปีครึ่ง (โดยก่อนหน้านั้นต้องใช้เวลาถึง 7 ปีครึ่ง) เรียกบัตรเจาะรูนี้ว่า บัตรฮอลเลอริธ และชื่ออื่นๆ ที่ใช้เรียกบัตรนี้ ก็คือ บัตร ไอบีเอ็ม หรือบัตร 80 คอลัมน์ เพราะผู้ผลิตคือ บริษัท IBM
12.
การกาเนิดของเครื่องคอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2480 ศาสตราจารย์
Howard Aiken แห่งมหาลัยวิทยาลัยฮาวาร์ด ได้พัฒนาเครื่ องคานวณ ตาม แนวคิด ของ Babbage ร่วมกับวิศวะกรของบริษัท IBM สร้างเครื่ องคานวณตามความคิดของ Babbage ได้สาเร็จ โดยเครื่ องดังกล่าวทางานแบบเครื่ องจักรกลปนไฟฟ้า และใช้บัตรเจาะรูเป็นสื่อใน การนาเข้าข้อมูลสู่ เครื่ องเพื่อทาการประมวลผล การพัฒนาดังกล่าวมาเสร็จสิ้นในปี พ.ศ. 2487 โดย เครื่ องมือนี้มีชื่อว่า MARK 1 และเนื่ องจากเครื่ องนี้สาเร็จได้จากการสนับสนุน ด้านการเงินและ บุคลากรจากบริษัท IBM ดังนั้นจึงมีอีกชื่อ หนึ่งว่า IBM Automatic Sequence Controlled Calculator และนับเป็นเครื่ องคานวณแบบอัตโนมัติเครื่ องแรกของโลก
13.
พ.ศ. 2486 ซึ่งเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่
2 ศูนย์วิจัยของกองทัพบกสหรัฐอเมริกามีความจาเป็นที่ จะต้อง คิดค้นเครื่ องช่วยคานวณ เพื่อใช้คานวณหาทิศทางและระยะทางในการส่งขีปนาวุธ ซึ่งถ้าใช้เครื่ อง คานวณที่มี อยู่ในสมัยนั้นจะต้องใช้เวลาถึง 12 ชั่วโมงในการคานวณ การยิง 1 ครั้ง ดังนั้นกองทัพจึงให้กอง ทุนอุดหนุนแก่ John W. Mauchly และ Persper Eckert จากหมาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ในการสร้าง คอมพิวเตอร์ จากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมา โดยนาหลอดสุญยากาศ (Vacuum Tube) จานวน 18,000 หลอด มาใช้ในการสร้าง พ.ศ. 2489 เครื่ องคอมพิวเตอร์ที่ Mauchly และ Eckert คิดค้นขึ้นได้มีชื่อว่า ENIAC ประสบ ความสาเร็จในปี พ.ศ. 2489 ถึงแม้ว่าจะไม่ทันใช้ในสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ความเร็วในการตานวณของ ENIAC ทาให้วงการคอมพิวเตอร์ขณะนั้น ยอมรับความสามารถของเครื่ องคอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ แต่ อย่างไรก็ตาม ENIAC ทางานด้วยไฟฟ้าทั้งหมดทาให้ในการทางานแต่ละครั้งจึงทาให้เกิดความร้อนสูงมาก จาเป็นต้องติดตั้งไว้ในห้องที่มีเครื่ องปรับอากาศด้วย
14.
ความคิดต่อมาในการพัฒนาเครื่ องคอมพิวเตอร์ให้ดีขึ้นก็คือ การค้นหาวิธีการเก็บโปรแกรมไว้ใน เครื่
อง เพื่อลดความยุ่งยาก ของขั้นตอนการป้อนคาสั่งเข้าเครื่ อง มีนักคณิตศาสตร์เชื้อสายฮังการเรียนชื่อ Dr.John Von Neumann ได้พบวิธีการเก็บโปรแกรมไว้ในหน่วยความจาของเครื่ องเช่นเดียวกับการเก็บ ข้อมูลและต่อวงจรไฟฟ้า สาหรับการคานวณ และการปฏิบัติการพื้นฐาน ไว้ให้เรียบร้อยภายในเครื่ อง แล้ว เรียกวงจรเหล่านี้ด้วยรหัสตัวเลขที่กาหนดไว้
15.
