ݺߣ

ݺߣShare a Scribd company logo
แสงและการมอง๶ห็น - เลเซอร์
By Ploy_V
เลเซอร์ คืออะไร
•
•

•
•
•
•
•

Laser ย่อมาจากคาว่า light amplification by stimulated emission of radiation
ในทางฟิสิกส์ คือ อุปกรณ์ที่ให้กาเนิดลาแสง ที่มีลักษณะเฉพาะ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่รวมกันระหว่างกลศาสตร์ควอนตัมกับอุณ
หพลศาสตร์ ซึ่งพลังงานแสงเลเซอร์ สามารถมีคุณสมบัติได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ในการออกแบบ
เลเซอร์ส่วนมากจะเป็นลาแสงที่มขนาดเล็ก มีการเบี่ยงเบนน้อย (low-divergence beam)
ี
สามารถระบุความยาวคลืนได้ง่าย โดยดูจากสีของเลเซอร์ ถ้าอยู่ในสเป็กตรัมที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า (visible
่
spectrum) ซึ่งเลเซอร์นี้อาจกล่าวได้ว่า เป็นการรวมพลังงานแสงที่ส่งออกมาจากหลายความยาวคลื่นเข้าด้วยกัน
การให้พลังงานผ่านทางสือนาแสง ซึ่งสื่อนาแสงอาจเป็นได้ทั้งของแข็ง ของเหลว ก๊าซ หรืออิเล็กตรอนอิสระที่มีคุณสมบัติ
่
สามารถนาแสงได้ ในรูปแบบที่ง่ายที่สุด
การค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับเลเซอร์ เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 1960 โดย ทีโอดอร์ ไมแมน (Theodore
Maiman) ที่สถาบันวิจัย ฮิวจ์ (Hughes Research Laboratories)
กลไกพื้นฐานของเลเซอร์ ได้แก่ การเปล่งแสงแบบถูกเร้า และ การขยายสัญญาณแสง
ความเป็นมาของเลเซอร์
• ผู้ที่คิดค้นเลเซอร์ได้คือ ซี.เอช. ทาวน์ส (C.H. Townes) ใน
ปี ค.ศ. 1954 โดยได้เสนอเป็นหลักการหรือทฤษฎีเลเซอร์ไว้
ซี.เอช.ทาวน์ส ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี ค.ศ. 1954
สาหรับการคิดค้นเรื่องเลเซอร์นี้เอง
• แมแมน (Maiman) เป็นผู้ที่พิสูจน์ทฤษฎีเลเซอร์ของ C.H.
Townes ได้สาเร็จ โดยการประดิษฐ์เลเซอร์ตัวแรกของโลกขึ้น
เป็นเลเซอร์ที่ทาทับทิม (Ruby Laser) ซึ่งเป็นของแข็งในปี
ค.ศ. 1960
• ในปีเดียวกันนั้นเอง จาแวน (Javan) ก็ได้ประดิษฐ์เลเซอร์
ทีทาจากก๊าซฮีเลียม-นีออนได้เป็นผลสาเร็จ จากนั้นจึงมีการ
่
พัฒนาเลเซอร์ชนิดต่างๆ อีกมากมาย ทั้งที่ทาจากของแข็ง
ของเหลว ก๊าซ และสารกึงตัวนา
่
ทฤษฎี → เลเซอร์

ค.ศ. 1954 C.H. Townes คิดค้น
ทฤษฎีเลเซอร์

ค.ศ. 1960 Maiman พิสูจน์ทฤษฎี
เลเซอร์และประดิษฐ์เลเซอร์ตัวแรก
ของโลกขึ้น คือเลเซอร์ทับทิม ซึ่ง
เป็นของแข็ง

ในปีเดียวกัน Javan ประดิษฐ์
เลเซอร์ที่ทาจากก๊าซฮีเลียม-นีออน
การเปล่งแสงแบบถูกเร้า (Stimulated Emission)
•

ระบบอะตอมหรือโมเลกุลที่ใช้ทาเลเซอร์จะมีชั้นพลังงานต่างๆ อยู่ โดยที่มีชั้นพลังงานทีjเกี่ยวข้องกับการเกิดแสงเลเซอร์อยู่ ๒
ชั้นพลังงาน โดยปกติอะตอมหรือโมเลกุลจะอยู่ที่ชั้นพลังงานต่า (E1) เสมอ เพราะมีเสถียรภาพกว่าเมื่อมีการป้อนพลังงานให้แก่
ระบบอะตอมหรือโมเลกุล เช่น การฉายแสงที่มีพลังงานที่พอดีกับผลต่างระหว่างชั้นพลังงานทั้งสอง (E2 - E1) อะตอมและ
โมเลกุลจะถูกกระตุ้นให้ขนไปอยู่ที่ชั้นพลังงานที่สูงกว่า (E2) ปรากฏการณ์เช่นนี้คือ การดูดกลืนแสง (Absorption)
ึ้

•

เมื่ออะตอมหรือโมเลกุลมีพลังงานสูงขึ้นเนื่องจากการดูดกลืนแสงแล้ว จะคงสภาพเช่นนันได้ด้วยระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เพราะ
้
สถานะทีพลังงานสูง (E2) นี้ไม่เสถียร เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง อะตอมและโมเลกุลเหล่านั้นก็จะตกกลับมาอยู่ที่ชั้นพลังงานต่า
่
(E1) ตามเดิม โดยคายพลังงานออกมาเท่ากับผลต่างระหว่างชั้นพลังงานทั้งสอง (E2 - E1) หรือเปล่งแสงกลับออกมานั่นเอง การ
เปล่งแสงเช่นนี้เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติของอะตอมและโมเลกุลนั้นๆ จึงเรียกปรากฏการณ์ เช่นนี้ว่า การเปล่งแสงแบบเกิดขึ้นเอง
(Spontaneous Emission)

•

การเปล่งแสงแบบถูกเร้า (Stimulated Emission) ซึ่งเป็นกลไกหลักของเลเซอร์นั้น เริ่มต้นจากการดูดกลืนแสง เพื่อให้อะตอม
หรือโมเลกุลขึ้นไปอยู่ที่ชั้นพลังงานสูงเช่นกัน แทนที่จะให้อะตอมหรือโมเลกุลตกลงมาเอง เมื่อเวลาผ่านไปจะมีการฉายแสงเข้า
ไปในระบบอะตอมหรือโมเลกุลที่มีพลังงานเท่ากับผลต่างของชั้น พลังงานทั้งสอง (E2 - E1) แต่แสงที่ฉายเข้าไปนี้ ไม่ถูกดูดกลืน
โดยระบบฯ แสงนี้เร่งเร้าให้อะตอมหรือโมเลกุลคายพลังงานก่อนเวลา แสงที่เปล่งออกมากับแสงที่เร้าจึงออกมาจากระบบพร้อม
กันมีพลังงานเท่ากัน และมีความพร้อมเพรียงกันทั้งทิศทางการเคลื่อนที่และเฟสของคลื่นแสง
Laser
การขยายสัญญาณแสง (Light Amplification)
• เมื่อเกิดการเปล่งแสงแบบถูกเร้าในเนื้อวัสดุที่ใช้ทาเลเซอร์ โดยที่อะตอมหรือโมเลกุลของเนื้อวัสดุนั้นอยู่ในสภาพถูกกระตุ้น
(Excited States) แสงที่เคลื่อนที่ผ่านเนื้อวัสดุนั้น จะเร้าให้เกิดการคายแสงมากขึ้นตามลาดับ ความเข้มของแสงจึงเพิ่มขึ้น ในทาง
ควันตัมฟิสิกส์ (Quantum Physics) ได้มีการนิยามว่า แสงคือก้อนพลังงานเรียกว่า โฟตอน (Photon) เมื่อโฟตอนเคลื่อนที่ผ่านเนื้อวัสดุ
ทีอยู่ในสภาพถูกกระตุ้น จานวนโฟตอนจะเพิ่มขึ้นตามลาดับ
่

