บทที่ 1 บทนำสู่การสำรวจรังวัด
- 1. บทที่ 0 แนะนำรายวิชาการสำรวจรังวัด (Introduction to Surveying Course) อ . ดร . ชาติชาย ไวยสุระสิงห์ ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
- 2. เนื้อหารายวิชา ( Course Description) มโนทัศน์พื้นฐานของการสำรวจ ทฤษฎีความคลาดเคลื่อน การวัดปริมาณต่างๆ ในงานสำรวจ การระดับ เครื่องมือที่ใช้ในการวัดมุมและระยะทาง การรังวัดวงรอบและการคำนวณ การประกอบแผนที่ภูมิประเทศ การสำรวจรังวัดควบคุมสำหรับงานแผนที่ ดาราศาสตร์ปฏิบัติเบื้องต้น โครงข่ายสามเหลี่ยม ข้อกำหนดสำหรับการรังวัดแผนที่ภูมิประเทศ
- 4. วัตถุประสงค์ เพื่อให้นักศึกษามีความรู้ความเข้าใจในทฤษฎีการวัด ความคลาดเคลื่อนและการสำรวจเบื้องต้น เพื่อให้นักศึกษาสามารถประเมินความคลาดเคลื่อนจากการวัดระยะทางและการวัดมุมได้ เพื่อให้นักศึกษาทำการรังวัดข้อมูลพื้นฐาน เช่น มุม ระยะ ความสูงและตำแหน่งในสนามได้ เพื่อให้นักศึกษาสามารถทำงานรังวัดควบคุมทางราบและทางดิ่งได้ เพื่อให้นักศึกษาสามารถทำงานรังวัดทางดาราศาสตร์ได้ เพื่อให้นักศึกษาเข้าใจหลักการของงานโครงข่ายสามเหลี่ยม เพื่อให้นักศึกษาทำงานสำรวจรังวัดแผนที่ภูมิประเทศ และการรังวัดรูปตัดตามแนวยาวและตามขวางได้ เพื่อให้นักศึกษาใช้ประโยชน์จากแผนที่ภูมิประเทศในการเขียนรูปตัด คำนวณพื้นที่และปริมาตรได้
- 5. เนื้อหารายวิชาบรรยาย แนะนำรายวิชาและวัตถุประสงค์ของรายวิชา บทนำและวิวัฒนาการของการสำรวจ ทฤษฎีการวัดและความคลาดเคลื่อน การบันทึกข้อมูลในสนาม การวัดระยะทาง การวัดระยะทางราบและการคำนวณ ปรับแก้ การระดับ การหาค่าต่างระดับ กล้องระดับและการตรวจสอบสภาวะกล้องระดับ การรังวัดรูปตัดตามแนวยาวและตามขวาง ทฤษฎีการวัดมุม เครื่องมือวัดมุมและการวัดสอบ กล้องสำรวจสถานีรวม ( Total Station) การรังวัดควบคุมทางราบ งานวงรอบ การคำนวณงานวงรอบ เส้นชั้นความสูงและการประยุกต์ใช้ พื้นที่และปริมาตร การรังวัดแผนที่ภูมิประเทศ เทคนิคการรังวัดตำแหน่งด้วยกล้อง Total Station โครงข่ายสามเหลี่ยม ดาราศาสตร์ปฏิบัติเบื้องต้น
- 6. รายชื่อหนังสืออ่านประกอบ หนังสือบังคับ หนังสือ การสำรวจรังวัด : ทฤษฎีและการประยุกต์ใช้ พิมพ์ครั้งที่ 2 สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย รศ . วิชัย เยี่ยงวีรชน หนังสือ การสำรวจพื้นฐาน โดย รศ . ดิลก ศรีนาวิน คู่มือปฏิบัติการการสำรวจรังวัด 1 แผนกวิชาวิศวกรรมสำรวจ โดย ผศ . ประกอบ มณีเนตร บทที่ 7 หนังสือ การสำรวจทำแผนที่ภูมิประเทศ โดย รศ . ดร . ชูเกียรติ วิเชียรเจริญ หนังสือ ดาราศาสตร์ปฏิบัติ โดย อ . ทวีเดช ลีละวัฒนา หนังสืออ่านเพิ่มเติม Kavanagh, B.F., “Surveying with construction applications,” 2nd .ed. , Prentice Hall, 1992. Kavanagh, B.F., “Surveying principles and applications,” 3rd .ed. , Prentice Hall, 1992. Wolf, P.R., “Elementary surveying,” 9th .ed., 1993.
