ݺߣ

ݺߣShare a Scribd company logo
บทที่ 1
1.ความสำา คัญ ของภาษาคอมพิว เตอร์
         ภาษาคอมพิวเตอร์ (computer
language) เป็นสัญลักษณ์ทผู้พฒนาภาษา
                            ี่ ั
กำาหนดรหัสคำาสั่งขึ้นมา ใช้ควบคุมการทำางาน
อุปกรณ์ในระบบคอมพิวเตอร์ พัฒนาการภาษา
คอมพิวเตอร์ เริ่มจากรหัสคำาสั่งอยูในรูปเลขฐาน
                                  ่
สอง จากนันพัฒนารูปรูปแบบเป็นข้อความภาษา
          ้
อังกฤษในยุคปัจจุบัน ภาษาคอมพิวเตอร์มี
มากมายหลายภาษาให้เลือกใช้งาน มีจุดเด่น
ด้านประสิทธิภาพคำาสั่งแตกต่างกันไป ดังนันผู้
                                         ้
สร้างงานโปรแกรมต้องศึกษาว่าภาษาใดมีคำาสั่ง
ทีมประสิทธิภาพควบคุมการทำางานตามต้องการ
  ่ ี
เพือเลือกไปใช้สร้างโปรแกรมประยุกต์งานตามที่
    ่
ได้กำาหนดจุดประสงค์ไว้
1.1 พัฒ นาการภาษาคอมพิว เตอร์
             ช่ว งที่1 คอมพิวเตอร์จัดเป็นเครื่อง
คำานวณทางอิเล็กทรอนิกส์ จึงทำางานลักษณะ
วงจรเปิด-ปิดแทนค่าด้วย0กับ1ผู้สร้างภาษาจึง
ออกแบบรหัสคำาสั่งเป็นชุดเลขฐานสอง เรียกว่า
ภาษาเครื่อง (Machine Language) ผู้ทจะเขียน
                                         ี่
รหัสคำาสั่งควบคุมระบบได้จึงจำากัดอยู่เฉพาะกลุ่ม
และใช้ในห้องปฏิบัติการทดลองดำาเนินงาน
ช่ว งที่2 จากช่วงแรกทีรหัสคำาสั่งเป็นชุด
                             ่
เลขฐานสองมีความยุ่งยากในการจำาชุดของ
รหัสคำาสั่งควบคุมการทำางาน จึงมีผู้พฒนารหัส
                                     ั
คำาสั่งเป็นอักษรภาษาอังกฤษร่วมกับเลขฐาน
อื่น เช่น เลขฐานสิบหกเพือให้เขียนคำาสั่ง
                           ่
ควบคุมงานง่ายขึ้น ตั้งชื่อภาษาว่าแอสเซมบลี
หรือภาษาสัญลักษณ์(Assembly/Symbolic
Language) พร้อมกันนีต้องพัฒนาโปรแกรม
                         ้
แปลภาษาขึ้นมาด้วย(Translator
program)คือโปรแกรมแอสเซม
เบอร์(Assembler) ใช้แปลรหัสคำาสั่งกลับมา
เป็นเลขฐานสอง เพื่อให้ระบบสามารถประมวล
ผลได้
ช่ว งที่3 เป็นช่วงทีบริษทหลายแห่งสร้าง
                              ่   ั
ภาษาคอมพิวเตอร์หลากหลายภาษาเน้นให้ใช้งาน
ง่ายขึ้นโดยรหัสคำาสั่งเป็นข้อความใกล้เคียงกับภาษา
อังกฤษทีใช้ในการสื่อสารกันอยู่แล้ว จัดให้เป็นกลุ่ม
          ่
ภาษาระดับสูง(High Level Language) เช่นภาษา
เบสิก ภาษาปาสคาล ภาษาซี ในส่วนของโปรแกรม
แปลภาษามี2ลักษณะคือ อินเทอร์พรีตเทอร์ และคอม
ไพเลอร์
            ช่ว งที่4เน้นเพิมประสิทธิภาพภาษา
                            ่
คอมพิวเตอร์ให้นำาไปใช้ควบคุมการทำางานระบบ
คอมพิวเตอร์ทใช้งานร่วมกับเทคโนโลยีสอสาร ภาษา
                 ี่                      ื่
มีรูปแบบการเขียนรหัสคำาสั่งเป็นงานโปรแกรมเชิง
วัตถุ(Graphic User interface:GUI)ลดขั้นตอนการ
จดจำาเพื่อพิมพ์รหัสคำาสั่งมาเป็นการคลิกเลือกรายการ
คำาสั่ง และป้อนค่าควบคุม เช่นภาษีวิชวลเบสิ
ก(Visual Basic) ภาษาจาวา(JAVA)
1.2 ตัว อย่า งภาษาระดับ สูง ทีไ ด้ร ับ ความ
                              ่
นิย มใช้ง านมีด ัง นี้
     1.2.1 ภาษาเบสิก
(BASIC:Beginner’s All-purpose Symbolic
Instruction code)
เป็นภาษาในระยะเริ่มแรกทีพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้
                         ่
ในห้องปฏิบัติการของสถาบันการศึกษา เพือฝึก ่
ทักษะการเขียนรหัสคำาสั่งควบคุมการทำางานของ
คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กคือไมโครคอมพิวเตอร์
1.2.2 ภาษาโคบอล (COBOL:Common
Business Oriented Language )เป็นภาษาในยุค
แรกทีมสักษณะโปรแกรมเชิงโคลงสร้าง ช่วงต้นของ
       ่ ี
ภาษาได้รับการออกแบบรหัสคำาสั่งเพือควบคุมการ
                                    ่
ทำางานคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ประเภท เมนเฟรม และ
มินิ ต่อมาจึงปรับรูปแบบคำาสังให้ใช้กับไมโคร
                            ่
คอมพิวเตอร์ได้
1.2.3 ภาษาปาสคาล (PASCAL)เป็น
ภาษาทีมรูปแบบเป็นโครงสร้างได้รับการ
      ่ ี
ออกแบบมาเพื่อใช้เขียนรหัสคำาสั่งควบคุมการ
ทำางานไมโดรดอมพิวเตอร์
1.3ตัว แปลภาษาคอมพิว เตอร์(Translator
Programe)
         การเขียนรหัสคำาสั่งควบคุมการทำางานระบบ
ด้วยภาคอมพิวเตอร์ใดๆก็ตาม ทีมใช่ภาษาเครื่อง ระบบ
                               ่ ิ
จะไม่สามารถประมวลผลได้ทนทีเพราะการทำางานของ
                             ั ่
ระบบเป็นรหัสคำาสั่งให้เป็นรหัสเลขฐาน 2 ด้วย
โปรแกรมแปลรหัสคำาสังภาคอมพิวเตอร์มการทำางาน 3
                       ่              ี
ลักษณะคือ
1.3.1โปรแกรมแปลภาแบบแอสเซมเบลอร์