• จานวนโฟตอนที่เกิดขึ้นจากการเปล่งแสงแบบถูกเร้านี้จะต้องมีมากพอ จึงจาเป็นต้องมีการขยายสัญญาณแสง โดยให้แสงวิ่ง
กลับไปกลับมาผ่านเนื้อวัสดุเลเซอร์หลายๆ ครั้ง โดยใช้กระจก 2 ชิ้น ที่วางขนานกันที่ปลายทั้งสองเพื่อสะท้อนแสงกลับไปมา กระจก 2
ชิ้นที่ขนานกันนี้เรียกว่า แควิตี้แสง (Optical Cavity) ซึ่งทาหน้าที่ขยายสัญญาณแสงเพื่อให้มีความเข้มสูงจนเกิดเกน (Gain) เอาชนะ
ความสูญเสีย (Loss) ของระบบและได้ลาแสงเลเซอร์พุ่งออกทางด้านกระจกที่มีการสะท้อนแสงไม่ถึง 100%
Laser
องค์ประกอบของเลเซอร์
เลเซอร์โดยทั่วไปประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 3ส่วน ได้แก่
1. เนือวัสดุที่ใช้เป็นตัวกลำงเลเซอร์ (Laser Medium)
้
2. กำรปั๊มพลังงำนให้แก่เนื้อวัสดุทเี่ ป็นตัวกลำงเลเซอร์ให้มสภำพถูกกระตุ้น (Energy Pumping)
ี
3. แควิตแสงเพือขยำยสัญญำณแสง
ี้
่
คุณสมบัติโคฮีเร้นท์ของแสงเลเซอร์
แสงเลเซอร์เกิดขึ้นจากการเปล่งแสงถูกเร้าโฟตอนจึงมีความเป็นระเบียบสูง คลื่นแสงมีลักษณะที่พร้อมเพรียงกัน และเมื่อมีการขยายสัญญาณแสงด้วย
แควิตี้แสง โฟตอนจึงมีจานวนมาก หรือแสงมีความเข้มสูง และวิ่งในทิศทางที่แน่นอน คือตั้งฉากกับกระจกที่ใช้ทาเป็นแควิตี้เท่านั้น จึงมีลักษณะเป็น
ลาแสง หากเปรียบเทียบกับกองทหาร ก็เป็นหน่วยทหารที่มีระเบียบเดินแถวเป็นหน้ากระดานด้วยจังหวะการเดินที่พร้อมเพรียงกัน และก้าวเท่าๆ กัน
เดินไปในทิศทางเดียวกัน
แสงเลเซอร์มีคุณสมบัติหลักๆ 4 ประการ คือ
1. เป็นแสงสีเดียว (มีค่าความยาวคลื่นเดียว)
2. มีเฟสเดียวกัน (มีหน้าคลื่น)
3. มีทิศทางแน่นอน (เป็นลาแสง)
4. มีความเข้มสูง (จานวนโฟตอนต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่สูง)
คุณสมบัติทั้ง 4 นี้เรียกรวมๆ กันว่า คุณสมบัติโคฮีเร้นท์ (Coherent) เลเซอร์จึงเป็นแหล่งกาเนิดแสงแบบโคฮีเร้นท์ (Coherent Light Source)
นั่นเอง จุดเด่นทั้ง 4นี้มีส่วนสาคัญที่ทาให้แสงเลเซอร์เกิดประโยชน์ในด้านประยุกต์ เช่น การที่แสงเลเซอร์มีค่าความยาวคลื่นที่แน่นอนจึงทาให้เลเซอร์
ถูกใช้เป็นมาตรฐาน และใช้ในงานที่ต้องการความแม่นยาสูง ได้แก่ การวัดระยะทางหน้าคลื่นที่เป็นระเบียบของแสงเลเซอร์ถูกนามาใช้เพื่อบั นทึกข้อมูล
ของภาพสามมิติ ลักษณะเป็นลาแสงมีประโยชน์ต่อการนาร่อง การสื่อสารและความเข้มสูงของแสงเลเซอร์ มีที่ใช้งานด้านเจาะตัด เชื่อมวัสดุได้ รวมทั้ง
การผ่าตัดด้วยแสงเลเซอร์ในด้านการแพทย์อีกด้วย
การประยุกต์ใช้งาȨลเซอร์
การประยุกต์ใช้งาȨลเซอร์
เลเซอร์เป็นแหล่งกาเนิดแสงที่มีคุณสมบัติเด่น คือเป็นคลื่นแสงที่มีระเบียบ มีลักษณะเป็นลาแสง ความเข้มแสงสูง จึงมีศักยภาพใน
ด้านประยุกต์มากมาย ได้แก่
• การใช้เลเซอร์เพื่อเจาะ ตัด เชื่อม เลเซอร์เป็นแสงที่มีความเข้มสูง และเป็นลาแสงเมื่อโฟกัสมีขนาดเล็กจะสามารถเจาะตัด เชื่อม
วัสดุต่างๆ ได้ รูปที่เจาะ รอยตัด รอยเชื่อม จะมีขนาดเล็กและคมชัดมาก ทาให้สามารถทางานที่มีความละเอียดสูงได้ เลเซอร์ที่ใช้งาน
ต้องมีกาลังสูง เช่น เลเซอร์คาร์บอนไดออกไซด์ และเลเซอร์แย็ค

• การใช้เลเซอร์ด้านการแพทย์ เลเซอร์ถูกนามาใช้ในการผ่าตัดและรักษาทางด้านการแพทย์และจักษุแพทย์ เช่น
การผ่าตัดที่มีขนาดเล็ก (Microsurgery) การผ่าตัดต้อ เป็นต้น เลเซอร์ที่ใช้ ได้แก่ เลเซอร์คาร์บอนไดออกไซด์ เลเซอร์อาร์กอน
• การใช้เลเซอร์ด้านสื่อสารโทรคมนาคม เลเซอร์ไดโอดถูกนามาใช้เป็นตัวส่งสัญญาณผ่านเส้นใยแก้วนาแสง เพื่อใช้ถ่ายทอด
สัญญาณโทรทัศน์ โทรศัพท์ ข้อมูลคอมพิวเตอร์ อย่างกว้างขวาง สื่อสารโทรคมนาคมด้วยแสงเลเซอร์นี้มีจุดเด่นที่จะไม่มีสัญญาณ
รบกวนเพราะเป็นคลื่นแสง มีความจุข้อมูลสูงมากเพราะมีความถี่สูงกว่าคลื่นวิทยุ ทาให้เส้นใยแก้วนาแสงเส้นหนึ่งสามารถจุคู่
สายโทรศัพท์ได้เป็นพันๆ คู่สาย
ปัจจุบันประเทศไทยเริ่มใช้เส้นใยแก้วนาแสงในการสื่อสารโทรคมนาคมแล้ว โดยการวางเครือข่ายเส้นใยแก้วนาแสงคู่ขนานไป
กับทางรถไฟทั่วประเทศแล้วกว่า 3,000 กม.
• การใช้เลเซอร์ทางด้านสร้างภาพสามมิติ เลเซอร์มีความเป็นระเบียบของคลื่นแสงดังนั้นจึงสามารถบันทึกข้อมูลของภาพสามมิติ
ได้เพราะบันทึกทั้งความเข้มแสงและเฟส (หน้าคลืน)ของแสงด้วย ภาพที่บันทึกจึงมีข้อมูลเกี่ยวกับความลึกของภาพด้วย ทาให้ได้ภาพ
่
สามมิติเรียกว่า โฮโลกราฟี (Holography) การบันทึกภาพสามมิตินี้ต้องกระทาบนโต๊ะแสง (Optical Bench)เพื่อขจัดปัญหาการ
สั่นสะเทือน คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้พัฒนาเทคนิคการบันทึกภาพสามมิติเชิงซ้อน และนาภาพสามมิติ
เชิงซ้อนดังกล่าวมาประยุกต์เป็นกุญแจแสง (Optical key) และบัตรประจาตัว (Holographic Identification) ซึ่งเป็นผลงานที่
จดสิทธิบัตร
เลเซอร์ที่ใช้ในงานสร้างภาพสามมิตินี้ต้องมีคุณภาพดี เช่น เลเซอร์ฮีเลียม-นีออน และเลเซอร์อาร์กอน ที่มีเสถียรภาพและ
โหมดเดี่ยว (Single Mode)
• การใช้เลเซอร์ในด้านการวัด เลเซอร์มีคาความยาวคลื่นคงที่ และเป็นลาแสงขนาน จึงถูกนามาใช้เป็นมาตรฐานการวัดที่ละเอียด
่
แม่นยา เช่น การวัดขนาดของสิ่งของการวัดระยะทางทั้งใกล้และไกล โดยอาศัยหลักการของการสอดแทรก เช่น อินเทอเฟโรเมตรี
(Interferometry) หลักการการสะท้อนของคลื่นแสงที่เป็นพัลส์ และหลักการเกิดการเคลื่อนของเฟส (Phase Shift) ของคลื่นแสงที่ถูก
โมดูเลตแล้ว
• การใช้เลเซอร์ในอุปกรณ์สานักงานและใช้ในบ้าน เลเซอร์ไดโอดเป็นเลเซอร์ที่มีขนาดเล็กจิ๋วไม่กินไฟ จึงเหมาะนามาประยุกต์กับ
อุปกรณ์สานักงาน และใช้ในบ้าน ได้แก่ การใช้เลเซอร์เป็นเลเซอร์พอยนท์เตอร์ ใช้ในเครื่องถ่ายเอกสาร และเครื่องพิมพ์เอกสารแบบ
เลเซอร์พริ้นเตอร์ ใช้ในเครื่องเสียงคอมแพคดิสก์ ใช้ในเครื่องวิดีโอเลเซอร์ดิสก์ ฯลฯ
• การใช้เลเซอร์ในงานด้านนิทรรศการ แสงเลเซอร์มลักษณะเด่นคือ มีลาแสงที่ระยิบระยับเนื่องจากการเกิดการสอดแทรกของแสง
ี
เลเซอร์ เมื่อฉายกระทบฝุ่นละอองในอากาศที่แขวนลอย ทาให้การแสดงนิทรรศการมีชีวิตชีวาเราจึงเห็นมีการนาเลเซอร์ไปใช้ในงาน
โฆษณางานแสดงละคร งานบนเวทีคอนเสิร์ต ด้วย
• การใช้เลเซอร์ในด้านเลเซอร์ฟิวชั่น (Laser Fusion) ฟิวชั่นเป็นปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่เกิดจากการหลอมธาตุเบา เช่น ไฮโดรเจน หรือ
ไอโซโทปของไฮโดรเจน ให้กลายเป็นธาตุหนัก เช่น ฮีเลียมและมีพลังงานความร้อนเป็นผลพลอยได้จานวน มาก จึงสามารถนา
พลังงานดังกล่าวไปผลิต
กระแสไฟฟ้าได้ ปฏิกิริยาฟิวชั่นนีสามารถชักนาให้เกิดและควบคุมด้วยแสงเลเซอร์ที่มีกาลังสูงมากๆ (มีขนาดเทราวัตต์ : TW
้
หรือ 10 ¹²วัตต์)เลเซอร์ที่มีกาลังสูงนี้ ได้แก่ เลเซอร์แก้ว และเลเซอร์เอกไซเมอร์ เป็นเทคโนโลยีการประยุกต์เลเซอร์ที่กาลังวิจัยพัฒนา
และหากทาได้สาเร็จจะทาให้สังคมโลกเรามีพลังงานที่สะอาดใช้เพราะปฏิกิริยาฟิวชั่นนีมีกัมมันตภาพรังสีน้อยมาก
้