- 7. บทที่ 1 บทนำสู่การสำรวจรังวัด (Introduction to Surveying) อ . ดร . ชาติชาย ไวยสุระสิงห์ ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
- 8. นิยามการสำรวจ ศาสตร์และศิลป์ในการหาตำแหน่ง หรือ กำหนดตำแหน่งต่างๆที่อยู่ใกล้กับผิวโลก ไม่ว่าจะเป็นเหนือ บน หรือ ใต้ผิวโลก โดยตำแหน่งต่างๆที่ได้นี้จะอยู่ในลักษณะของ ตำแหน่งสัมพัทธ์ (Relative Positioning) หรือ ตำแหน่งสัมบูรณ์ (Absolute Positioning) และด้วยความก้าวหน้าในเทคโนโลยีด้านต่างๆ จึงทำให้งานด้านการสำรวจรังวัดเป็นศาสตร์ที่มีลักษณะพิเศษโดยสามารถบูรณาการข้อมูลเชิงตำแหน่ง (Spatial Data) ที่ได้มานั้นเข้ากับศาสตร์อื่นๆได้ นอกจากนี้ ยังสามารถสัมพันธ์เข้ากับข้อมูลประเภทอื่นๆที่ไม่มีตำแหน่ง (Non-Spatial Data) เพื่อใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการข้อมูล โดยระบบนี้ เรียกว่า ระบบภูมิสารสนเทศ (Geographic Information Systems [GIS]) ดังนั้น ศาสตร์ด้านการสำรวจรังวัด จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Geomatics
- 9. Geomatics หรือ จีออเมติกส์ ความหมาย การวัดสิ่งต่างๆของสิ่งที่อยู่เหนือ บน และ ใต้ ผิวโลกเช่นเดียวกับคำว่า Surveying และยังมีความหมายกว้างขวางรวมไปถึงแขนงวิชาต่างๆที่ใช้เพื่อการสำรวจและจัดเก็บข้อมูลต่างๆของโลก ศาสตร์ย่อยของ Geomatics การสำรวจด้วยภาพถ่ายทางอากาศ (Photogrammetry) การสำรวจระยะไกล (Remote Sensing) การรังวัดหาพิกัดต่างบนผิวโลกด้วยระบบดาวเทียม GPS การสำรวจภาคพื้นดิน (Ground Surveying) การสำรวจชลศาสตร์ (Hydrographic Surveying)
- 10. การสำรวจหมายตำแหน่งในพื้นที่ รูปของตำแหน่งที่ต้องการในงานสำรวจ ค่าพิกัดทางราบแบบ 2 มิติ อาทิ ค่าพิกัดทางเหนือ และ ค่าพิกัดทางตะวันออก (N-E Coordinate System) ค่าพิกัดระบบพิกัดฉาก 3 มิติ อาทิ ค่าพิกัดทางเหนือ และ ค่าพิกัดทางตะวันออก ความสูงเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง (Height above Mean Sea Level, [MSL]) ข้อมูลที่ต้องทำการรังวัดจากงานสนาม ระยะระหว่างจุดสองจุด ทิศทางในแนวต่างๆเพื่อนำไปคำนวณหามุมระหว่างทิศทางแต่ละทิศทาง