ใช้แปลรหัสคำาสั่งเฉพาะภาษาแอสเซมบลีให้เป็นเลข
ฐานสอง
      1.3.2โปรแกรมแปลภาแบบคอมไพเลอร์
ลักษณะการแปลคือ แปลคำาสั่งทังโครงสร้างโปรแกรม
                                 ้
แล้วจึงแจ้งข้อผิดพลาดทั้งหมดเพือแก้ไข จากนันต้อง
                                   ่        ้
ประมวลผลใหม่ หากไม่มข้อผิดพลาดจะสร้างแฟ้ม
                            ี
โปรแกรมใหม่อัตโนมัติเพื่อเก็บรหัสเครื่อง ภายหลังเมือ
                                                   ่
เรียนใช้โปรแกรมนี้ เครื่องจะอ่านรหัสจากโปรแกรมที่
สร้างไว้นั้น จึงไม่ต้องเริ่มแปลรหัสใหม่
      1.3.3โปรแกรมแปลภาแบบอิน เทอร์พ รีต
เตอร์ ลักษณะการแปลคือ แปลรหัสทีละคำาสั่ง เมื่อพบ
ข้อผิดพลาดจะหยุดทำางาน แล้วจึงแจ้งข้อผิดพลาดได้
ทราบเพือแก้ไข จากนันประมวลผลใหม่ จนกว่าจะไม่มี
        ่               ้
1.4การเลือ กใช้ภ าคอมพิว เตอร์
           1.พิจารณาจุดเด่นประสิทธิภาพของคำาสังงาน
                                              ่
แต่ละภาษา เปรียบเทียบกับลักษณะงาน
       2.พิจารณาลักษณะการประมวลผล
        3.พิจารณาคุณสมบัติเครื่องคอมพิวเตอร์ และรุ่น
ของระบบปฏิบัติการทีใช้ควบคุม
                       ่
                 4.ควรเลือกภาทีทมงานพัฒนาระบบงาน
                               ่ ี
โปรแกรมมีความชำานาญอยู่แล้ว เพือไม่ต้องเสียเวลา
                                    ่
เริ่มต้นเรียนรู้ภาษาใหม่
5.ควรเป็นภาษาทีมลักษณะเป็นโครงสร้าง มี
                    ่ ี
ความยืดหยุนสูง อำานวยความสะดวกในการ
             ่
ปรับปรุงพัฒนาระบบงานในอนาคต
    6.หากระบบงานต้องการความปลอดภัยเรื่อง
การเข้าถึงข้อมูล ต้องคัดเลือกภาคอมพิวเตอร์ทมี
                                           ี่
ประสิทธิภาพในเรื่องนีด้วย
                        ้
    7.พิจารณางบประมาณใช้จัดหาคอมพิวเตอร์
ทีมลิขสิทธิ์ถูกต้องมาใช้งาน
  ่ ี
    8.เป็นภาคอมพิวเตอร์ทได้รับความนิยมใช้
                          ี่
งานทัวไปเพือศึกษารวบรวมข้อมูล
       ่       ่
2. การพัฒ นาระบบงานทาง
คอมพิว เตอร์
      การพัฒ นาระบบงาน (System
Development) เป็นกระบวนการพัฒนา
ระบบงานเดิม ให้เป็นระบบการทำางานแบบ
ใหม่ มีจุดประสงค์ให้ระบบการทำางานมี
ประสิทธิภาพมากขึ้น สำาหรับการพัฒนา
ระบบงานทางคอมพิวเตอร์นอกจากจัดหา
อุปกรณ์ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ เพือนำามา
                                   ่
ใช้งานแล้วยังต้องจัดหาโปรแกรมประยุกต์
งานมาใช้ในการดำาเนินงานอีกด้วย
ขั้นตอนการสร้างโปรแกรมประยุกต์งาน อาจ
ปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม ในทีนี้มี
                                  ่
แนวทางดำาเนินงานดังนี้ คือ
 1) ขั้นกำาหนดขอบเขตปัญหา
 2)ขั้นวางแผนและการออกแบบ
 3) ขั้นดำาเนินการเขียนคำาสั่งงาน
4) ขั้นทดสอบและแก้ไขโปรแกรม
 5) ขั้นจัดทำาคู่มอระบบ
                  ื
 6) ขั้นการติดตั้ง และ
 7) ขั้นการบำารุงรักษา
2.1 ขั้น กำา หนดขอบเขตปัญ หา (Problem
Definition)
       เริ่มต้นด้วยการศึกษาวิเคราะห์ระบบงาน
เดิม เพือพัฒนาเป็นระบบงานใหม่ อาจวิเคราะห์
        ่
งานจากผลลัพธ์ เช่นรูปแบบรายงาน เพือ     ่
วิเคราะห์ส่วกรณีเป็นระบบงานใหญ่ ความซับใช้
              นทีเกียวข้องต่อไป เช่น สมการที่
                 ่ ่
คำานวณ การนำาเข้าข้อมูลทีใช้ประมวลผล
                             ่
ซ้อนของงานย่อมมากขึ้น อาจเริ่มจากศึกษา
สภาพปัญหา โดยรวบรวมข้อมูลปัญหาและ
ความต้องการต่างๆ จากผู้เกี่ยวข้อง เช่น ผู้
บริหาร ผู้ปฏิบัติงาน เพื่อสรุปและศึกษา ความ
เป็นไปได้ ในการพัฒนาระบบงานใหม่
2.2 ขั้น วางแผนและการออกแบบ (Planing &
Dedsign)
       ขั้นตอนการวางแผนวิเคราะห์ลำาดับการทำางานมี
หลายวิธีให้เลือกใช้เช่น วิธีลอการิทม วิธีซูโดโคด วิธี
                                    ึ
ผังงาน สำาหรับขั้นตอนการออกแบบระบบ เช่น การ
ออกแบบรูปแบบการแสดงผล การออกแบบรูปแบบ
การนำาเข้าข้อมูลมีแนวทางการออกแบบระบบ ดังนี้
•จำานวนและประเภทเนื้อหาข้อมูลต้องมีเพียงพอ ครบ
ถ้วนสมบูรณ์ นำาเสนอเฉพาะข้อมูลทีเกียวข้องกันและ
                                   ่ ่
แยกกัน
•รูปแบบการนำาเสนอข้อมูลต้องอยู่ในรูปแบบทีผู้ใช้
                                              ่
ระบบเข้าใจง่าย
•รูปแบบแสดงผล คำานึงว่าเป็นการแสดงผลรายงาน
ทางจอภาพ หรือเครื่องพิมพ์เพาะการกำาหนดรูปแบบ
และรายละเอียดมีความแตกต่างกัน
2.3 ขั้น ดำา เนิน การเขีย นคำา สั่ง งาน (Codling)
       เป็นขั้นตอนเขียนคำาสั่งควบคุมงาน ด้วย