เลเซอร์เป็นแหล่งกาเนิดแสงประเภทโคฮีเร้นท์ มีค่าความยาวคลื่นแน่นอน มีระเบียบเป็นลาแสง และมีความเข้มสูง เลเซอร์ทาขึ้น
จากของแข็ง ก๊าซ ของเหลว และสารกึ่งตัวนาจึงให้แสงเลเซอร์ที่มีกาลังแสงและลักษณะของแสงเลเซอร์ที่แตกต่างกัน เลเซอร์มี
ประโยชน์นานัปการในศาสตร์หลายด้าน ทั้งทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ แพทยศาสตร์ วิทยาศาสตร์การทหาร และการผลิตพลังงาน
สาหรับอนาคต
Laser
ชนิดของเลเซอร์
•เลเซอร์ของแข็ง
•เลเซอร์ก๊าซ
•เลเซอร์ของเหลว
•เลเซอร์ไดโอด
เลเซอร์ของแข็ง
เลเซอร์ของแข็ง คือ เลเซอร์ที่ใช้ตัวกลางเป็นของแข็ง เช่น เลเซอร์ทับทิม เลเซอร์แย็ค เลเซอร์แก้ว ฯลฯ ทับทิมและแย็คเป็นผลึก
ส่วนแก้วเป็นอะมอร์ฟัส ตัวกลางเหล่านี้ทาหน้าที่เป็น เนื้อวัสดุเจ้าบ้าน (Host Materials) เท่านั้นเพราะตัวที่ทาให้เกิดการเปล่งแสงนั้น
กาหนดจากสารเจือปนที่เติมในเนื้อสารเหล่านี้ เช่น ทับทิมจะใช้โครเมียมเป็นสารเจือปน จึงให้สีแดงที่มีความยาวคลื่น 6493อังสตรอม
(Al₂O₃:Cr³⁺) แย็คและแก้วจะใช้นีโอดีเนียมเป็นสารเจือปน จึงให้แสงอินฟาเรดที่มีความยาวคลื่น 1.06ไมครอน (YAG : Nd³⁺ Glass :
Nd³⁺)
ในการปั๊มพลังงานแก่ของแข็งเหล่านี้ ต้องใช้วิธีการทางแสงคือใช้หลอดไฟซีนอนหรือหลอดไฟทังสเตนฉาย โดยมีตัวสะท้อนแสง
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการปั๊มพลังงาน ตัวสะท้อนแสงนี้มีลักษณะเป็นกระบอกที่มีพื้นที่หน้าตัดเป็นรูปวงรี และมีการวางหลอดไฟ
และตัวกลางเลเซอร์ไว้ที่ตาแหน่งของจุดโฟกัสของวงรี
เลเซอร์ของเหลว
เราสามารถใช้ตัวกลางเลเซอร์ที่ทาจากของเหลวได้ เช่น ใช้สย้อมผ้า (Dye) ผสมน้าหรือแอลกอฮอล์ บรรจุใส่ภาชนะใส
ี
การปั๊มพลังงานแก่ของเหลวเหล่านี้ใช้วิธีทางแสงเช่นเดียวกับตัวกลางเลเซอร์ที่เป็นของแข็ง เช่น ใช้หลอดซีนอน หรือ
เลเซอร์ไนโตรเจน เลเซอร์ของเหลวเหล่านี้จะมีจุดเด่นที่สาคัญคือเป็นเลเซอร์ที่ให้สีที่ตามองเห็น ค่าความยาวคลื่นของแสงสามารถ
ปรับได้จึง เป็น ทูเนเบิล เลเซอร์ (Tunable Laser) เพราะโมเลกุลของสีย้อมผ้ามีขนาดโต เนื่องจากเป็นสารอินทรีย์เคมีระดับพลังงาน
ของโมเลกุล มีลักษณะเป็นชั้นพลังงานที่ซ้อนหลายชั้น มิได้เป็นชั้นเดี่ยวๆ เหมือนกรณีของก๊าซหรือของแข็ง
ตัวอย่างของสีย้อมผ้าที่นิยมใช้ได้แก่ โรดามีน 6 จี (Rhodamine 6G) ซึ่งใช้แสงเลเซอร์ ตั้งแต่สีเหลืองไปถึงสีส้ม (570-610 nm)
โรดามีน บี (Rhodamine B) ให้แสงเลเซอร์ช่วงสีแดง (605-635 nm) และ ดีคลอโรฟลูออเรสเซียน (Dichlorofluorescein) ให้
แสงเลเซอร์สีเขียว (530-560 nm)
เลเซอร์ก๊าซ
เมื่อใช้ก๊าซเป็นตัวกลางเลเซอร์ การปั๊มพลังงานก็จะใช้วิธีการปล่อยประจุในก๊าซด้วยไฟฟ้าแรงสูง กล่าวคือนาก๊าซเหล่านันบรรจุ
้
ในหลอดเลเซอร์ซึ่งมีขั้วไฟฟ้าที่ปลายทั้งสอง เมื่อป้อนไฟฟ้าแรงสูงให้แก่ขั้วไฟฟ้าทั้งสอง อิเล็กตรอนจะวิ่งจากขั้วแคโทด (ขั้วลบ)
ไปยัง ขั้วอโนด (ขั้วบวก) ด้วยพลังงานสูง อิเล็กตรอนจะวิ่งชนอะตอมหรือโมเลกุลของก๊าซเหล่านั้น จนแตกตัวเป็นอิออนมีประจุไฟฟ้า
ขึ้น เรียกว่า พลาสมา (Plasma) ก๊าซที่เป็นพลาสมาเหล่านี้จะพร้อมปล่อยโฟตอน หากมีโฟตอนที่มีลักษณะเหมือนกันมาเร้า จึงเกิดเป็น
แสงเลเซอร์ขนเมื่อมีการขยายสัญญาณแสงด้วยแควิตี้แสง ที่ทาจากกระจกสะท้อนที่ปลายขั้วทั้งสองข้างของหลอดเลเซอร์
ึ้
ก๊าซที่ใช้ทาเลเซอร์มีหลายชนิด เช่น ก๊าซผสมฮีเลียม-นีออน (He - Ne) ก๊าซผสมคาร์บอนไดออกไซด์ - ไนโตรเจน - ฮีเลียม
(CO² - N² - He) ก๊าซผสมฮีเลียม-แคดเมียม (He - Cd) ก๊าซอาร์กอน (Ar⁺) ซึ่งจะให้สีต่างๆ ตามชนิดของก๊าซ
เลเซอร์ฮีเลียม - นีออน เป็นเลเซอร์กาลังแสงต่า (1~10 mW) เลเซอร์ฮีเลียม - แคดเมียมและเลเซอร์อาร์กอน เป็นเลเซอร์กาลัง
แสงปานกลาง (10~100 mW) ส่วนเลเซอร์คาร์บอนไดออกไซด์เป็นเลเซอร์กาลังแรงสูง (1~100 W) จึงมีการใช้งานที่แตกต่างกันไป
แต่เลเซอร์ทุกชนิดมีอันตราย เพราะแสงเลเซอร์ที่มีกาลังแสงเพียง ๑mW จะมีความเข้มแสงสูงกว่าพระอาทิตย์จึงสามารถทาให้ตาบอด
ได้หากแสงเลเซอร์พุ่งเข้าหานัยน์ตาโดยตรง
เลเซอร์ไดโอด
เลเซอร์ไดโอดเป็นเลเซอร์ที่ทาจากสารกึ่งตัวนา ซึ่งทาจากสารประกอบ เช่น GaAs (แกลเลียมอาร์เซไนด์) GaAlAs
(แกลเลียมอะลูมิเนียมอาร์เซไนด์) In GaAsP (อินเดียมแกลเลียมอาร์เซไนด์ฟอสฟายด์) ซึ่งมีคาแถบพลังงานต่างๆกัน จึงเป็นตัว
่
กาหนดค่าความยาวคลื่นของแสงเลเซอร์ เช่น

m (อินฟาเรด)
GaAlAs ให้แสงเลเซอร์ที่ค่าความยาวคลื่น 0.7 mm (สีแดง)
InGaAsP ให้แสงเลเซอร์ที่ค่าความยาวคลื่น 1.3 และ 1.55 mm (อินฟาเรด)
GaAs ให้แสงเลเซอร์ที่ค่าความยาวคลื่น 0.8 m