- 11. วิวัฒนาการสำรวจรังวัด 1,400 ปีก่อนคริสต์ศักราช ชาวอียิปต์ใช้หลักการสำรวจในการแบ่งแปลงที่ดินเพื่อการ จัดเก็บภาษี 120 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ชาวกรีกได้มีการคิดค้นศาสตร์ทางด้านตรีโกณมิติขึ้น เพื่อใช้ใน การแบ่งแปลงที่ดินให้มีความถูกต้องที่ดีขึ้น มีการสร้างเครื่องมือสำรวจขึ้นมาชิ้นแรกเรียกว่า ไดออพทรา ( Dioptra) มีการกำหนดขั้นตอนในการสำรวจเพื่อใช้เป็นแนวทางเดียวกันในสมัยนั้น สมัยโรมันต้นศตวรรษ Frontinus มีการผลิตเครื่องมือสำรวจสำหรับงานก่อสร้างที่เรียกว่าโกรมาขึ้น ปี ค . ศ . 1800 เป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงการสำรวจตามภาคอุตสาหกรรม ได้มีการพัฒนาเครื่องมือสำรวจที่ให้ความถูกต้องดีขึ้น มีการพัฒนาศาสตร์ของการสำรวจบนพื้นระนาบ (Plane surveying) และการสำรวจขั้นสูง ( Geodetic surveying) เกิดขึ้น
- 12. ประเภทของงานสำรวจ ลักษณะของงานสำรวจรังวัดตามความละเอียดถูกต้องของการวัดและการคำนวณ คือ งานสำรวจขั้นสูง (Geodetic Surveys) เป็นงานสำรวจที่มีความละเอียดถูกต้องสูง และคำนึงถึงรูปร่างสัณฐานของโลกหรือความโค้งของผิวโลก (Earth Curvature) เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยจะใช้กับพื้นที่ขนาดใหญ่ ดังนั้นการคำนวณต่างๆจึงอยู่บนผิวโค้งซึ่งจะใช้พื้นผิวของรูปทรงรี (Ellipsoid) ที่เหมาะสมแทนสัณฐานโลกในแต่ละพื้นที่ งานสำรวจบนพื้นระนาบ (Plane Surveys) เป็นงานสำรวจที่ใช้สมมติฐานที่ว่า พื้นที่ที่ทำการสำรวจเป็นพื้นระนาบ ดังนั้น การคำนวณต่างๆจึงสามารถใช้สูตรทางเรขาคณิตบนพื้นระนาบในการคำนวณได้ ทำให้ง่ายต่อการทำงาน โดยจะใช้กับพื้นที่ขนาดเล็กซึ่งความโค้งของผิวโลกไม่มีผลกระทบ ใช้การคำนวณบนพื้นฐานระนาบ โดยมีสมมติฐานว่า “ทุกจุดในพื้นที่มีทิศทางของแรงดึงดูดพิภพ ( gravity) ขนานกันหมด”
- 14. ชนิดของงานสำรวจรังวัด งานสำรวจสามารถแบ่งเป็นชนิดของงานได้ตามเฉพาะเรื่อง ดังนี้ งานสำรวจรังวัดควบคุม (Control Surveys) งานสำรวจเพื่อการจัดสร้างโครงข่ายหมุดหลักฐานทางราบและทางดิ่งเพื่อใช้อ้างอิงสำหรับงานสำรวจอื่นๆ งานสำรวจรังวัดภูมิประเทศ (Topographic Surveys) งานสำรวจเพื่อหาตำแหน่งของสิ่งต่างๆบนผิวโลก ไม่ว่าจะเป็นสิ่งปรากฏในธรรมชาติ หรือสิ่งปลูกสร้างต่างๆรวมทั้งค่าระดับความสูงของพื้นที่ และนำมาเขียนเป็นแผนที่ภูมิประเทศ (Topographic Map) งานสำรวจแปลงที่ดิน (Cadastral Surveys) งานสำรวจเพื่อกำหนดแนวเขตที่ดิน เพื่อการจัดทำกรรมสิทธิ์ที่ดินตามกฏหมาย
- 15. ชนิดของงานสำรวจ ( ต่อ ) งานสำรวจทางวิศวกรรม (Engineering Surveys) งานสำรวจที่เกี่ยวของกันกับงานทางด้านวิศวกรรมโครงการต่างๆ ได้แก่ การวางแนวผัง การให้แนว การวางตำแหน่งสิ่งปลูกสร้างตามการออกแบบ รวมทั้งการสำรวจเก็บรายละเอียดสภาพความเป็นจริงหลังจากการดำเนินการก่อสร้างเสร็จแล้ว เพื่อจัดทำแบบขั้นสุดท้ายที่เรียกว่า แบบก่อสร้าง ( As-built Drawing) งานสำรวจเส้นทาง (Route Surveys) งานสำรวจเพื่อการออกแบบก่อสร้างประเภทเส้นทางต่างๆ เช่น ถนน คลองส่งน้ำ อุโมงค์ การวางท่อ เป็นต้น