ภาษาคอมพิวเตอร์ตามกฎเกณฑ์ไวยากรณ์ที่
กำาหนดไว้ ต้องลำาดับคำาสั่งสามขั้นตอนทีวิเคราะห์
                                         ่
ไว้ สำาหรับขั้นตอนการเขียนคำาสั่ง มีแนวทางการ
ดำาเนินงาน ดังนี้
•จัดทีมงานในองค์กรวิเคราะห์และพัฒนาระบบงาน
เอง มีข้อดี ปรับแก้ไขโปรแกรมได้ตามต้องการ
•จัดซื้อโปรแกรมสำาเร็จรูป ข้อดีคือ มีโปรแกรมที่นำา
มาใช้กบงานได้ทนที งานขององค์กรไม่หยุดชะงัก
        ั          ั
และมีบริการอบรมการใช้โปรแกรม
2.4ขั้น ทดสอบและแก้ไ ขโปรแกรม
(Testing & Debugging)
       การทดสอบการทำางานของโปรแกรมแบ่ง
เป็น2ช่วงคือ ช่วงแรกทดสอบโดยผู้พฒนาระบบ
                                    ั
งานเอง ทดสอบเพือหาข้อผิดพลาดจากการใช้
                    ่
ไวยากรณ์คำาสั่ง และวิเคราะห์เปรียบเทียบผลลัพธ์
งานกับจุดประสงค์ของงาน หากไม่มข้อผิดพลาด
                                  ี
ใดๆ จึงส่งมอบการทดสอบอีกช่วงคือ ทดสอบโดย
ระบบจริง
       ทังนีข้อผิดพลาดทีเกิดจาการทดสอบ โดย
         ้ ้            ่
สรุปมี 2 รูปแบบคือ
•ข้อผิดพลาดทีเกิดจากการใช้คำาสั่งผิดรูปแบบ
                ่
•ข้อผิดพลาดทีเกิดจากกระบวนการวิเคราะห์งาน
                  ่
ผิด
2.5ขั้น จัด ทำา คู่ม อ ระบบ (Documenrtation)
                     ื
เมือโปรแกรมผ่านการทดสอบ ผู้พฒนาระบบจะต้อง
   ่                             ั
รวบรวมเอกสารเพือจัดทำาคู่มอการใช้ระบบงานซึ่งมี
                       ่      ื
ความสำาคัญมาก เพราะเปรียบเสมือนกับพิมพ์เขียว
ของบ้าน คู่มอระบบมีหลายแบบ เช่น
             ื
•คู่มอสำาหรับผู้ใช้ระบบ (User Doc.) เป็นส่วน
     ื
อธิบายขั้นตอนการทำางานของระบบเพือให้ผู้ใช้
                                    ่
ระบบเรียนรู้การทำางาน เช่น วิธีกรอกข้อมูลในส่วน
ต่างๆ
•คู่มอระบบงาน (System Doc.) จัดทำาสำาหรับผู้
       ื
ดูแลผู้ดูแลระบบ เช่น ขั้นตอนการติดตั้งโปรแกรม
การแก้ปัญหาระบบงานขั้นพื้นฐาน
2.6 ขั้น การติด ตั้ง (Implementation)
       เป็นขั้นตอนนำาระบบใหม่ทผ่านการทดสอบ
                               ี่
และได้รับการยอมรับจากกลุ่มตัวแทนผู้ใช้ระบบว่า
สามารถนำามาทดแทนระบบงานเดิม มีแนวทางการ
ใช้ระบบใหม่ ดังนี้
•ติดตั้งระบบแบบหยุดรับงานเดิมทั้งหมด และใช้
ระบบงานใหม่ทนที วิธีนสะดวกกับผู้ใช้คือ ทำางาน
                ั         ี้
ระบบงานเดียว แต่มความเสี่ยงสูง หากระบบงาน
                      ี
ใหม่มปัญหา จะไม่สามารถใช้งานระบบใดได้เลย
     ี
•ติดตั้งระบบแบบคู่ขนาน เป็นการทำางาน 2 ระบบ
ในคราวเดียวกัน เพือป้องกันปัญหาทีอาจเกิดขึ้นกับ
                    ่               ่
ระบบงานใหม่ ยังคงมีระบบงานเดิมสำารองความผิด
พลาดที่ไม่อาจคาดคิด เกิดขึ้นได้ แต่เป็นการเพิ่ม
ภาระงานของผู้ใช้ระบบทีต้องทำางานทั้ง 2 ระบบ
                             ่
จนกว่าจะแน่ใจว่าระบบงานใหม่ สามารถใช้รองรับ
การทำางานได้โดยไม่มข้อผิดพลาดใดๆ
                        ี
•ติดตั้งระบบแบบทีละเฟส เป็นการติดตั้งระบบ
ย่อยทีละระบบจากระบบงานทังหมดเพื่อพิจารณา
                           ้
ประสิทธิภาพการทำางาน หากมีข้อผิดพลาดทีเฟส
                                        ่
ใดจะดำาเนินการแก้ไขเฉพาะเฟสนันก่อน จากนัน
                              ้           ้
จึงขยายจนครบทังระบบ
                 ้
•ติดตั้งระบบแบบโครงการนำาร่อง พิจารณาจัดทำา
เฉพาะงานของหน่วยงานในองค์กรที่มความ
                                  ี
สำาคัญและความจำาเป็น พิจารณาผลงานทีได้ หาก
                                      ่
ไม่มปัญหาเรื่องงใด จึงขยายระบบงานต่อไป
    ี
เป็นการดูแลระบบงานหลังติดตั้งระบบ ให้อยู่
มนสภาพพร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา สาเหตุทต้อง   ี่
บำารุงรักษา ดังนี้
•การบำารุงรักษาด้วยการแก้ไขระบบให้ถูกต้อง
เป็นข้อผิดพลาดทีเกิดขึ้นหลังจากมีการใช้ข้อมูล
                    ่
จริงในระบบงาน ซึ่งตรวจสอบไม่พนในขั้นการ
                                ้
ทดสอบระบบ
•การบำารุงรักษาด้วยการปรับปรุงให้ดีขึ้น เป็นการ
ปรับระบบงานกรณีผลกระทบอื่น เช่น การปรับ
ระบบงานกรณีผลกระทบอื่น เช่น การปรับปรุง
คำานวณภาษีทมการเปลี่ยนแปลงไปตามนโยบาย
               ี่ ี
ของรัฐ
•การบำารุงรักษาด้วยการป้องกัน เช่น ป้องกันการ
เกิดความสูญหายของข้อมูลทีอาจเกิดจากระบบ
                            ่
ไฟฟ้า การทำาระบบสำารองข้อมูล การป้องกันไวรัส
คอมพิวเตอร์ การบุกรุกข้อมูล
3. แนวทางสร้า งโปรแกรมประยุก ต์ง าน