เลเซอร์ไดโอดแต่ละชนิดจึงมีการใช้งานที่แตกต่างกันตามลักษณะ และคุณสมบัติของค่าความยาวคลื่นนั้นๆ เช่น เลเซอร์ไดโอด

m

ที่ให้สีแดงจะใช้ในเครื่องคอมแพคดิสก์ ส่วนเลเซอร์ไดโอดที่ให้แสงอินฟาเรดที่ค่าความยาวคลื่น 1.55 m จะใช้ในระบบสื่อสารผ่าน
เส้นใยแก้วนาแสง เป็นต้น
โครงสร้างของเลเซอร์ไดโอด ได้แก่ หัวต่อพีเอ็นแบบเฮตเตอโรจังชั่น (Heterojunction) เช่น GaAlAs/GaAs ทาให้ประสิทธิภาพของ
เลเซอร์ไดโอดมีค่าสูงขึ้น เพราะใช้กระแสที่เลเซอร์ไดโอดเริ่มทางานน้อยลง การฉีดกระแสไฟฟ้าผ่านหัวต่อพีเอ็นของเลเซอร์ไดโอด
เป็นวิธีการปั๊มพลังงาน เพือให้เกิดการรวมตัวของพาหะนาไฟฟ้าในสารกึ่งตัวนาและนามาสู่การเปล่งแสงแสงที่เปล่งออกมาจะถูกขยาย
่
สัญญาณให้มความเข้มสูงขึ้น ด้วยแควิตี้แสงที่เกิดจากผิวมันสะท้อนแสงของผิวผลึกที่ทาให้แตกโดยธรรมชาติ (Cleavaged Surface)
ี
เลเซอร์ไดโอดเป็นเลเซอร์ที่มีขนาดเล็กจิ๋วกินไฟน้อย สามารถผลิตได้จานวนมากๆ ด้วยเทคโนโลยีด้านสารกึ่งตัวนา
เลเซอร์ไดโอดถูก ใช้งานอย่างกว้างขวางตั้งแต่การใช้เป็นเลเซอร์พอยนท์เตอร์ (Laser Pointer) ใช้ในการสื่อสารผ่านเส้นใยแก้วนาแสง
ใช้เป็นหัวอ่านของเครื่องคอมแพคดิสก์ เครื่องวิดีโอเลเซอร์ดิสก์ และเครื่องถ่ายเอกสารประเภทเลเซอร์ พริ้นเตอร์ (Laser Printer)
คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ศึกษาวิจัยการสร้างเลเซอร์ไดโอดด้วยเทคโนโลยีด้านการปลูกผลึกจากของเหลว
(Liquid Phase Epitaxy : LPE) และเทคโนโลยีการปลูกผลึกด้วยลาโมเลกุล (Molecular Beam Epitaxy : MBE)
เลเซอร์ไดโอดมีกาลังแสงต่าตังแต่ระดับไมโครวัตต์ (mw) จนสูงถึงวัตต์ (W) และเป็นเลเซอร์ที่มีจุดเด่นคือ สามารถโมดูเลต
้
สัญญาณได้โดยตรง โดยผ่านเข้าไปทางด้านกระแสไฟฟ้าที่ฉดผ่านตัวสิ่งประดิษฐ์ จึงสะดวกต่อการใช้งานโดยเฉพาะการสื่อสารทาง
ี
ด้านแสง
Laser
Ad

Recommended

๶รื่องที่14แสงและทัศน์อุปกรณ์
๶รื่องที่14แสงและทัศน์อุปกรณ์
Apinya Phuadsing
9789740330721
9789740330721
CUPress
บทที่ 13 แสงและทัศนูปกรณ์
บทที่ 13 แสงและทัศนูปกรณ์
parinya
๶รื่องที่13แสง
๶รื่องที่13แสง
Apinya Phuadsing
แสงและการหัก๶ห2
แสงและการหัก๶ห2
DAWKAJAY20
Laser Cutting And Engraving Machine
Laser Cutting And Engraving Machine
Keith Electronics
-ٲDz2013.๶ครื่องมือตัด๶จาะและ๶ครื่องมือวัดละ๶อียด
-ٲDz2013.๶ครื่องมือตัด๶จาะและ๶ครื่องมือวัดละ๶อียด
บริษัท เกรียงไทยวัฒนา กรุ๊ป จำกัด
KTW_Nachi
KTW_Nachi
Witt Wongkiraprat
Cutting Tool
Cutting Tool
Precision Tooling Services Co., Ltd.
ศูนย์รวม คัตติ้งทูล เม็ดมีด เอ็นมิล หัวโพรบ Cutting Tool Management
ศูนย์รวม คัตติ้งทูล เม็ดมีด เอ็นมิล หัวโพรบ Cutting Tool Management
Precision Tooling Services Co., Ltd.
Digital Fabrication Studio: Laser Cutting
Digital Fabrication Studio: Laser Cutting
Massimo Menichinelli
Lasercutting notes slideshow
Lasercutting notes slideshow
Jonathan Dietz
The Ultimate Guide of Laser Cutting by Sculpteo
The Ultimate Guide of Laser Cutting by Sculpteo
Sculpteo
Fab Academy 2015: Laser Cutting
Fab Academy 2015: Laser Cutting
Massimo Menichinelli
All About Laser Cutting
All About Laser Cutting
Sarah Whiting
ก้าวล้ำยุคกับเทคโนโลยีแสงแห่งสหัสวรรษ
ก้าวล้ำยุคกับเทคโนโลยีแสงแห่งสหัสวรรษ
Sarun Sumriddetchkajorn
Light is the electromagnetic wave from the sun.
Light is the electromagnetic wave from the sun.
Numoui
แสงและการมอง๶ห็น
แสงและการมอง๶ห็น
ครูเสกสรรค์ สุวรรณสุข
Electro magnetic Waves Group 2 6/1 BM
Electro magnetic Waves Group 2 6/1 BM
Dechatorn Devaphalin
ppt แสงและการมอง๶ห็น ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
ppt แสงและการมอง๶ห็น ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
ThanakridsakornKamwa
เรื่อง รังสีอินฟราเรด
เรื่อง รังสีอินฟราเรด
Somporn Laothongsarn
บทที่ 2 แสง ม.2
บทที่ 2 แสง ม.2
Wichai Likitponrak
ไฟฟ้ากลุ..
ไฟฟ้ากลุ..
Powergift_vip
ไฟฟ้ากลุ..
ไฟฟ้ากลุ..
Powergift_vip
ไฟฟ้ากลุ..
ไฟฟ้ากลุ..
Powergift_vip
๶ครื่องใช้ไฟฟ้า
๶ครื่องใช้ไฟฟ้า
0286983445

More Related Content

Viewers also liked (10)

Laser Cutting And Engraving Machine
Laser Cutting And Engraving Machine
Keith Electronics
-ٲDz2013.๶ครื่องมือตัด๶จาะและ๶ครื่องมือวัดละ๶อียด
-ٲDz2013.๶ครื่องมือตัด๶จาะและ๶ครื่องมือวัดละ๶อียด
บริษัท เกรียงไทยวัฒนา กรุ๊ป จำกัด
KTW_Nachi
KTW_Nachi
Witt Wongkiraprat
Cutting Tool
Cutting Tool
Precision Tooling Services Co., Ltd.
ศูนย์รวม คัตติ้งทูล เม็ดมีด เอ็นมิล หัวโพรบ Cutting Tool Management
ศูนย์รวม คัตติ้งทูล เม็ดมีด เอ็นมิล หัวโพรบ Cutting Tool Management
Precision Tooling Services Co., Ltd.
Digital Fabrication Studio: Laser Cutting
Digital Fabrication Studio: Laser Cutting
Massimo Menichinelli
Lasercutting notes slideshow
Lasercutting notes slideshow
Jonathan Dietz
The Ultimate Guide of Laser Cutting by Sculpteo
The Ultimate Guide of Laser Cutting by Sculpteo
Sculpteo
Fab Academy 2015: Laser Cutting
Fab Academy 2015: Laser Cutting
Massimo Menichinelli
All About Laser Cutting
All About Laser Cutting
Sarah Whiting