- 16. ชนิดของงานสำรวจ ( ต่อ ) การสำรวจชลศาสตร์ (Hydrographic Surveys) งานสำรวจขอบเขตชายฝั่งทะเล ความลึกท้องน้ำต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น แม่น้ำ ลำคลอง ทะเลสาบ อ่างเก็บน้ำ ทะเล และ มหาสมุทร เพื่อจัดทำแผนที่ร่องน้ำใช้ในการเดินเรือ การสำรวจเหมืองแร่ (Mine Surveys) การสำรวจสำหรับการทำเหมือง ไม่ว่าจะเป็นงานเหมืองเปิดบนดิน หรือ เหมืองใต้ดิน การสำรวจงานอุตสาหกรรม (Industrial Surveys) งานสำรวจที่ต้องการความละเอียดถูกต้องสูงมากในการติดตั้งเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ หรือ เครื่องจักรทางด้านอุตสาหกรรมเพื่อการผลิต
- 18. ชั้นความถูกต้องของงานสำรวจ ( ต่อ ) ระดับงานชั้นหนึ่ง (First Order) เป็นมาตรฐานสูงสุดที่ใช้ในการควบคุมคุณภาพของงานรังวัดในระดับโครงข่ายหมุดควบคุมทางราบและดิ่ง ทั้งในระดับชาติ จังหวัด เมือง และงานวิจัยต่างๆ ระดับงานชั้นสอง (Second Order) เป็นมาตรฐานรองลงมาจากชั้นงานที่หนึ่งโดยจะใช้ในการขยายหรือเพิ่มจำนวนหมุดควบคุมทางราบและดิ่งจากหมุดงานชั้นที่หนึ่ง เป็นหมุดควบคุมสำหรับพื้นที่ที่เล็กกว่าเมือง ระดับงานชั้นสาม (Third Order) เป็นมาตรฐานที่ต่ำที่สุดซึ่งใช้สำหรับงานโครงการพื้นที่เล็กๆหรืองานก่อสร้างทางด้านสถาปัตยกรรมหรือวิศวกรรมต่างๆ
- 19. สัณฐานของโลก (Earth Shape) สัณฐานของโลก มีความสำคัญอย่างยิ่งต่องานสำรวจรังวัดโดยจำเป็นจะต้องมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้จึงจะสามารถคำนวณตำแหน่งต่างๆที่อยู่บนโลกได้อย่างถูกต้อง การระบุว่า โลกมีรูปร่างสัณฐานเป็นอย่างไรนั้นกระทำได้ยาก โดยในศาสตร์ด้านการสำรวจ ได้กำหนดนิยามสัณฐานของโลกออกไว้เป็น 3 ลักษณะ สัณฐานของโลกทางกายภาพ (Terrestrial Surface) สัณฐานของโลกยีออยด์ (Geoid) สัณฐานของโลกรูปทรงรี (Ellipsoid)
- 21. สัณฐานของโลกทางกายภาพ (Terrestrial Surface) เส้นของเขตระหว่างผิวดินหรือผิวน้ำกับอากาศรอบผิวโลก เป็นลักษณะที่ปรากฏจริงของผิวโลก ไม่สามารถนิยามรูปร่างได้ด้วยรูปทรงทางเรขาคณิต ตลอดจนไม่สามารถสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ใดๆขึ้นมาอธิบายได้