   3.1 ขั้น วิเ คราะห์ร ะบบงานเบื้อ งต้น
       อาจวิเคราะห์จากผลลัพธ์ หรือลักษณะรูปแบบ
รายงานของระบบงานนัน เพื่อวิเคราะห์ยอนไปถึงทีมา
                         ้             ้            ่
ของข้อมูลคือสมการคำานวณ จนถึงข้อมูลที่ต้องป้อน
เข้าระบบเพื่อใช้ในสมการ แนวทางการวิเคราะห์ระบบ
งานเบื้องต้นโดยสรุปวิธีมขั้นตอนย่อยดังนี้ 1) สิงที่
                           ี                   ่
ต้องการ 2) สมการคำานวณ 3) ข้อมูลนำาเข้า 4) การ
แสดงผล 5)กำาหนดคุณสมบัติตัวแปร และ 6) ลำาดับ
ขั้นตอนการทำางาน
3.2 ขั้น วางแผนลำา ดับ การทำา งาน
       มีหลายวิธี เช่น อัลกอริทม ซูโคโคด ผัง
                               ึ
งาน ต่างมีจุดประสงค์เพือแสดงลำาดับขั้นตอน
                         ่
กระบวนการแก้ปัญหางานเพือให้ได้ผลลัพธ์ตาม
                             ่
ต้องการ ก่อนไปสู่ขั้นตอนการเขียนคำาสั่ง และ
กรณีโปรแกรมมีข้อผิดพลาด สามารถย้อนกลับ
3.3 ขั้น ดำา เนิน การเขีย นโปรแกรม
ตรวจสอบทีขั้นตอนนีได้
             ่        ้
       เป็นขั้นตอนเขียนคำาสั่งควบคุมตามลำาดับ
การทำางานที่ได้วิเคราะห์ไว้ในกระบวนการ
วางแผนลำาดับการทำาวาน ขั้นตอนนีต้องใช้คำาสัง
                                   ้          ่
ให้ถูกต้องตามรูปแบบกฎเกณฑ์ไวยากรณ์การใช้
งานคำาสั่ง ทีแต่ละภาษาได้กำาหนดไว้
กรณีผู้สร้างระบบงานและผู้ใช้ระบบงานเป็น
คนเดียวกัน การทดสอบจึงมีขั้นตอนเดียวคือ ทดสอบ
ไวยากรณ์คำาสั่งงาน และทดสอบโดยใช้ข้อมูลจริง
เพือตรวจสอบค่าผลลัพธ์ แต่กรณีทผู้สร้างระบบงาน
    ่                              ี่
และผู้ใช้ระบบงานมิใช่คนเดียวกัน การทดสอบระบบ
จะมี 2 ช่วง คือ ทดสอบโดยผู้สร้างระบบงาน เมือ ่
ไม่มข้อผิดพลาดใด จึงส่งให้ผู้ใช้ระบบงานเป็นทก
      ี
สอบ หากมีข้อผิดพลาดใด จึงส่งให้ผู้ใช้ระบบงาน
เป็นผู้ทดสอบ หากข้อผิดพลาดใดจะถูกส่งกลับไปให้
3.5ขั้น เขีย นเอกสารประกอบ
ผู้สร้าเมือโปรแกรมผ่านการทดสอบให้ผลลัพาจะถูก างาน
        งระบบงาน แก้ไข และตรวจสอบจนกว่ธ์การทำ
          ่
ถูกต้อง ส่งองจัดทำาเอกสารประกอบการใช้โปรแกรมด้วย
แล้วจึง ต้ มอบระบบงาน
คู่มอระบบงานทีง่ายทีสุดคือ รวบรวมเอกสารทีจัดทำาจาก
    ื           ่   ่                    ่
3.1-3.4 มารวมเล่ม นอกนั้นอาจมีรายละเอียดเกี่ยวกับวิธี
ใช้โปรแกรมระบบงาน เช่น วิธีป้อนข้อมูล หรืออาจมีวิธี
ติดตั้งโปรแกรมระบบงาน รวมทังคุณสมบัติเครื่อง
                              ้
คอมพิวเตอร์ทสามารถนำาโปรแกรมไปใช้งาน เป็นต้น
             ี่
รลำา ดับ ขั้น ตอนงานด้ว ยผัง งาน
  ในที่นกล่าวถึงเฉพาะสัญลักษณ์ทใช้ในการเขียนผังงาน
          ี้                       ี่
  โปรแกรมเป็นส่วนใหญ่ ดังนี้
  ตารางที่ 1.1 สัญลักษณ์ ผังงานโปรแกรม หน้าที่การใช้งาน
        ลำาดั     สัญลัก
                         ษณ์   ชื่อสัญลักษณ์
        บ
        1                       Terminal    เริ่มต้น หรือสิ้น
                                 symbol      สุดการทำางาน
        2                      Processing     ประมวลผล
                                 symbol
        3                       Decision    แสดงการตัดสิน
                                 Symbol      ใจหรือเปรียบ
                                                เทียบ
        4                     Input/outpu   รับ/แสดงผล
                                t Symbol    ข้อมูล โดยไม่
                                             ระบุอุปกรณ์
        5                       Manual       รับข้อมูลจาก
                                 input         แป้นพิมพ์
                                Symbol
8     Connect     จุดต่อเนื่องการ
      Symbol      ทำางาน ต่อหน้า
                        อื่น
9     Connect     จุดต่อเนื่องการ
      Symbol       ทำางาน หน้า
                     เดียวกัน
10     Connect จุดรวมการเชื่อม
       Symbol          ต่อ
11   Preparation กำาหนดค่าเริ่ม
       Symbol     ต้นรอบวนซำ้า
12   Subroutine การทำางานย่อย
     processing
13    Flow line เส้นทางกิจกรรม
                      คำาสั่ง
4.2 หลัก ในการเขีย นผัง งาน
        ข้อแนะนำาในการเขียนผังงานเพื่อให้ผู้อ่านระบบงาน
ใช้ศกษา ตรวจสอบลำาดับการทำางานได้ง่ายไม่สับสน มี
      ึ
แนวทางปฏิบัติดังนี้
    1.ทิศทางการทำางานต้องเรียงลำาดับตามขั้นตอนที่ได้
วิเคราะห์ไว้
    2.ใช้ชอหน่วยความจำา เช่น ตัวแปร ให้ตรงกับขั้นตอน
             ื่
ทีได้วิเคราะห์ไว้