Similar to Laser (20)

ก้าวล้ำยุคกับเทคโนโลยีแสงแห่งสหัสวรรษ
ก้าวล้ำยุคกับเทคโนโลยีแสงแห่งสหัสวรรษ
Sarun Sumriddetchkajorn
Light is the electromagnetic wave from the sun.
Light is the electromagnetic wave from the sun.
Numoui
แสงและการมอง๶ห็น
แสงและการมอง๶ห็น
ครูเสกสรรค์ สุวรรณสุข
Electro magnetic Waves Group 2 6/1 BM
Electro magnetic Waves Group 2 6/1 BM
Dechatorn Devaphalin
ppt แสงและการมอง๶ห็น ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
ppt แสงและการมอง๶ห็น ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
ThanakridsakornKamwa
เรื่อง รังสีอินฟราเรด
เรื่อง รังสีอินฟราเรด
Somporn Laothongsarn
บทที่ 2 แสง ม.2
บทที่ 2 แสง ม.2
Wichai Likitponrak
ไฟฟ้ากลุ..
ไฟฟ้ากลุ..
Powergift_vip
ไฟฟ้ากลุ..
ไฟฟ้ากลุ..
Powergift_vip
ไฟฟ้ากลุ..
ไฟฟ้ากลุ..
Powergift_vip
๶ครื่องใช้ไฟฟ้า
๶ครื่องใช้ไฟฟ้า
0286983445
๶ครื่องใช้ไฟฟ้า
๶ครื่องใช้ไฟฟ้า
0887946598532
๶ครื่องใช้ไฟฟ้า
๶ครื่องใช้ไฟฟ้า
0834799610
๶ครื่องใช้ไฟฟ้า
๶ครื่องใช้ไฟฟ้า
0887946598532
แสงและทัศน์ปกรณ์
แสงและทัศน์ปกรณ์
Chakkrawut Mueangkhon
เรื่องที่ 14 ทัศนอุปกรณ์
เรื่องที่ 14 ทัศนอุปกรณ์
thanakit553
ใบความรู้เรื่องแสง
ใบความรู้เรื่องแสง
พัน พัน
คลื่นเเม่เหล็กไฟฟ้า กลุ่มที่ 1 ม.6/2
คลื่นเเม่เหล็กไฟฟ้า กลุ่มที่ 1 ม.6/2
GanKotchawet
ก้าวล้ำยุคกับเทคโนโลยีแสงแห่งสหัสวรรษ
ก้าวล้ำยุคกับเทคโนโลยีแสงแห่งสหัสวรรษ
Sarun Sumriddetchkajorn
Light is the electromagnetic wave from the sun.
Light is the electromagnetic wave from the sun.
Numoui
ppt แสงและการมอง๶ห็น ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
ppt แสงและการมอง๶ห็น ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
ThanakridsakornKamwa
เรื่อง รังสีอินฟราเรด
เรื่อง รังสีอินฟราเรด
Somporn Laothongsarn
ไฟฟ้ากลุ..
ไฟฟ้ากลุ..
Powergift_vip
ไฟฟ้ากลุ..
ไฟฟ้ากลุ..
Powergift_vip
ไฟฟ้ากลุ..
ไฟฟ้ากลุ..
Powergift_vip
๶ครื่องใช้ไฟฟ้า
๶ครื่องใช้ไฟฟ้า
0286983445
๶ครื่องใช้ไฟฟ้า
๶ครื่องใช้ไฟฟ้า
0887946598532
๶ครื่องใช้ไฟฟ้า
๶ครื่องใช้ไฟฟ้า
0834799610
๶ครื่องใช้ไฟฟ้า
๶ครื่องใช้ไฟฟ้า
0887946598532
แสงและทัศน์ปกรณ์
แสงและทัศน์ปกรณ์
Chakkrawut Mueangkhon
เรื่องที่ 14 ทัศนอุปกรณ์
เรื่องที่ 14 ทัศนอุปกรณ์
thanakit553
ใบความรู้เรื่องแสง
ใบความรู้เรื่องแสง
พัน พัน
คลื่นเเม่เหล็กไฟฟ้า กลุ่มที่ 1 ม.6/2
คลื่นเเม่เหล็กไฟฟ้า กลุ่มที่ 1 ม.6/2
GanKotchawet
Ad