เครื่องคอมพิวเตอร์ในแต่ละยุค คอมพิวเตอร์ยุคที่ 1 (พ.ศ.
2497-2501) คอมพิวเตอร์ในยุคนี้ใช้หลอดสูญญากาศ (Vacuum tube) เป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ เครื่ องยังมี ขนาดใหญ่มาก ใช้กระแสไฟฟ้าจานวนมาก ทาให้เครื่ องมีความร้อนสูงจึงมักเกิดข้อผิดพลาดง่าย คอมพิวเตอร์ในยุคนี้ได้แก่ UNIVAC I , IBM 600 คอมพิวเตอร์ยุคที่ 2 (พ.ศ. 2502-2507 ) คอมพิวเตอร์ยุคนี้ใช้ทรานซิสเตอร์ (Transistor) เป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ และใช้วงแหวนแม่เหล็กเป็นหน่วยความจา คอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กกว่ายุค แรก ต้นทุนต่ากว่า ใช้กระแสไฟฟ้าและมีความแม่นยามากกว่า
16.
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 3 (พ.ศ.
2508-2513) คอมพิวเตอร์ยุคนี้ใช้วงจรไอซี (Integrated Circuit) เป็นสาร กึ่งตัวนาที่สามารถบรรจุวงจรทางตรรกะไว้แล้วพิมพ์บนแผ่นซิลิกอน(Silicon) เรียกว่า "ชิป" คอมพิวเตอร์ยุคที่ 4 (พ.ศ. 2514-2523) คอมพิวเตอร์ยุคนี้ใช้วงจร LSI (Large-Scale Integrated Ciruit) เป็นการรวมวงจรไอซีจานวนมากลงในแผ่นซิลิกอนชิป 1 แผ่น สามารถ บรรจุได้มากกว่า 1 ล้านวงจร ด้วยเทคโนโลยีใหม่นี้ทาให้เกิดแนวคิดในการบรรจุวงจรที่สาคัญ สาหรับการทางานพื้นฐานของคอมพิวเตอร์นั่นคือ CPU ลงชิปตัวเดียว เรียกว่า "ไมโครโปรเชส เซอร์" คอมพิวเตอร์ยคุที่ 5 (พ.ศ. 2524-ปัจจุบัน) คอมพิวเตอร์ยุคนี้ใช้วงจร VLSI (Very Large-Scale Integrated Ciruit) เป็นการพัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์ให้ มีประสิทธิภาพมากขึ้น
17.
ก่อกาเนิด ไมโครโปรเซสเซอร์ เมื่อก่อนนั้น Intel
เป็นบริษัทผลิตชิปไอซี แห่งหนึ่งที่ไม่ใหญ่โตมากนักเท่าในปัจจุบัน เมื่อปี ค.ศ.1969 ได้สร้างความ สะเทือน ให้กับวงการอิเล็คทรอนิคส์ โดยการออกชิปหน่วยความจา(Memory)ขนาด 1 Kbyte มาเป็นรายแรก บริษัทบิสซิคอมพ์(Busicomp) ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่ องคิดเลขของญี่ปุ่ญได้ทาการว่าจ้างให้ Intel ทาการผลิตชิป ไอซี ที่บิสซิคอมพ์เป็นคนออกแบบเองที่มีจานวน 12 ตัว หมายถึงว่า สามารถนาเอาชุดคาสั่งของการคานวณไปเก็บ ไว้ใน หน่วยความจาก่อนแล้วให้ไอซีตัวนี้อ่านเข้ามาแปล ความหมาย และทางานภายหลัง ในปี 1971 Intel ได้นาผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด โดยใช้ชื่อทางการค้าว่า Intel 4004 ในราคา 200 เหรียญสหรัฐ และเรียกชิปนี้ว่าเป็น ไมโครโปรเซสเซอร์ หลังจาก 1 ปีต่อมา Intel ได้ออก ไมโครโปรเซสเซอร์ ขนาด 8 บิต ออกมาโดยใช้ชื่อว่า 8008 มีชุดคาสั่ง 48 คาสั่ง และอ้างหน่วยความจาได้ 16 Kbyte ซึ่งทาง Intel หวังว่าจะเป็น ตัวกระตุ้นตลาดทางด้านชิปหน่วยความจาได้อีกทางหนึ่ง เมื่อปี 1973 ทาง Intel ได้ออก ไมโครโปรเซสเซอร์ 8080 ที่มีชุดคาสั่งพื้นฐาน 74 คาสั่งและสามารถอ้าง หน่วยความจาได้ 64 Kbyte
18.