  ่
    3.ลูกศรกำากับทิศทางใช้หัวลูกศรตรงปลายทางเท่นน   ั้
    5.ต้องไม่มลูกศรลอยๆ โดยไม่มการต่อจุดการทำางาน
                   ี               ี
ใดๆ
    6.ใช้สญลักษณ์ให้ตรงกับความหมายการใช้งาน
           ั
    7.หากมีคำาอธิบายเพิ่มเติมให้เขียนไว้ด้านขวาของ
สัญลักษณ์นน     ั้
4.3 ประโยชน์ข องผัง งาน
   1.ทำาให้มองเห็นรูปแบบของงานได้ทั้งหมด
โดยใช้เวลาไม่มาก
  2.การเขียนผังงานเป็นสากล สามารถนำาไป
เขียนคำาสั่งได้ทกภาษา
                ุ
   3.สามารถตรวจสอบข้อผิดพลาดของ
โปรแกรมได้อย่างรวดเร็ว
การเขียนผังงานแสดงลำาดับการทำางานของระบบ
งานไม่มรูปแบบการเขียนตายตัว เพราะเป็นเรื่องการ
       ี
ออกแบบระบบงานของแต่ละบุคคล ในส่วนนีเป็นการนำา
                                      ้
เสนอรูปแบบการเขียนผังงานโปรแกรมดังนี้
     4.4.1การเขีย นผัง งานแบบเรีย งลำา ดับ แสดงขั้น
ตอนการทำางานตามลำาดับ โดยไม่มทางแยกการทำางานแต่
                              ี
อย่างใด เช่น
4.4.การเขีย นผัง งานแบบมีท างเลือ กการ
ทำา งาน แสดงขั้นตอนการทำางานที่มีลักษณะ
กำาหนดเงื่อนไขทางตรรกะ ให้ระบบสรุปว่าจริง
หรือเท็จ เพือเลือกทิศทางประมวลผลคำาสั่งทีได้
            ่                            ่
กำาหนดไว้ เช่น
4.4.3 การเขีย นผัง งานแบบตรวจสอบเงือ นไข ่
ก่อ นวนซำ้า แสดงขั้นตอนการทำางานที่มีลักษณะ
กำาหนดเงื่อนไขทางตรรกะให้ระบบตรวจสอบก่อน เพือ ่
เลือกทิศทางการวนซำ้า หรือออกจากการวนซำ้า เช่น
4.4.4การเขีย นผัง งานแบบตรวจสอบ
เงื่อ นไขหลัง วนซำ้า แสดงขั้นตอนการทำางานที่มี
ลักษณะทำางานก่อนหนึงรอบ แล้วจึงกำาหนด
                      ่
เงื่อนไขทางตรรกะให้ระบบตรวจสอบ เพื่อเลือก
ทิศทางการวนซำ้าหรือออกจากการวนซำ้า เช่น
สมาชิก
1.นายสหรัฐ          สาระนัย
    เลขที่ 3
2.นายณัฎฐกรณ์        แผนกุล
     เลขที่ 7
3.นางสาวสุภลักษณ์   แย้มโอษฐ
  เลขที่ 17
4.นางสาวกัญญาณัฐ    พ่วงปาน
    เลขที่ 29
5.นางสาวทิมาพร      มั่นใจ
     เลขที่ 32
6.นางสาววรรณิศา      กระดี่

More Related Content

บทที่ 1

  • 2. 1.ความสำา คัญ ของภาษาคอมพิว เตอร์ ภาษาคอมพิวเตอร์ (computer language) เป็นสัญลักษณ์ทผู้พฒนาภาษา ี่ ั กำาหนดรหัสคำาสั่งขึ้นมา ใช้ควบคุมการทำางาน อุปกรณ์ในระบบคอมพิวเตอร์ พัฒนาการภาษา คอมพิวเตอร์ เริ่มจากรหัสคำาสั่งอยูในรูปเลขฐาน ่ สอง จากนันพัฒนารูปรูปแบบเป็นข้อความภาษา ้ อังกฤษในยุคปัจจุบัน ภาษาคอมพิวเตอร์มี มากมายหลายภาษาให้เลือกใช้งาน มีจุดเด่น ด้านประสิทธิภาพคำาสั่งแตกต่างกันไป ดังนันผู้ ้ สร้างงานโปรแกรมต้องศึกษาว่าภาษาใดมีคำาสั่ง ทีมประสิทธิภาพควบคุมการทำางานตามต้องการ ่ ี เพือเลือกไปใช้สร้างโปรแกรมประยุกต์งานตามที่ ่ ได้กำาหนดจุดประสงค์ไว้
  • 3. 1.1 พัฒ นาการภาษาคอมพิว เตอร์ ช่ว งที่1 คอมพิวเตอร์จัดเป็นเครื่อง คำานวณทางอิเล็กทรอนิกส์ จึงทำางานลักษณะ วงจรเปิด-ปิดแทนค่าด้วย0กับ1ผู้สร้างภาษาจึง ออกแบบรหัสคำาสั่งเป็นชุดเลขฐานสอง เรียกว่า ภาษาเครื่อง (Machine Language) ผู้ทจะเขียน ี่ รหัสคำาสั่งควบคุมระบบได้จึงจำากัดอยู่เฉพาะกลุ่ม และใช้ในห้องปฏิบัติการทดลองดำาเนินงาน
  • 4. ช่ว งที่2 จากช่วงแรกทีรหัสคำาสั่งเป็นชุด ่ เลขฐานสองมีความยุ่งยากในการจำาชุดของ รหัสคำาสั่งควบคุมการทำางาน จึงมีผู้พฒนารหัส ั คำาสั่งเป็นอักษรภาษาอังกฤษร่วมกับเลขฐาน อื่น เช่น เลขฐานสิบหกเพือให้เขียนคำาสั่ง ่ ควบคุมงานง่ายขึ้น ตั้งชื่อภาษาว่าแอสเซมบลี หรือภาษาสัญลักษณ์(Assembly/Symbolic Language) พร้อมกันนีต้องพัฒนาโปรแกรม ้ แปลภาษาขึ้นมาด้วย(Translator program)คือโปรแกรมแอสเซม เบอร์(Assembler) ใช้แปลรหัสคำาสั่งกลับมา เป็นเลขฐานสอง เพื่อให้ระบบสามารถประมวล ผลได้
  • 5. ช่ว งที่3 เป็นช่วงทีบริษทหลายแห่งสร้าง ่ ั ภาษาคอมพิวเตอร์หลากหลายภาษาเน้นให้ใช้งาน ง่ายขึ้นโดยรหัสคำาสั่งเป็นข้อความใกล้เคียงกับภาษา อังกฤษทีใช้ในการสื่อสารกันอยู่แล้ว จัดให้เป็นกลุ่ม ่ ภาษาระดับสูง(High Level Language) เช่นภาษา เบสิก ภาษาปาสคาล ภาษาซี ในส่วนของโปรแกรม แปลภาษามี2ลักษณะคือ อินเทอร์พรีตเทอร์ และคอม ไพเลอร์ ช่ว งที่4เน้นเพิมประสิทธิภาพภาษา ่ คอมพิวเตอร์ให้นำาไปใช้ควบคุมการทำางานระบบ คอมพิวเตอร์ทใช้งานร่วมกับเทคโนโลยีสอสาร ภาษา ี่ ื่ มีรูปแบบการเขียนรหัสคำาสั่งเป็นงานโปรแกรมเชิง วัตถุ(Graphic User interface:GUI)ลดขั้นตอนการ จดจำาเพื่อพิมพ์รหัสคำาสั่งมาเป็นการคลิกเลือกรายการ คำาสั่ง และป้อนค่าควบคุม เช่นภาษีวิชวลเบสิ ก(Visual Basic) ภาษาจาวา(JAVA)