Laser

  • 2. เลเซอร์ คืออะไร • • • • • • • Laser ย่อมาจากคาว่า light amplification by stimulated emission of radiation ในทางฟิสิกส์ คือ อุปกรณ์ที่ให้กาเนิดลาแสง ที่มีลักษณะเฉพาะ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่รวมกันระหว่างกลศาสตร์ควอนตัมกับอุณ หพลศาสตร์ ซึ่งพลังงานแสงเลเซอร์ สามารถมีคุณสมบัติได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ในการออกแบบ เลเซอร์ส่วนมากจะเป็นลาแสงที่มขนาดเล็ก มีการเบี่ยงเบนน้อย (low-divergence beam) ี สามารถระบุความยาวคลืนได้ง่าย โดยดูจากสีของเลเซอร์ ถ้าอยู่ในสเป็กตรัมที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า (visible ่ spectrum) ซึ่งเลเซอร์นี้อาจกล่าวได้ว่า เป็นการรวมพลังงานแสงที่ส่งออกมาจากหลายความยาวคลื่นเข้าด้วยกัน การให้พลังงานผ่านทางสือนาแสง ซึ่งสื่อนาแสงอาจเป็นได้ทั้งของแข็ง ของเหลว ก๊าซ หรืออิเล็กตรอนอิสระที่มีคุณสมบัติ ่ สามารถนาแสงได้ ในรูปแบบที่ง่ายที่สุด การค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับเลเซอร์ เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 1960 โดย ทีโอดอร์ ไมแมน (Theodore Maiman) ที่สถาบันวิจัย ฮิวจ์ (Hughes Research Laboratories) กลไกพื้นฐานของเลเซอร์ ได้แก่ การเปล่งแสงแบบถูกเร้า และ การขยายสัญญาณแสง
  • 3. ความเป็นมาของเลเซอร์ • ผู้ที่คิดค้นเลเซอร์ได้คือ ซี.เอช. ทาวน์ส (C.H. Townes) ใน ปี ค.ศ. 1954 โดยได้เสนอเป็นหลักการหรือทฤษฎีเลเซอร์ไว้ ซี.เอช.ทาวน์ส ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี ค.ศ. 1954 สาหรับการคิดค้นเรื่องเลเซอร์นี้เอง • แมแมน (Maiman) เป็นผู้ที่พิสูจน์ทฤษฎีเลเซอร์ของ C.H. Townes ได้สาเร็จ โดยการประดิษฐ์เลเซอร์ตัวแรกของโลกขึ้น เป็นเลเซอร์ที่ทาทับทิม (Ruby Laser) ซึ่งเป็นของแข็งในปี ค.ศ. 1960 • ในปีเดียวกันนั้นเอง จาแวน (Javan) ก็ได้ประดิษฐ์เลเซอร์ ทีทาจากก๊าซฮีเลียม-นีออนได้เป็นผลสาเร็จ จากนั้นจึงมีการ ่ พัฒนาเลเซอร์ชนิดต่างๆ อีกมากมาย ทั้งที่ทาจากของแข็ง ของเหลว ก๊าซ และสารกึงตัวนา ่
  • 4. ทฤษฎี → เลเซอร์ ค.ศ. 1954 C.H. Townes คิดค้น ทฤษฎีเลเซอร์ ค.ศ. 1960 Maiman พิสูจน์ทฤษฎี เลเซอร์และประดิษฐ์เลเซอร์ตัวแรก ของโลกขึ้น คือเลเซอร์ทับทิม ซึ่ง เป็นของแข็ง ในปีเดียวกัน Javan ประดิษฐ์ เลเซอร์ที่ทาจากก๊าซฮีเลียม-นีออน
  • 5. การเปล่งแสงแบบถูกเร้า (Stimulated Emission) • ระบบอะตอมหรือโมเลกุลที่ใช้ทาเลเซอร์จะมีชั้นพลังงานต่างๆ อยู่ โดยที่มีชั้นพลังงานทีjเกี่ยวข้องกับการเกิดแสงเลเซอร์อยู่ ๒ ชั้นพลังงาน โดยปกติอะตอมหรือโมเลกุลจะอยู่ที่ชั้นพลังงานต่า (E1) เสมอ เพราะมีเสถียรภาพกว่าเมื่อมีการป้อนพลังงานให้แก่ ระบบอะตอมหรือโมเลกุล เช่น การฉายแสงที่มีพลังงานที่พอดีกับผลต่างระหว่างชั้นพลังงานทั้งสอง (E2 - E1) อะตอมและ โมเลกุลจะถูกกระตุ้นให้ขนไปอยู่ที่ชั้นพลังงานที่สูงกว่า (E2) ปรากฏการณ์เช่นนี้คือ การดูดกลืนแสง (Absorption) ึ้ • เมื่ออะตอมหรือโมเลกุลมีพลังงานสูงขึ้นเนื่องจากการดูดกลืนแสงแล้ว จะคงสภาพเช่นนันได้ด้วยระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เพราะ ้ สถานะทีพลังงานสูง (E2) นี้ไม่เสถียร เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง อะตอมและโมเลกุลเหล่านั้นก็จะตกกลับมาอยู่ที่ชั้นพลังงานต่า ่ (E1) ตามเดิม โดยคายพลังงานออกมาเท่ากับผลต่างระหว่างชั้นพลังงานทั้งสอง (E2 - E1) หรือเปล่งแสงกลับออกมานั่นเอง การ เปล่งแสงเช่นนี้เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติของอะตอมและโมเลกุลนั้นๆ จึงเรียกปรากฏการณ์ เช่นนี้ว่า การเปล่งแสงแบบเกิดขึ้นเอง (Spontaneous Emission) • การเปล่งแสงแบบถูกเร้า (Stimulated Emission) ซึ่งเป็นกลไกหลักของเลเซอร์นั้น เริ่มต้นจากการดูดกลืนแสง เพื่อให้อะตอม หรือโมเลกุลขึ้นไปอยู่ที่ชั้นพลังงานสูงเช่นกัน แทนที่จะให้อะตอมหรือโมเลกุลตกลงมาเอง เมื่อเวลาผ่านไปจะมีการฉายแสงเข้า ไปในระบบอะตอมหรือโมเลกุลที่มีพลังงานเท่ากับผลต่างของชั้น พลังงานทั้งสอง (E2 - E1) แต่แสงที่ฉายเข้าไปนี้ ไม่ถูกดูดกลืน โดยระบบฯ แสงนี้เร่งเร้าให้อะตอมหรือโมเลกุลคายพลังงานก่อนเวลา แสงที่เปล่งออกมากับแสงที่เร้าจึงออกมาจากระบบพร้อม กันมีพลังงานเท่ากัน และมีความพร้อมเพรียงกันทั้งทิศทางการเคลื่อนที่และเฟสของคลื่นแสง
  • 7. การขยายสัญญาณแสง (Light Amplification) • เมื่อเกิดการเปล่งแสงแบบถูกเร้าในเนื้อวัสดุที่ใช้ทาเลเซอร์ โดยที่อะตอมหรือโมเลกุลของเนื้อวัสดุนั้นอยู่ในสภาพถูกกระตุ้น (Excited States) แสงที่เคลื่อนที่ผ่านเนื้อวัสดุนั้น จะเร้าให้เกิดการคายแสงมากขึ้นตามลาดับ ความเข้มของแสงจึงเพิ่มขึ้น ในทาง ควันตัมฟิสิกส์ (Quantum Physics) ได้มีการนิยามว่า แสงคือก้อนพลังงานเรียกว่า โฟตอน (Photon) เมื่อโฟตอนเคลื่อนที่ผ่านเนื้อวัสดุ ทีอยู่ในสภาพถูกกระตุ้น จานวนโฟตอนจะเพิ่มขึ้นตามลาดับ ่ • จานวนโฟตอนที่เกิดขึ้นจากการเปล่งแสงแบบถูกเร้านี้จะต้องมีมากพอ จึงจาเป็นต้องมีการขยายสัญญาณแสง โดยให้แสงวิ่ง กลับไปกลับมาผ่านเนื้อวัสดุเลเซอร์หลายๆ ครั้ง โดยใช้กระจก 2 ชิ้น ที่วางขนานกันที่ปลายทั้งสองเพื่อสะท้อนแสงกลับไปมา กระจก 2 ชิ้นที่ขนานกันนี้เรียกว่า แควิตี้แสง (Optical Cavity) ซึ่งทาหน้าที่ขยายสัญญาณแสงเพื่อให้มีความเข้มสูงจนเกิดเกน (Gain) เอาชนะ ความสูญเสีย (Loss) ของระบบและได้ลาแสงเลเซอร์พุ่งออกทางด้านกระจกที่มีการสะท้อนแสงไม่ถึง 100%
  • 9. องค์ประกอบของเลเซอร์ เลเซอร์โดยทั่วไปประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 3ส่วน ได้แก่ 1. เนือวัสดุที่ใช้เป็นตัวกลำงเลเซอร์ (Laser Medium) ้ 2. กำรปั๊มพลังงำนให้แก่เนื้อวัสดุทเี่ ป็นตัวกลำงเลเซอร์ให้มสภำพถูกกระตุ้น (Energy Pumping) ี 3. แควิตแสงเพือขยำยสัญญำณแสง ี้ ่