- 22. สัณฐานของโลกยีออยด์ (Geoid) สัณฐานของโลกที่เกิดจากการจินตนาการพื้นผิวของน้ำทะเลมหาสมุทรได้แผ่กระจายอย่างต่อเนื่องเข้าไปในแผ่นดินเดียวกันทั่วโลก โดยที่ทุกๆจุดบนพื้นผิวมีศักยภาพแรงโน้มถ่วงเท่ากัน ซึ่งยังคงมีลักษณะไม่ราบเรียบ แบบจำลองที่ได้จึงไม่สะดวกและยากที่จะใช้ในการคำนวณ
- 24. สัณฐานของโลกรูปทรงรี (Ellipsoid) การใช้รูปทรงรีซึ่งมีรูปทรงใกล้เคียงกับยีออยด์มากที่สุดเป็นสัณฐานของโลก โดยรูปทรงรีนี้จะเกิดจากการหมุนของวงรีรอบแกนสั้น ทำให้สามารถใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ในการคำนวณปริมาณต่างๆได้ เรียกกันว่า พื้นหลักฐาน (Datum) แบ่งได้เป็น 2 ประเภท รูปทรงรีภูมิสัณฐาน (Terrestrial Ellipsoid) รูปทรงรีพื้นหลักฐานที่ใช้อ้างอิงแทนลูกโลก ซึ่งจะมีจุดศูนย์กำเนิดอยู่ที่จุดใจกลางโลก และแกนหมุนสมมาตรขนานกับแกนหมุนเฉลี่ยของโลก ดังนั้น ทุกๆจุดบนผิวโลกจะอยู่ในระบบอ้างอิงเดียวกัน รูปทรงรีภูมิภาค (Best-fitting Ellipsoid) รูปทรงรีพื้นหลักฐานที่ใช้เฉพาะบริเวณหนึ่งในระดับภูมิภาคหรือระดับประเทศ โดยเป็นรูปทรงรีที่มีพื้นผิวใกล้เคียงกับพื้นผิวยีออยด์ในบริเวณนั้น ดังนั้น ตำแหน่งของจุดจะมีความสัมพันธ์กันเฉพาะพื้นที่ที่ใช้หลักฐานเดียวกันเท่านั้น การที่จะนำข้อมูลตำแหน่งจากพื้นหลักฐานดังที่กล่าวมาไปยังพื้นหลักฐานอื่นๆ ทำได้ด้วยวิธีการแปลงพื้นหลักฐานเท่านั้น
- 25. การวัดในงานสำรวจ (Measurements in Surveying) ในงานสำรวจรังวัดภาคสนามนั้น ปริมาณที่วัดได้สามารถแบ่งองค์ประกอบได้ดังนี้ ระยะ ระยะราบ (Horizontal Distance) ระยะดิ่ง (Vertical Distance) ระยะเอียง (Slope Distance) มุม มุมราบ (Horizontal Angle) มุมดิ่ง (Vertical Angle) มุมดิ่งบน หรือมุมซีนิธ (Zenith Angle)
- 26. หน่วยการวัด (Unit of Measurement) จากปริมาณต่างๆที่กล่าวมา ไม่ว่าจะเป็น การวัดระยะ หรือ การวัดมุม ก็ตาม จะต้องมีการเขียนขนาดของปริมาณที่วัดได้และต้องมีหน่วยกำกับทุกครั้ง เนื่องจากการทำงานในโลกยุคโลกาภิวัฒน์ที่ต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลในการทำงานร่วมกัน (Collaborative Working) ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลซึ่งกันและกัน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทราบถึงระบบการวัดหน่วยต่างๆที่ใช้กันทั่วโลก รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างระบบการวัด เพื่อการแปลงหน่วยไปมา
- 27. หน่วยความยาว (Length) ระบบเมตริก 10 มิลลิเมตร = 1 เซนติเมตร 100 เซนติเมตร = 1 เมตร 1000 เมตร = 1 กิโลเมตร ระบบอังกฤษ 12 นิ้ว = 1 ฟุต 5,280 ฟุต = 1 ไมล์ ระบบไทย 4 ศอก = 1 วา 20 วา = 1 เส้น 400 เส้น = 1 โยชน์ การเทียบหน่วย 1 นิ้ว = 2.54 เซนติเมตร 1 ฟุต = 30.48 เซนติเมตร 1 วา = 2 เมตร 1 กิโลเมตร = 25 เส้น