  • 6. 1.2 ตัว อย่า งภาษาระดับ สูง ทีไ ด้ร ับ ความ ่ นิย มใช้ง านมีด ัง นี้ 1.2.1 ภาษาเบสิก (BASIC:Beginner’s All-purpose Symbolic Instruction code) เป็นภาษาในระยะเริ่มแรกทีพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ ่ ในห้องปฏิบัติการของสถาบันการศึกษา เพือฝึก ่ ทักษะการเขียนรหัสคำาสั่งควบคุมการทำางานของ คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กคือไมโครคอมพิวเตอร์
  • 7. 1.2.2 ภาษาโคบอล (COBOL:Common Business Oriented Language )เป็นภาษาในยุค แรกทีมสักษณะโปรแกรมเชิงโคลงสร้าง ช่วงต้นของ ่ ี ภาษาได้รับการออกแบบรหัสคำาสั่งเพือควบคุมการ ่ ทำางานคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ประเภท เมนเฟรม และ มินิ ต่อมาจึงปรับรูปแบบคำาสังให้ใช้กับไมโคร ่ คอมพิวเตอร์ได้
  • 8. 1.2.3 ภาษาปาสคาล (PASCAL)เป็น ภาษาทีมรูปแบบเป็นโครงสร้างได้รับการ ่ ี ออกแบบมาเพื่อใช้เขียนรหัสคำาสั่งควบคุมการ ทำางานไมโดรดอมพิวเตอร์
  • 9. 1.3ตัว แปลภาษาคอมพิว เตอร์(Translator Programe) การเขียนรหัสคำาสั่งควบคุมการทำางานระบบ ด้วยภาคอมพิวเตอร์ใดๆก็ตาม ทีมใช่ภาษาเครื่อง ระบบ ่ ิ จะไม่สามารถประมวลผลได้ทนทีเพราะการทำางานของ ั ่ ระบบเป็นรหัสคำาสั่งให้เป็นรหัสเลขฐาน 2 ด้วย โปรแกรมแปลรหัสคำาสังภาคอมพิวเตอร์มการทำางาน 3 ่ ี ลักษณะคือ
  • 10. 1.3.1โปรแกรมแปลภาแบบแอสเซมเบลอร์ ใช้แปลรหัสคำาสั่งเฉพาะภาษาแอสเซมบลีให้เป็นเลข ฐานสอง 1.3.2โปรแกรมแปลภาแบบคอมไพเลอร์ ลักษณะการแปลคือ แปลคำาสั่งทังโครงสร้างโปรแกรม ้ แล้วจึงแจ้งข้อผิดพลาดทั้งหมดเพือแก้ไข จากนันต้อง ่ ้ ประมวลผลใหม่ หากไม่มข้อผิดพลาดจะสร้างแฟ้ม ี โปรแกรมใหม่อัตโนมัติเพื่อเก็บรหัสเครื่อง ภายหลังเมือ ่ เรียนใช้โปรแกรมนี้ เครื่องจะอ่านรหัสจากโปรแกรมที่ สร้างไว้นั้น จึงไม่ต้องเริ่มแปลรหัสใหม่ 1.3.3โปรแกรมแปลภาแบบอิน เทอร์พ รีต เตอร์ ลักษณะการแปลคือ แปลรหัสทีละคำาสั่ง เมื่อพบ ข้อผิดพลาดจะหยุดทำางาน แล้วจึงแจ้งข้อผิดพลาดได้ ทราบเพือแก้ไข จากนันประมวลผลใหม่ จนกว่าจะไม่มี ่ ้
  • 11. 1.4การเลือ กใช้ภ าคอมพิว เตอร์ 1.พิจารณาจุดเด่นประสิทธิภาพของคำาสังงาน ่ แต่ละภาษา เปรียบเทียบกับลักษณะงาน 2.พิจารณาลักษณะการประมวลผล 3.พิจารณาคุณสมบัติเครื่องคอมพิวเตอร์ และรุ่น ของระบบปฏิบัติการทีใช้ควบคุม ่ 4.ควรเลือกภาทีทมงานพัฒนาระบบงาน ่ ี โปรแกรมมีความชำานาญอยู่แล้ว เพือไม่ต้องเสียเวลา ่ เริ่มต้นเรียนรู้ภาษาใหม่
  • 12. 5.ควรเป็นภาษาทีมลักษณะเป็นโครงสร้าง มี ่ ี ความยืดหยุนสูง อำานวยความสะดวกในการ ่ ปรับปรุงพัฒนาระบบงานในอนาคต 6.หากระบบงานต้องการความปลอดภัยเรื่อง การเข้าถึงข้อมูล ต้องคัดเลือกภาคอมพิวเตอร์ทมี ี่ ประสิทธิภาพในเรื่องนีด้วย ้ 7.พิจารณางบประมาณใช้จัดหาคอมพิวเตอร์ ทีมลิขสิทธิ์ถูกต้องมาใช้งาน ่ ี 8.เป็นภาคอมพิวเตอร์ทได้รับความนิยมใช้ ี่ งานทัวไปเพือศึกษารวบรวมข้อมูล ่ ่
  • 13. 2. การพัฒ นาระบบงานทาง คอมพิว เตอร์ การพัฒ นาระบบงาน (System Development) เป็นกระบวนการพัฒนา ระบบงานเดิม ให้เป็นระบบการทำางานแบบ ใหม่ มีจุดประสงค์ให้ระบบการทำางานมี ประสิทธิภาพมากขึ้น สำาหรับการพัฒนา ระบบงานทางคอมพิวเตอร์นอกจากจัดหา อุปกรณ์ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ เพือนำามา ่ ใช้งานแล้วยังต้องจัดหาโปรแกรมประยุกต์ งานมาใช้ในการดำาเนินงานอีกด้วย
  • 14. ขั้นตอนการสร้างโปรแกรมประยุกต์งาน อาจ ปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม ในทีนี้มี ่ แนวทางดำาเนินงานดังนี้ คือ 1) ขั้นกำาหนดขอบเขตปัญหา 2)ขั้นวางแผนและการออกแบบ 3) ขั้นดำาเนินการเขียนคำาสั่งงาน 4) ขั้นทดสอบและแก้ไขโปรแกรม 5) ขั้นจัดทำาคู่มอระบบ ื 6) ขั้นการติดตั้ง และ 7) ขั้นการบำารุงรักษา
  • 15. 2.1 ขั้น กำา หนดขอบเขตปัญ หา (Problem Definition) เริ่มต้นด้วยการศึกษาวิเคราะห์ระบบงาน เดิม เพือพัฒนาเป็นระบบงานใหม่ อาจวิเคราะห์ ่ งานจากผลลัพธ์ เช่นรูปแบบรายงาน เพือ ่ วิเคราะห์ส่วกรณีเป็นระบบงานใหญ่ ความซับใช้ นทีเกียวข้องต่อไป เช่น สมการที่ ่ ่ คำานวณ การนำาเข้าข้อมูลทีใช้ประมวลผล ่ ซ้อนของงานย่อมมากขึ้น อาจเริ่มจากศึกษา สภาพปัญหา โดยรวบรวมข้อมูลปัญหาและ ความต้องการต่างๆ จากผู้เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ บริหาร ผู้ปฏิบัติงาน เพื่อสรุปและศึกษา ความ เป็นไปได้ ในการพัฒนาระบบงานใหม่
