ݺߣ

ݺߣShare a Scribd company logo
กุญแจประจําหลัก (Clef)
กุญแจประจําหลัก (Clef) ถือว่าเป็นเครืองหมายทางดนตรีทีสําคัญ เพือใช้ใน
การกําหนดหรือบงชีว่าตัวโน้ตแต่ละตัวมีชือเรียกว่าอย่างไร กุญแจประจําหลักทีนิยมใช้
ในปัจจุบันมี 2 กุญแจ คือ กุญแจประจําหลักG (G Clef) และกุญแจประจําหลักF
(F Clef) ซึงทัง 2 กุญแจ มีวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนืองจนกระทัง ปรากฎให้เห็นและใช้
กันจนถึงปัจจุบัน ทัง 2 กุญแจนีมักเรียกกันสัน ๆ จนติดปากว่า กุญแจซอล และกุญแจฟา
นอกจากการบันทึกโน้ตลงในบรรทัด 5 เส้นทีแยกระหว่างกุญแจซอลกับ
กุญแจฟาแล้วยังมีการบันทึกโน้ตอีกประเภทหนึงเรียกว่า“บรรทัดรวม” (Grand Staff)
โดยการนําเอากุญแจซอล และกุญแจฟาบันทึกลงพร้อม ๆ กัน บรรทัดประเภทนีมักใช้
สําหรับการเขียนโน้ตให้เปียโนบรรเลง
บรรทัดรวม (Grand Staff)

6
กุญแจซอล ภาษาอังกฤษเรียกว่า G Clef หรือ Treble Clef
ชือตัวโน้ตเมือเขียนลงบรรทัด5 เส้นพร้อมกุญแจซอลมีหลักเพือให้จําง่ายขึนคือ
โน้ตคาบเส้น Every Good Boy Does Fine
โน้ตในช่อง FACE
7
กุญแจฟา ภาษาอังกฤษ เรียกว่า F Clef หรือ Bass Clef
ชือตัวโน้ตเมือเขียนลงบรรทัด5 เส้นพร้อมกุญแจฟามีหลักเพือให้จําง่ายขึน
คือ
โน้ตในช่อง A Child Enjoys Games
โน้ตคาบเส้น Go Back and Dance For A while
โน้ตชือ C ทีวางทับกึงกลางเส้นน้อย ทังทีอยู่ในTreble Clef หรือ Bass Clef
ทังสองมีเสียงตรงกัน คือ C กลาง (Middle C)
8
9
ชือตัวโน้ตในบรรทัด5 เส้น ของกุญแจซอล(Treble Clef)
ชือตัวโน้ตในบรรทัด5 เส้น ของกุญแจฟา (Bass Clef)
ประเภทของกุญแจประจําหลัก
กุญแจประจําหลักในการบันทึกดนตรีสมัยใหม่มีใช้อยู่เพียงสามชนิดคือ
กุญแจซอล กุญแจโด และกุญแจฟา ซึงกุญแจแต่ละชนิดจะอ้างถึงเสียงซอล โด และฟา
ตามลําดับ ตามตําแหน่งทีกุญแจนันได้ไปคาบเกียวไว้บนบรรทัด5 เส้นและช่องอืนๆ
ก็จะสัมพันธ์กับโน้ตบนเส้นนัน
รูปร่าง ชือ ใช้ระบุโน้ต ตําแหน่งทีคาบเกียว
กุญแจซอล G (G-clef)
เสียงซอลทีอยู่
เหนือเสียงโด
กลาง
ส่วนโค้งก้นหอย
ตรงกลาง
กุญแจโดC (C-clef)
เสียงโดกลาง
(middle C)
กึงกลางกุญแจโด
กุญแจฟา F (F-clef)
เสียงฟาทีอยู่ใต้
เสียงโดกลาง
หัวของกุญแจ
หรือระหว่างสองจุด
10
การใช้ความแตกต่างของกุญแจประจําหลัก ก็เพือให้สามารถบันทึกดนตรี
และเสียงอืน ๆ ได้ทุกอย่าง แม้ว่าจะมีธรรมชาติของเสียงทีแตกต่างกัน เช่นเสียงบางอย่าง
อาจฟังดูแล้วสูงกว่าหรือตํากว่าเสียงอืน ซึงเป็นการยากทีจะบันทึกเสียงทุกอย่างโดยใช้
กุญแจประจําหลักเพียงชนิดเดียว เนืองจากบรรทัดมีเพียงแค่ห้าเส้นในปัจจุบัน แต่อาจ
นําเสนอระดับเสียงของตัวโน้ตไม่เพียงพอต่อจํานวนโน้ตทีสามารถสร้างขึน แม้จะใช้
(ledger line) มาช่วยก็ตาม การใช้ความแตกต่างของกุญแจสําหรับเครืองดนตรีและเสียง
แต่ละชนิด มีส่วนช่วยให้เขียนตัวโน้ตได้ง่าย ลดจํานวนการใช้
ตําแหน่งของกุญแจประจําหลัก
กุญแจประจําหลักสามารถวางได้หลายตําแหน่ง ปกติแล้วจะวางไว้ให้คาบ
เกียวกับเส้นใดเส้นหนึงบนบรรทัด และในเมือบรรทัดมี 5 เส้น จึงมีความเป็นไปได้
ทังหมด15 แบบในการใช้งาน อย่างไรก็ตามมี 6 แบบทีเป็นการกําหนดซําซ้อนกัน
ตัวอย่างเช่น กุญแจซอลทีกํากับเส้นทีสาม จะมีค่าเท่ากับกุญแจโดทีกํากับเส้นทีหนึง เป็น
ต้น ดังนันจึงเหลือเพียง9 แบบเท่านันทีให้ผลแตกต่างกัน ซึงทุกแบบเคยใช้ใน
ประวัติศาสตร์ทีผ่านมาแล้วทังสิน ได้แก่ กุญแจซอลบนสองเส้นล่าง กุญแจฟาบนสาม
เส้นบน และกุญแจโดบนทุกเส้นยกเว้นเส้นทีห้า (เนืองจากกุญแจโดบนเส้นทีห้าซําซ้อน
กับกุญแจฟาบนเส้นทีสาม) แต่สําหรับทุกวันนี กุญแจทีใช้เป็นปกติมีเพียงแค่ กุญแจซอล
กุญแจฟา กุญแจอัลโต และกุญแจเทเนอร์ ซึงสองอย่างแรกมักใช้ควบคู่กันบ่อยครังกว่า
11