- 28. หน่วยมุม (Angle) ระบบองศา (Degree System) เป็นระบบที่แบ่งช่องรอบวงกลมออกเป็น 360 ส่วน ในแต่ละส่วนนี้จะเรียกว่า 1 องศา และในแต่ละองศาแบ่งส่วนย่อยออกเป็น 60 ส่วนย่อย โดยแต่ละส่วนย่อยนี้จะเรียกว่าเป็น 1 ลิปดา และในแต่ละส่วนย่อยจะแบ่งออกเป็น 60 ส่วนละเอียด และในแต่ละส่วนละเอียดนี้ จะเรียกว่าเป็น 1 ฟิลิปดา การบันทึกค่ามุมในระบบนี้สามารถแสดงได้สองแบบคือ บันทึกแบบระบบเลขฐานหกสิบ (Sexagesimal System) เป็นการบันทึกรูปขององศา ลิปดา ฟิลิปดา ดังนี้ อนึ่งในการแสดงผลค่ามุมออกในลักษณะนี้ออกทางโปรแกรมคอมพิวเตอร์ก็อนุโลมให้เขียนรูปทศนิยมแบบนี้ 28.140436 ได้เช่นกัน ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการแสดงผล บันทึกแบบระบบเลขฐานสิบ (Decimal System) เป็นการบันทึกในรูปทศนิยมหน่วยองศาอย่างเดียว เช่น 28.23454325 องศา เป็นต้น
- 29. หน่วยมุม (Angle) ระบบเกรด (Centesimal System) เป็นการแบ่งช่องรอบวงกลมออกเป็น 400 ส่วน โดยแต่ละส่วนเรียกว่า 1 gon และในแต่ละ gon นี้ แบ่งส่วนออกไปเป็น 100 ส่วนย่อย โดยแต่ละส่วนย่อย เรียกกว่า 1 Centesimal Minute ซึ่งจะถูกแบ่งเป็นส่วนละเอียดลงไปอีก 100 ส่วน โดยแต่ละส่วนละเอียดนี้เรียกว่า 1 Centesimal Second ระบบเรเดียน (Radian System) ระบบมุมที่มุมรอบวงกลมมีค่าเท่ากับ 2 p เรเดียน การเทียบหน่วยมุม 1 องศา = 1.11111 gon 1 ฟิลิปดา = เรเดียน
- 30. หน่วยพื้นที่ (Area) ระบบเมตริก (Metric System) 100 ตร . ม . (sq. meters) = 1 เอเคอร์ (are) 100 เอเคอร์ (Ares) = 1 เฮกตาร์ (hectare) 100 เฮกตาร์ (hectares) = 1 ตร . กม . (sq.kilometer) 1 ล้าน ตร . ม . = 1 ตร . กม . ระบบไทย (Thai System) 100 ตารางวา = 1 งาน 4 งาน = 1 ไร่ การเทียบหน่วย 1 ตารางวา = 4 ตารางเมตร 1 ไร่ = 1600 ตารางเมตร 625 ไร่ = 1 ตารางกิโลเมตร
- 31. เลขนัยสำคัญ (Significant Figures) จำนวนเลขนัยสำคัญ คือ จำนวนหลักตัวเลขที่บอกถึงความละเอียดที่อ่านได้จากการวัดของเครื่องมือ โดยจะประกอบไปด้วย จำนวนหลักของตัวเลขที่อ่านได้แน่นนอน + หนึ่งหลักที่ได้จากการประมาณค่า ฉะนั้น หลักสุดท้ายจะเป็นตัวเลขที่มีความไม่แน่นอนของการวัด เช่น ในการวัดระยะมีการบันทึกค่าเป็น 45.165 เมตร ± 2 มิลลิเมตร หมายถึง ค่าที่วัดได้จะอยู่ระหว่าง 45.163 และ 45.167 เมตร โดยที่ ตัวเลขที่อ่านได้ถูกต้องจากเครื่องมือมีจำนวน 4 หลัก คือ 45.16 ตัวเลขหลักสุดท้าย คือ 5 นั้นจะได้จากการประมาณค่า ดังนั้น จำนวนเลขนัยสำคัญมีค่าเท่ากับ 5 หลัก