  • 16. 2.2 ขั้น วางแผนและการออกแบบ (Planing & Dedsign) ขั้นตอนการวางแผนวิเคราะห์ลำาดับการทำางานมี หลายวิธีให้เลือกใช้เช่น วิธีลอการิทม วิธีซูโดโคด วิธี ึ ผังงาน สำาหรับขั้นตอนการออกแบบระบบ เช่น การ ออกแบบรูปแบบการแสดงผล การออกแบบรูปแบบ การนำาเข้าข้อมูลมีแนวทางการออกแบบระบบ ดังนี้ •จำานวนและประเภทเนื้อหาข้อมูลต้องมีเพียงพอ ครบ ถ้วนสมบูรณ์ นำาเสนอเฉพาะข้อมูลทีเกียวข้องกันและ ่ ่ แยกกัน •รูปแบบการนำาเสนอข้อมูลต้องอยู่ในรูปแบบทีผู้ใช้ ่ ระบบเข้าใจง่าย •รูปแบบแสดงผล คำานึงว่าเป็นการแสดงผลรายงาน ทางจอภาพ หรือเครื่องพิมพ์เพาะการกำาหนดรูปแบบ และรายละเอียดมีความแตกต่างกัน
  • 17. 2.3 ขั้น ดำา เนิน การเขีย นคำา สั่ง งาน (Codling) เป็นขั้นตอนเขียนคำาสั่งควบคุมงาน ด้วย ภาษาคอมพิวเตอร์ตามกฎเกณฑ์ไวยากรณ์ที่ กำาหนดไว้ ต้องลำาดับคำาสั่งสามขั้นตอนทีวิเคราะห์ ่ ไว้ สำาหรับขั้นตอนการเขียนคำาสั่ง มีแนวทางการ ดำาเนินงาน ดังนี้ •จัดทีมงานในองค์กรวิเคราะห์และพัฒนาระบบงาน เอง มีข้อดี ปรับแก้ไขโปรแกรมได้ตามต้องการ •จัดซื้อโปรแกรมสำาเร็จรูป ข้อดีคือ มีโปรแกรมที่นำา มาใช้กบงานได้ทนที งานขององค์กรไม่หยุดชะงัก ั ั และมีบริการอบรมการใช้โปรแกรม
  • 18. 2.4ขั้น ทดสอบและแก้ไ ขโปรแกรม (Testing & Debugging) การทดสอบการทำางานของโปรแกรมแบ่ง เป็น2ช่วงคือ ช่วงแรกทดสอบโดยผู้พฒนาระบบ ั งานเอง ทดสอบเพือหาข้อผิดพลาดจากการใช้ ่ ไวยากรณ์คำาสั่ง และวิเคราะห์เปรียบเทียบผลลัพธ์ งานกับจุดประสงค์ของงาน หากไม่มข้อผิดพลาด ี ใดๆ จึงส่งมอบการทดสอบอีกช่วงคือ ทดสอบโดย ระบบจริง ทังนีข้อผิดพลาดทีเกิดจาการทดสอบ โดย ้ ้ ่ สรุปมี 2 รูปแบบคือ •ข้อผิดพลาดทีเกิดจากการใช้คำาสั่งผิดรูปแบบ ่ •ข้อผิดพลาดทีเกิดจากกระบวนการวิเคราะห์งาน ่ ผิด
  • 19. 2.5ขั้น จัด ทำา คู่ม อ ระบบ (Documenrtation) ื เมือโปรแกรมผ่านการทดสอบ ผู้พฒนาระบบจะต้อง ่ ั รวบรวมเอกสารเพือจัดทำาคู่มอการใช้ระบบงานซึ่งมี ่ ื ความสำาคัญมาก เพราะเปรียบเสมือนกับพิมพ์เขียว ของบ้าน คู่มอระบบมีหลายแบบ เช่น ื •คู่มอสำาหรับผู้ใช้ระบบ (User Doc.) เป็นส่วน ื อธิบายขั้นตอนการทำางานของระบบเพือให้ผู้ใช้ ่ ระบบเรียนรู้การทำางาน เช่น วิธีกรอกข้อมูลในส่วน ต่างๆ •คู่มอระบบงาน (System Doc.) จัดทำาสำาหรับผู้ ื ดูแลผู้ดูแลระบบ เช่น ขั้นตอนการติดตั้งโปรแกรม การแก้ปัญหาระบบงานขั้นพื้นฐาน
  • 20. 2.6 ขั้น การติด ตั้ง (Implementation) เป็นขั้นตอนนำาระบบใหม่ทผ่านการทดสอบ ี่ และได้รับการยอมรับจากกลุ่มตัวแทนผู้ใช้ระบบว่า สามารถนำามาทดแทนระบบงานเดิม มีแนวทางการ ใช้ระบบใหม่ ดังนี้ •ติดตั้งระบบแบบหยุดรับงานเดิมทั้งหมด และใช้ ระบบงานใหม่ทนที วิธีนสะดวกกับผู้ใช้คือ ทำางาน ั ี้ ระบบงานเดียว แต่มความเสี่ยงสูง หากระบบงาน ี ใหม่มปัญหา จะไม่สามารถใช้งานระบบใดได้เลย ี •ติดตั้งระบบแบบคู่ขนาน เป็นการทำางาน 2 ระบบ ในคราวเดียวกัน เพือป้องกันปัญหาทีอาจเกิดขึ้นกับ ่ ่ ระบบงานใหม่ ยังคงมีระบบงานเดิมสำารองความผิด พลาดที่ไม่อาจคาดคิด เกิดขึ้นได้ แต่เป็นการเพิ่ม ภาระงานของผู้ใช้ระบบทีต้องทำางานทั้ง 2 ระบบ ่ จนกว่าจะแน่ใจว่าระบบงานใหม่ สามารถใช้รองรับ การทำางานได้โดยไม่มข้อผิดพลาดใดๆ ี
  • 21. •ติดตั้งระบบแบบทีละเฟส เป็นการติดตั้งระบบ ย่อยทีละระบบจากระบบงานทังหมดเพื่อพิจารณา ้ ประสิทธิภาพการทำางาน หากมีข้อผิดพลาดทีเฟส ่ ใดจะดำาเนินการแก้ไขเฉพาะเฟสนันก่อน จากนัน ้ ้ จึงขยายจนครบทังระบบ ้ •ติดตั้งระบบแบบโครงการนำาร่อง พิจารณาจัดทำา เฉพาะงานของหน่วยงานในองค์กรที่มความ ี สำาคัญและความจำาเป็น พิจารณาผลงานทีได้ หาก ่ ไม่มปัญหาเรื่องงใด จึงขยายระบบงานต่อไป ี
  • 22. เป็นการดูแลระบบงานหลังติดตั้งระบบ ให้อยู่ มนสภาพพร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา สาเหตุทต้อง ี่ บำารุงรักษา ดังนี้ •การบำารุงรักษาด้วยการแก้ไขระบบให้ถูกต้อง เป็นข้อผิดพลาดทีเกิดขึ้นหลังจากมีการใช้ข้อมูล ่ จริงในระบบงาน ซึ่งตรวจสอบไม่พนในขั้นการ ้ ทดสอบระบบ •การบำารุงรักษาด้วยการปรับปรุงให้ดีขึ้น เป็นการ ปรับระบบงานกรณีผลกระทบอื่น เช่น การปรับ ระบบงานกรณีผลกระทบอื่น เช่น การปรับปรุง คำานวณภาษีทมการเปลี่ยนแปลงไปตามนโยบาย ี่ ี ของรัฐ •การบำารุงรักษาด้วยการป้องกัน เช่น ป้องกันการ เกิดความสูญหายของข้อมูลทีอาจเกิดจากระบบ ่ ไฟฟ้า การทำาระบบสำารองข้อมูล การป้องกันไวรัส คอมพิวเตอร์ การบุกรุกข้อมูล
  • 23. 3. แนวทางสร้า งโปรแกรมประยุก ต์ง าน 3.1 ขั้น วิเ คราะห์ร ะบบงานเบื้อ งต้น อาจวิเคราะห์จากผลลัพธ์ หรือลักษณะรูปแบบ รายงานของระบบงานนัน เพื่อวิเคราะห์ยอนไปถึงทีมา ้ ้ ่ ของข้อมูลคือสมการคำานวณ จนถึงข้อมูลที่ต้องป้อน เข้าระบบเพื่อใช้ในสมการ แนวทางการวิเคราะห์ระบบ งานเบื้องต้นโดยสรุปวิธีมขั้นตอนย่อยดังนี้ 1) สิงที่ ี ่ ต้องการ 2) สมการคำานวณ 3) ข้อมูลนำาเข้า 4) การ แสดงผล 5)กำาหนดคุณสมบัติตัวแปร และ 6) ลำาดับ ขั้นตอนการทำางาน