  • 10. คุณสมบัติโคฮีเร้นท์ของแสงเลเซอร์ แสงเลเซอร์เกิดขึ้นจากการเปล่งแสงถูกเร้าโฟตอนจึงมีความเป็นระเบียบสูง คลื่นแสงมีลักษณะที่พร้อมเพรียงกัน และเมื่อมีการขยายสัญญาณแสงด้วย แควิตี้แสง โฟตอนจึงมีจานวนมาก หรือแสงมีความเข้มสูง และวิ่งในทิศทางที่แน่นอน คือตั้งฉากกับกระจกที่ใช้ทาเป็นแควิตี้เท่านั้น จึงมีลักษณะเป็น ลาแสง หากเปรียบเทียบกับกองทหาร ก็เป็นหน่วยทหารที่มีระเบียบเดินแถวเป็นหน้ากระดานด้วยจังหวะการเดินที่พร้อมเพรียงกัน และก้าวเท่าๆ กัน เดินไปในทิศทางเดียวกัน แสงเลเซอร์มีคุณสมบัติหลักๆ 4 ประการ คือ 1. เป็นแสงสีเดียว (มีค่าความยาวคลื่นเดียว) 2. มีเฟสเดียวกัน (มีหน้าคลื่น) 3. มีทิศทางแน่นอน (เป็นลาแสง) 4. มีความเข้มสูง (จานวนโฟตอนต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่สูง) คุณสมบัติทั้ง 4 นี้เรียกรวมๆ กันว่า คุณสมบัติโคฮีเร้นท์ (Coherent) เลเซอร์จึงเป็นแหล่งกาเนิดแสงแบบโคฮีเร้นท์ (Coherent Light Source) นั่นเอง จุดเด่นทั้ง 4นี้มีส่วนสาคัญที่ทาให้แสงเลเซอร์เกิดประโยชน์ในด้านประยุกต์ เช่น การที่แสงเลเซอร์มีค่าความยาวคลื่นที่แน่นอนจึงทาให้เลเซอร์ ถูกใช้เป็นมาตรฐาน และใช้ในงานที่ต้องการความแม่นยาสูง ได้แก่ การวัดระยะทางหน้าคลื่นที่เป็นระเบียบของแสงเลเซอร์ถูกนามาใช้เพื่อบั นทึกข้อมูล ของภาพสามมิติ ลักษณะเป็นลาแสงมีประโยชน์ต่อการนาร่อง การสื่อสารและความเข้มสูงของแสงเลเซอร์ มีที่ใช้งานด้านเจาะตัด เชื่อมวัสดุได้ รวมทั้ง การผ่าตัดด้วยแสงเลเซอร์ในด้านการแพทย์อีกด้วย
  • 12. การประยุกต์ใช้งาȨลเซอร์ เลเซอร์เป็นแหล่งกาเนิดแสงที่มีคุณสมบัติเด่น คือเป็นคลื่นแสงที่มีระเบียบ มีลักษณะเป็นลาแสง ความเข้มแสงสูง จึงมีศักยภาพใน ด้านประยุกต์มากมาย ได้แก่ • การใช้เลเซอร์เพื่อเจาะ ตัด เชื่อม เลเซอร์เป็นแสงที่มีความเข้มสูง และเป็นลาแสงเมื่อโฟกัสมีขนาดเล็กจะสามารถเจาะตัด เชื่อม วัสดุต่างๆ ได้ รูปที่เจาะ รอยตัด รอยเชื่อม จะมีขนาดเล็กและคมชัดมาก ทาให้สามารถทางานที่มีความละเอียดสูงได้ เลเซอร์ที่ใช้งาน ต้องมีกาลังสูง เช่น เลเซอร์คาร์บอนไดออกไซด์ และเลเซอร์แย็ค • การใช้เลเซอร์ด้านการแพทย์ เลเซอร์ถูกนามาใช้ในการผ่าตัดและรักษาทางด้านการแพทย์และจักษุแพทย์ เช่น การผ่าตัดที่มีขนาดเล็ก (Microsurgery) การผ่าตัดต้อ เป็นต้น เลเซอร์ที่ใช้ ได้แก่ เลเซอร์คาร์บอนไดออกไซด์ เลเซอร์อาร์กอน • การใช้เลเซอร์ด้านสื่อสารโทรคมนาคม เลเซอร์ไดโอดถูกนามาใช้เป็นตัวส่งสัญญาณผ่านเส้นใยแก้วนาแสง เพื่อใช้ถ่ายทอด สัญญาณโทรทัศน์ โทรศัพท์ ข้อมูลคอมพิวเตอร์ อย่างกว้างขวาง สื่อสารโทรคมนาคมด้วยแสงเลเซอร์นี้มีจุดเด่นที่จะไม่มีสัญญาณ รบกวนเพราะเป็นคลื่นแสง มีความจุข้อมูลสูงมากเพราะมีความถี่สูงกว่าคลื่นวิทยุ ทาให้เส้นใยแก้วนาแสงเส้นหนึ่งสามารถจุคู่ สายโทรศัพท์ได้เป็นพันๆ คู่สาย ปัจจุบันประเทศไทยเริ่มใช้เส้นใยแก้วนาแสงในการสื่อสารโทรคมนาคมแล้ว โดยการวางเครือข่ายเส้นใยแก้วนาแสงคู่ขนานไป กับทางรถไฟทั่วประเทศแล้วกว่า 3,000 กม.
  • 13. • การใช้เลเซอร์ทางด้านสร้างภาพสามมิติ เลเซอร์มีความเป็นระเบียบของคลื่นแสงดังนั้นจึงสามารถบันทึกข้อมูลของภาพสามมิติ ได้เพราะบันทึกทั้งความเข้มแสงและเฟส (หน้าคลืน)ของแสงด้วย ภาพที่บันทึกจึงมีข้อมูลเกี่ยวกับความลึกของภาพด้วย ทาให้ได้ภาพ ่ สามมิติเรียกว่า โฮโลกราฟี (Holography) การบันทึกภาพสามมิตินี้ต้องกระทาบนโต๊ะแสง (Optical Bench)เพื่อขจัดปัญหาการ สั่นสะเทือน คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้พัฒนาเทคนิคการบันทึกภาพสามมิติเชิงซ้อน และนาภาพสามมิติ เชิงซ้อนดังกล่าวมาประยุกต์เป็นกุญแจแสง (Optical key) และบัตรประจาตัว (Holographic Identification) ซึ่งเป็นผลงานที่ จดสิทธิบัตร เลเซอร์ที่ใช้ในงานสร้างภาพสามมิตินี้ต้องมีคุณภาพดี เช่น เลเซอร์ฮีเลียม-นีออน และเลเซอร์อาร์กอน ที่มีเสถียรภาพและ โหมดเดี่ยว (Single Mode) • การใช้เลเซอร์ในด้านการวัด เลเซอร์มีคาความยาวคลื่นคงที่ และเป็นลาแสงขนาน จึงถูกนามาใช้เป็นมาตรฐานการวัดที่ละเอียด ่ แม่นยา เช่น การวัดขนาดของสิ่งของการวัดระยะทางทั้งใกล้และไกล โดยอาศัยหลักการของการสอดแทรก เช่น อินเทอเฟโรเมตรี (Interferometry) หลักการการสะท้อนของคลื่นแสงที่เป็นพัลส์ และหลักการเกิดการเคลื่อนของเฟส (Phase Shift) ของคลื่นแสงที่ถูก โมดูเลตแล้ว • การใช้เลเซอร์ในอุปกรณ์สานักงานและใช้ในบ้าน เลเซอร์ไดโอดเป็นเลเซอร์ที่มีขนาดเล็กจิ๋วไม่กินไฟ จึงเหมาะนามาประยุกต์กับ อุปกรณ์สานักงาน และใช้ในบ้าน ได้แก่ การใช้เลเซอร์เป็นเลเซอร์พอยนท์เตอร์ ใช้ในเครื่องถ่ายเอกสาร และเครื่องพิมพ์เอกสารแบบ เลเซอร์พริ้นเตอร์ ใช้ในเครื่องเสียงคอมแพคดิสก์ ใช้ในเครื่องวิดีโอเลเซอร์ดิสก์ ฯลฯ
  • 14. • การใช้เลเซอร์ในงานด้านนิทรรศการ แสงเลเซอร์มลักษณะเด่นคือ มีลาแสงที่ระยิบระยับเนื่องจากการเกิดการสอดแทรกของแสง ี เลเซอร์ เมื่อฉายกระทบฝุ่นละอองในอากาศที่แขวนลอย ทาให้การแสดงนิทรรศการมีชีวิตชีวาเราจึงเห็นมีการนาเลเซอร์ไปใช้ในงาน โฆษณางานแสดงละคร งานบนเวทีคอนเสิร์ต ด้วย • การใช้เลเซอร์ในด้านเลเซอร์ฟิวชั่น (Laser Fusion) ฟิวชั่นเป็นปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่เกิดจากการหลอมธาตุเบา เช่น ไฮโดรเจน หรือ ไอโซโทปของไฮโดรเจน ให้กลายเป็นธาตุหนัก เช่น ฮีเลียมและมีพลังงานความร้อนเป็นผลพลอยได้จานวน มาก จึงสามารถนา พลังงานดังกล่าวไปผลิต กระแสไฟฟ้าได้ ปฏิกิริยาฟิวชั่นนีสามารถชักนาให้เกิดและควบคุมด้วยแสงเลเซอร์ที่มีกาลังสูงมากๆ (มีขนาดเทราวัตต์ : TW ้ หรือ 10 ¹²วัตต์)เลเซอร์ที่มีกาลังสูงนี้ ได้แก่ เลเซอร์แก้ว และเลเซอร์เอกไซเมอร์ เป็นเทคโนโลยีการประยุกต์เลเซอร์ที่กาลังวิจัยพัฒนา และหากทาได้สาเร็จจะทาให้สังคมโลกเรามีพลังงานที่สะอาดใช้เพราะปฏิกิริยาฟิวชั่นนีมีกัมมันตภาพรังสีน้อยมาก ้ เลเซอร์เป็นแหล่งกาเนิดแสงประเภทโคฮีเร้นท์ มีค่าความยาวคลื่นแน่นอน มีระเบียบเป็นลาแสง และมีความเข้มสูง เลเซอร์ทาขึ้น จากของแข็ง ก๊าซ ของเหลว และสารกึ่งตัวนาจึงให้แสงเลเซอร์ที่มีกาลังแสงและลักษณะของแสงเลเซอร์ที่แตกต่างกัน เลเซอร์มี ประโยชน์นานัปการในศาสตร์หลายด้าน ทั้งทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ แพทยศาสตร์ วิทยาศาสตร์การทหาร และการผลิตพลังงาน สาหรับอนาคต