- 32. กฎการหาจำนวนเลขนัยสำคัญ เลขทุกตัวยกเว้นศูนย์ มีนัยสำคัญเสมอ เช่น 8,495 มีจำนวนเลขนัยสำคัญ 4 หลัก เลขศูนย์อยู่ระหว่างเลขใดๆนับเป็นเลขนัยสำคัญ เช่น 15.43005 มีจำนวนเลขนัยสำคัญ 7 หลัก เลขศูนย์อยู่ต่อท้ายหลังจุดทศนิยม ให้นับเป็นเลขนัยสำคัญด้วย เช่น 5.2000 มีจำนวนเลขนัยสำคัญ 5 หลัก ในการแสดงเลขศูนย์หน้าจุดทศนิยมอาจจะสร้างความสับสนในการบอกเลขนัยสำคัญ เช่น 54,000 จะนิยมเขียนในรูปแบบคูณสิบยกกำลังทางวิทยาศาสตร์ เช่น 5.4000 x 10 4 ในกรณีนี้จะนับให้มีเลขนัยสำคัญเป็น 5 เป็นต้น
- 33. ผลลัพธ์เลขนัยสำคัญจากการคำนวณทางคณิตศาสตร์ การแสดงผลเลขนัยสำคัญที่ได้จากการคำนวณ จะใช้กับการแสดงผลลัพธ์สุดท้ายของการคำนวณเท่านั้น ในระหว่างการคำนวณ ปกติจะใช้ตัวเลขทั้งที่มีนัยสำคัญและไม่มีนัยสำคัญทั้งหมด แล้วจึงทำการปัดเศษของผลลัพธ์สุดท้ายให้มีจำนวนนัยสำคัญที่เหมาะสม ซึ่งมีหลักการคิดดังนี้ การคูณ และ การหาร จำนวนเลขนัยสำคัญของผลลัพธ์จะเท่ากับจำนวนเลขนัยสำคัญที่น้อยที่สุดของการคูณ หรือ การหารนั้น เช่น 3,454.23 x 2.24 = 7.74 x 10 3 โดยจะเขียนเป็น 7,740 ไม่ได้เพราะ จะทำให้เกิดความสับสนถึงความละเอียดถูกต้องของการวัดนั้นได้ การบวก และ การลบ จำนวนทศนิยมเท่ากับจำนวนทศนิยมที่น้อยที่สุด เช่น 2.342 + 454.86 = 457.20 นั้นคือ จำนวนเลขนัยสำคัญคือ 5
- 35. การปัดเศษตัวเลข (Rounding Off Numbers) การปัดเศษคือ การตัดตัวเลขออกให้มีจำนวนนัยสำคัญเหลือเพียงพอที่ใช้ในการคำนวณและแสดงผลตามจำนวนตัวเลขที่ได้ การปัดเศษตัวเลขมีหลักเกณฑ์ ดังนี้ ตัวเลขที่มากกว่า 5 ให้ปัดขึ้น เช่น 4,857.2436 ปัดเป็น 4,857.244 ตัวเลขที่น้อยกว่า 5 ให้ปัดลง เช่น 843.982 ปัดเป็น 843.98 ตัวเลขที่เท่ากับกับ 5 ถ้าเลขอยู่หน้าเป็น เลขคี่ ให้ปัดขึ้น เช่น 753.135 ปัดเป็น 753.14 เลขคู่ ให้ปัดลง เช่น 45.4245 ปัดเป็น 45.424
- 36. การบ้าน จงอธิบายความแตกต่างระหว่าง Geodetic Survey กับ Plane Survey สัณฐานของโลกในศาสตร์ของการสำรวจรังวัดมีกี่ชนิดอะไรบ้าง จงอธิบาย จงเขียนสมการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณต่างๆที่ต้องรังวัดในสนามของงานสำรวจรังวัด จำนวนเลขนัยสำคัญมีความสำคัญอย่างไรต่อการแสดงผลในงานสำรวจ การปัดเศษในกรณีที่ตัวเลขมีค่าเท่ากับ 5 ปัดอย่างไร และมีเหตุผลใดในเชิงสถิติจึงทำเช่นนั้น