  • 24. 3.2 ขั้น วางแผนลำา ดับ การทำา งาน มีหลายวิธี เช่น อัลกอริทม ซูโคโคด ผัง ึ งาน ต่างมีจุดประสงค์เพือแสดงลำาดับขั้นตอน ่ กระบวนการแก้ปัญหางานเพือให้ได้ผลลัพธ์ตาม ่ ต้องการ ก่อนไปสู่ขั้นตอนการเขียนคำาสั่ง และ กรณีโปรแกรมมีข้อผิดพลาด สามารถย้อนกลับ 3.3 ขั้น ดำา เนิน การเขีย นโปรแกรม ตรวจสอบทีขั้นตอนนีได้ ่ ้ เป็นขั้นตอนเขียนคำาสั่งควบคุมตามลำาดับ การทำางานที่ได้วิเคราะห์ไว้ในกระบวนการ วางแผนลำาดับการทำาวาน ขั้นตอนนีต้องใช้คำาสัง ้ ่ ให้ถูกต้องตามรูปแบบกฎเกณฑ์ไวยากรณ์การใช้ งานคำาสั่ง ทีแต่ละภาษาได้กำาหนดไว้
  • 25. กรณีผู้สร้างระบบงานและผู้ใช้ระบบงานเป็น คนเดียวกัน การทดสอบจึงมีขั้นตอนเดียวคือ ทดสอบ ไวยากรณ์คำาสั่งงาน และทดสอบโดยใช้ข้อมูลจริง เพือตรวจสอบค่าผลลัพธ์ แต่กรณีทผู้สร้างระบบงาน ่ ี่ และผู้ใช้ระบบงานมิใช่คนเดียวกัน การทดสอบระบบ จะมี 2 ช่วง คือ ทดสอบโดยผู้สร้างระบบงาน เมือ ่ ไม่มข้อผิดพลาดใด จึงส่งให้ผู้ใช้ระบบงานเป็นทก ี สอบ หากมีข้อผิดพลาดใด จึงส่งให้ผู้ใช้ระบบงาน เป็นผู้ทดสอบ หากข้อผิดพลาดใดจะถูกส่งกลับไปให้ 3.5ขั้น เขีย นเอกสารประกอบ ผู้สร้าเมือโปรแกรมผ่านการทดสอบให้ผลลัพาจะถูก างาน งระบบงาน แก้ไข และตรวจสอบจนกว่ธ์การทำ ่ ถูกต้อง ส่งองจัดทำาเอกสารประกอบการใช้โปรแกรมด้วย แล้วจึง ต้ มอบระบบงาน คู่มอระบบงานทีง่ายทีสุดคือ รวบรวมเอกสารทีจัดทำาจาก ื ่ ่ ่ 3.1-3.4 มารวมเล่ม นอกนั้นอาจมีรายละเอียดเกี่ยวกับวิธี ใช้โปรแกรมระบบงาน เช่น วิธีป้อนข้อมูล หรืออาจมีวิธี ติดตั้งโปรแกรมระบบงาน รวมทังคุณสมบัติเครื่อง ้ คอมพิวเตอร์ทสามารถนำาโปรแกรมไปใช้งาน เป็นต้น ี่
  • 26. รลำา ดับ ขั้น ตอนงานด้ว ยผัง งาน ในที่นกล่าวถึงเฉพาะสัญลักษณ์ทใช้ในการเขียนผังงาน ี้ ี่ โปรแกรมเป็นส่วนใหญ่ ดังนี้ ตารางที่ 1.1 สัญลักษณ์ ผังงานโปรแกรม หน้าที่การใช้งาน ลำาดั สัญลัก ษณ์ ชื่อสัญลักษณ์ บ 1 Terminal เริ่มต้น หรือสิ้น symbol สุดการทำางาน 2 Processing ประมวลผล symbol 3 Decision แสดงการตัดสิน Symbol ใจหรือเปรียบ เทียบ 4 Input/outpu รับ/แสดงผล t Symbol ข้อมูล โดยไม่ ระบุอุปกรณ์ 5 Manual รับข้อมูลจาก input แป้นพิมพ์ Symbol
  • 27. 8 Connect จุดต่อเนื่องการ Symbol ทำางาน ต่อหน้า อื่น 9 Connect จุดต่อเนื่องการ Symbol ทำางาน หน้า เดียวกัน 10 Connect จุดรวมการเชื่อม Symbol ต่อ 11 Preparation กำาหนดค่าเริ่ม Symbol ต้นรอบวนซำ้า 12 Subroutine การทำางานย่อย processing 13 Flow line เส้นทางกิจกรรม คำาสั่ง
  • 28. 4.2 หลัก ในการเขีย นผัง งาน ข้อแนะนำาในการเขียนผังงานเพื่อให้ผู้อ่านระบบงาน ใช้ศกษา ตรวจสอบลำาดับการทำางานได้ง่ายไม่สับสน มี ึ แนวทางปฏิบัติดังนี้ 1.ทิศทางการทำางานต้องเรียงลำาดับตามขั้นตอนที่ได้ วิเคราะห์ไว้ 2.ใช้ชอหน่วยความจำา เช่น ตัวแปร ให้ตรงกับขั้นตอน ื่ ทีได้วิเคราะห์ไว้ ่ 3.ลูกศรกำากับทิศทางใช้หัวลูกศรตรงปลายทางเท่นน ั้ 5.ต้องไม่มลูกศรลอยๆ โดยไม่มการต่อจุดการทำางาน ี ี ใดๆ 6.ใช้สญลักษณ์ให้ตรงกับความหมายการใช้งาน ั 7.หากมีคำาอธิบายเพิ่มเติมให้เขียนไว้ด้านขวาของ สัญลักษณ์นน ั้
  • 29. 4.3 ประโยชน์ข องผัง งาน 1.ทำาให้มองเห็นรูปแบบของงานได้ทั้งหมด โดยใช้เวลาไม่มาก 2.การเขียนผังงานเป็นสากล สามารถนำาไป เขียนคำาสั่งได้ทกภาษา ุ 3.สามารถตรวจสอบข้อผิดพลาดของ โปรแกรมได้อย่างรวดเร็ว
  • 30. การเขียนผังงานแสดงลำาดับการทำางานของระบบ งานไม่มรูปแบบการเขียนตายตัว เพราะเป็นเรื่องการ ี ออกแบบระบบงานของแต่ละบุคคล ในส่วนนีเป็นการนำา ้ เสนอรูปแบบการเขียนผังงานโปรแกรมดังนี้ 4.4.1การเขีย นผัง งานแบบเรีย งลำา ดับ แสดงขั้น ตอนการทำางานตามลำาดับ โดยไม่มทางแยกการทำางานแต่ ี อย่างใด เช่น
  • 31. 4.4.การเขีย นผัง งานแบบมีท างเลือ กการ ทำา งาน แสดงขั้นตอนการทำางานที่มีลักษณะ กำาหนดเงื่อนไขทางตรรกะ ให้ระบบสรุปว่าจริง หรือเท็จ เพือเลือกทิศทางประมวลผลคำาสั่งทีได้ ่ ่ กำาหนดไว้ เช่น
  • 32. 4.4.3 การเขีย นผัง งานแบบตรวจสอบเงือ นไข ่ ก่อ นวนซำ้า แสดงขั้นตอนการทำางานที่มีลักษณะ กำาหนดเงื่อนไขทางตรรกะให้ระบบตรวจสอบก่อน เพือ ่ เลือกทิศทางการวนซำ้า หรือออกจากการวนซำ้า เช่น
  • 33. 4.4.4การเขีย นผัง งานแบบตรวจสอบ เงื่อ นไขหลัง วนซำ้า แสดงขั้นตอนการทำางานที่มี ลักษณะทำางานก่อนหนึงรอบ แล้วจึงกำาหนด ่ เงื่อนไขทางตรรกะให้ระบบตรวจสอบ เพื่อเลือก ทิศทางการวนซำ้าหรือออกจากการวนซำ้า เช่น
  • 34. สมาชิก 1.นายสหรัฐ สาระนัย เลขที่ 3 2.นายณัฎฐกรณ์ แผนกุล เลขที่ 7 3.นางสาวสุภลักษณ์ แย้มโอษฐ เลขที่ 17 4.นางสาวกัญญาณัฐ พ่วงปาน เลขที่ 29 5.นางสาวทิมาพร มั่นใจ เลขที่ 32 6.นางสาววรรณิศา กระดี่