  • 17. เลเซอร์ของแข็ง เลเซอร์ของแข็ง คือ เลเซอร์ที่ใช้ตัวกลางเป็นของแข็ง เช่น เลเซอร์ทับทิม เลเซอร์แย็ค เลเซอร์แก้ว ฯลฯ ทับทิมและแย็คเป็นผลึก ส่วนแก้วเป็นอะมอร์ฟัส ตัวกลางเหล่านี้ทาหน้าที่เป็น เนื้อวัสดุเจ้าบ้าน (Host Materials) เท่านั้นเพราะตัวที่ทาให้เกิดการเปล่งแสงนั้น กาหนดจากสารเจือปนที่เติมในเนื้อสารเหล่านี้ เช่น ทับทิมจะใช้โครเมียมเป็นสารเจือปน จึงให้สีแดงที่มีความยาวคลื่น 6493อังสตรอม (Al₂O₃:Cr³⁺) แย็คและแก้วจะใช้นีโอดีเนียมเป็นสารเจือปน จึงให้แสงอินฟาเรดที่มีความยาวคลื่น 1.06ไมครอน (YAG : Nd³⁺ Glass : Nd³⁺) ในการปั๊มพลังงานแก่ของแข็งเหล่านี้ ต้องใช้วิธีการทางแสงคือใช้หลอดไฟซีนอนหรือหลอดไฟทังสเตนฉาย โดยมีตัวสะท้อนแสง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการปั๊มพลังงาน ตัวสะท้อนแสงนี้มีลักษณะเป็นกระบอกที่มีพื้นที่หน้าตัดเป็นรูปวงรี และมีการวางหลอดไฟ และตัวกลางเลเซอร์ไว้ที่ตาแหน่งของจุดโฟกัสของวงรี
  • 18. เลเซอร์ของเหลว เราสามารถใช้ตัวกลางเลเซอร์ที่ทาจากของเหลวได้ เช่น ใช้สย้อมผ้า (Dye) ผสมน้าหรือแอลกอฮอล์ บรรจุใส่ภาชนะใส ี การปั๊มพลังงานแก่ของเหลวเหล่านี้ใช้วิธีทางแสงเช่นเดียวกับตัวกลางเลเซอร์ที่เป็นของแข็ง เช่น ใช้หลอดซีนอน หรือ เลเซอร์ไนโตรเจน เลเซอร์ของเหลวเหล่านี้จะมีจุดเด่นที่สาคัญคือเป็นเลเซอร์ที่ให้สีที่ตามองเห็น ค่าความยาวคลื่นของแสงสามารถ ปรับได้จึง เป็น ทูเนเบิล เลเซอร์ (Tunable Laser) เพราะโมเลกุลของสีย้อมผ้ามีขนาดโต เนื่องจากเป็นสารอินทรีย์เคมีระดับพลังงาน ของโมเลกุล มีลักษณะเป็นชั้นพลังงานที่ซ้อนหลายชั้น มิได้เป็นชั้นเดี่ยวๆ เหมือนกรณีของก๊าซหรือของแข็ง ตัวอย่างของสีย้อมผ้าที่นิยมใช้ได้แก่ โรดามีน 6 จี (Rhodamine 6G) ซึ่งใช้แสงเลเซอร์ ตั้งแต่สีเหลืองไปถึงสีส้ม (570-610 nm) โรดามีน บี (Rhodamine B) ให้แสงเลเซอร์ช่วงสีแดง (605-635 nm) และ ดีคลอโรฟลูออเรสเซียน (Dichlorofluorescein) ให้ แสงเลเซอร์สีเขียว (530-560 nm)
  • 19. เลเซอร์ก๊าซ เมื่อใช้ก๊าซเป็นตัวกลางเลเซอร์ การปั๊มพลังงานก็จะใช้วิธีการปล่อยประจุในก๊าซด้วยไฟฟ้าแรงสูง กล่าวคือนาก๊าซเหล่านันบรรจุ ้ ในหลอดเลเซอร์ซึ่งมีขั้วไฟฟ้าที่ปลายทั้งสอง เมื่อป้อนไฟฟ้าแรงสูงให้แก่ขั้วไฟฟ้าทั้งสอง อิเล็กตรอนจะวิ่งจากขั้วแคโทด (ขั้วลบ) ไปยัง ขั้วอโนด (ขั้วบวก) ด้วยพลังงานสูง อิเล็กตรอนจะวิ่งชนอะตอมหรือโมเลกุลของก๊าซเหล่านั้น จนแตกตัวเป็นอิออนมีประจุไฟฟ้า ขึ้น เรียกว่า พลาสมา (Plasma) ก๊าซที่เป็นพลาสมาเหล่านี้จะพร้อมปล่อยโฟตอน หากมีโฟตอนที่มีลักษณะเหมือนกันมาเร้า จึงเกิดเป็น แสงเลเซอร์ขนเมื่อมีการขยายสัญญาณแสงด้วยแควิตี้แสง ที่ทาจากกระจกสะท้อนที่ปลายขั้วทั้งสองข้างของหลอดเลเซอร์ ึ้ ก๊าซที่ใช้ทาเลเซอร์มีหลายชนิด เช่น ก๊าซผสมฮีเลียม-นีออน (He - Ne) ก๊าซผสมคาร์บอนไดออกไซด์ - ไนโตรเจน - ฮีเลียม (CO² - N² - He) ก๊าซผสมฮีเลียม-แคดเมียม (He - Cd) ก๊าซอาร์กอน (Ar⁺) ซึ่งจะให้สีต่างๆ ตามชนิดของก๊าซ เลเซอร์ฮีเลียม - นีออน เป็นเลเซอร์กาลังแสงต่า (1~10 mW) เลเซอร์ฮีเลียม - แคดเมียมและเลเซอร์อาร์กอน เป็นเลเซอร์กาลัง แสงปานกลาง (10~100 mW) ส่วนเลเซอร์คาร์บอนไดออกไซด์เป็นเลเซอร์กาลังแรงสูง (1~100 W) จึงมีการใช้งานที่แตกต่างกันไป แต่เลเซอร์ทุกชนิดมีอันตราย เพราะแสงเลเซอร์ที่มีกาลังแสงเพียง ๑mW จะมีความเข้มแสงสูงกว่าพระอาทิตย์จึงสามารถทาให้ตาบอด ได้หากแสงเลเซอร์พุ่งเข้าหานัยน์ตาโดยตรง
  • 20. เลเซอร์ไดโอด เลเซอร์ไดโอดเป็นเลเซอร์ที่ทาจากสารกึ่งตัวนา ซึ่งทาจากสารประกอบ เช่น GaAs (แกลเลียมอาร์เซไนด์) GaAlAs (แกลเลียมอะลูมิเนียมอาร์เซไนด์) In GaAsP (อินเดียมแกลเลียมอาร์เซไนด์ฟอสฟายด์) ซึ่งมีคาแถบพลังงานต่างๆกัน จึงเป็นตัว ่ กาหนดค่าความยาวคลื่นของแสงเลเซอร์ เช่น m (อินฟาเรด) GaAlAs ให้แสงเลเซอร์ที่ค่าความยาวคลื่น 0.7 mm (สีแดง) InGaAsP ให้แสงเลเซอร์ที่ค่าความยาวคลื่น 1.3 และ 1.55 mm (อินฟาเรด) GaAs ให้แสงเลเซอร์ที่ค่าความยาวคลื่น 0.8 m เลเซอร์ไดโอดแต่ละชนิดจึงมีการใช้งานที่แตกต่างกันตามลักษณะ และคุณสมบัติของค่าความยาวคลื่นนั้นๆ เช่น เลเซอร์ไดโอด m ที่ให้สีแดงจะใช้ในเครื่องคอมแพคดิสก์ ส่วนเลเซอร์ไดโอดที่ให้แสงอินฟาเรดที่ค่าความยาวคลื่น 1.55 m จะใช้ในระบบสื่อสารผ่าน เส้นใยแก้วนาแสง เป็นต้น
  • 21. โครงสร้างของเลเซอร์ไดโอด ได้แก่ หัวต่อพีเอ็นแบบเฮตเตอโรจังชั่น (Heterojunction) เช่น GaAlAs/GaAs ทาให้ประสิทธิภาพของ เลเซอร์ไดโอดมีค่าสูงขึ้น เพราะใช้กระแสที่เลเซอร์ไดโอดเริ่มทางานน้อยลง การฉีดกระแสไฟฟ้าผ่านหัวต่อพีเอ็นของเลเซอร์ไดโอด เป็นวิธีการปั๊มพลังงาน เพือให้เกิดการรวมตัวของพาหะนาไฟฟ้าในสารกึ่งตัวนาและนามาสู่การเปล่งแสงแสงที่เปล่งออกมาจะถูกขยาย ่ สัญญาณให้มความเข้มสูงขึ้น ด้วยแควิตี้แสงที่เกิดจากผิวมันสะท้อนแสงของผิวผลึกที่ทาให้แตกโดยธรรมชาติ (Cleavaged Surface) ี เลเซอร์ไดโอดเป็นเลเซอร์ที่มีขนาดเล็กจิ๋วกินไฟน้อย สามารถผลิตได้จานวนมากๆ ด้วยเทคโนโลยีด้านสารกึ่งตัวนา เลเซอร์ไดโอดถูก ใช้งานอย่างกว้างขวางตั้งแต่การใช้เป็นเลเซอร์พอยนท์เตอร์ (Laser Pointer) ใช้ในการสื่อสารผ่านเส้นใยแก้วนาแสง ใช้เป็นหัวอ่านของเครื่องคอมแพคดิสก์ เครื่องวิดีโอเลเซอร์ดิสก์ และเครื่องถ่ายเอกสารประเภทเลเซอร์ พริ้นเตอร์ (Laser Printer) คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ศึกษาวิจัยการสร้างเลเซอร์ไดโอดด้วยเทคโนโลยีด้านการปลูกผลึกจากของเหลว (Liquid Phase Epitaxy : LPE) และเทคโนโลยีการปลูกผลึกด้วยลาโมเลกุล (Molecular Beam Epitaxy : MBE) เลเซอร์ไดโอดมีกาลังแสงต่าตังแต่ระดับไมโครวัตต์ (mw) จนสูงถึงวัตต์ (W) และเป็นเลเซอร์ที่มีจุดเด่นคือ สามารถโมดูเลต ้ สัญญาณได้โดยตรง โดยผ่านเข้าไปทางด้านกระแสไฟฟ้าที่ฉดผ่านตัวสิ่งประดิษฐ์ จึงสะดวกต่อการใช้งานโดยเฉพาะการสื่อสารทาง ี ด้านแสง