ถึงยุค Z80 เมื่อเดือน พฤศจิกายนปี
1974 ได้มี วิศวกรของ Intel บางคนได้ออกมาตั้งบริษัทผลิตชิปเอง โดยมี ชื่อว่า ไซล๊อก (Zilog) เนื่ องจาก วิศวกรเหล่านี้ ได้มีส่วนร่ามในการผลิตชิป 8080 ด้วยจึงได้นาเอาเทคโนโลยี การผลิดนี้มาสร้างตัวใหม่ที่ดีกว่า มีชื่อว่า Z80 ยังคงเป็น ชิปขนาด 8 บิต เมื่อได้ออกสู่ตลาดได้รับความนิยม เป็นอย่างมาก เนื่ องจากได้ปรับปรุงข้อบกพร่องต่าง ๆ ที่มีอยู่ใน 8080 จึงทาให้เครื่ องคอมพิวเตอร์ หลายต่อ หลายยี่ห้อ หันมาใช้ชิป Z80 กัน
19.
Computer เครื่องแรกของ IBM ในปี
1975 ไอพีเอ็ม ได้ออกเครื่ องไมโครคอมพิวเตอร์ เครื่ องแรกออกมา แต่ทางไอบีเอ็มได้เรียกเครื่ องนี้ว่า เป็น เทอร์มินัลแบบชาญฉลาด ที่สามารถโปรแกรมได้(Intelligent Programmable Terminal) และตั้งชื่อรุ่นว่า Model 5100 มีหน่วยความจา 16 Kbyte แล้วยังมีตัวแปลภาษาเบสิก แบบอินเตอร์พรีทเตอร์ (Interpreter) ด้วย และมี ไดรฟ์สาหรับใส่คาร์ทิดจ์เทปในตัว แต่ก็ยังขายไม่ดีเอามาก ๆ เลย เพราะว่าตั้งราคาไว้สูงมากถึง 9,000 เหรียญสหัฐ ในปลายปี 1980 บริษัทไอบีเอ็มได้เกิดแผนกเล็ก ๆ ขึ้นมาแผนกหนึ่งเรียกว่า Entry Systems Division ภายใต้ทีมของคนชื่อว่า ดอน เอสทริดจ์ (Don Estridge) และนักออกแบบอีก 12 คน โดยได้รับมอบหมายให้พัฒนา เครื่ องไมโครคอมพิวเตอร์เครื่ องแรกของไอบีเอ็มโมเด็ล 5100 นั้นเอง โดยนาเอาจุดเด่นของเครื่ อง ที่ขายดีมารวมไว้ ในการออกแบบเครื่ องไมโครคอมพิวเตอร์ของไอบีเอ็ม และผลิตจาหน่ายได้ภายในปีเดียวภายใต้ชื่อว่า ไอบีเอ็มพีซี (IBM PC) ซึ่งถูกเปิดตัวในเดือน สิหาคม ปี 1981 และยอดขายของเครื่ องพีซีก็ได้พุ่งอย่างรวดเร็ว ทาให้บริษัทอื่น ๆ จับตามอง
20.
video https://www.youtube.com/watch?v=85hCYN3A_XY ที่มา https://sites.google.com/site/non537/home/prawa ti
21.
ผู้จัดทา 2.นางสาว ณัฐวรรณ ต่อกิจการเจริญ
ชั้น ม.5/1 เลขที่ 34 1.นางสาว ฐิติพร โพธิ์เตียน ชั้น ม.5/1 เลขที่ 33
Download