More Related Content

ใบความรู้ที่ 1 บทที่ 8 เรื่อง กุญแจประจำหลัก

  • 1. กุญแจประจําหลัก (Clef) กุญแจประจําหลัก (Clef) ถือว่าเป็นเครืองหมายทางดนตรีทีสําคัญ เพือใช้ใน การกําหนดหรือบงชีว่าตัวโน้ตแต่ละตัวมีชือเรียกว่าอย่างไร กุญแจประจําหลักทีนิยมใช้ ในปัจจุบันมี 2 กุญแจ คือ กุญแจประจําหลักG (G Clef) และกุญแจประจําหลักF (F Clef) ซึงทัง 2 กุญแจ มีวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนืองจนกระทัง ปรากฎให้เห็นและใช้ กันจนถึงปัจจุบัน ทัง 2 กุญแจนีมักเรียกกันสัน ๆ จนติดปากว่า กุญแจซอล และกุญแจฟา นอกจากการบันทึกโน้ตลงในบรรทัด 5 เส้นทีแยกระหว่างกุญแจซอลกับ กุญแจฟาแล้วยังมีการบันทึกโน้ตอีกประเภทหนึงเรียกว่า“บรรทัดรวม” (Grand Staff) โดยการนําเอากุญแจซอล และกุญแจฟาบันทึกลงพร้อม ๆ กัน บรรทัดประเภทนีมักใช้ สําหรับการเขียนโน้ตให้เปียโนบรรเลง บรรทัดรวม (Grand Staff)  6
  • 2. กุญแจซอล ภาษาอังกฤษเรียกว่า G Clef หรือ Treble Clef ชือตัวโน้ตเมือเขียนลงบรรทัด5 เส้นพร้อมกุญแจซอลมีหลักเพือให้จําง่ายขึนคือ โน้ตคาบเส้น Every Good Boy Does Fine โน้ตในช่อง FACE 7
  • 3. กุญแจฟา ภาษาอังกฤษ เรียกว่า F Clef หรือ Bass Clef ชือตัวโน้ตเมือเขียนลงบรรทัด5 เส้นพร้อมกุญแจฟามีหลักเพือให้จําง่ายขึน คือ โน้ตในช่อง A Child Enjoys Games โน้ตคาบเส้น Go Back and Dance For A while โน้ตชือ C ทีวางทับกึงกลางเส้นน้อย ทังทีอยู่ในTreble Clef หรือ Bass Clef ทังสองมีเสียงตรงกัน คือ C กลาง (Middle C) 8
  • 4. 9 ชือตัวโน้ตในบรรทัด5 เส้น ของกุญแจซอล(Treble Clef) ชือตัวโน้ตในบรรทัด5 เส้น ของกุญแจฟา (Bass Clef)
  • 5. ประเภทของกุญแจประจําหลัก กุญแจประจําหลักในการบันทึกดนตรีสมัยใหม่มีใช้อยู่เพียงสามชนิดคือ กุญแจซอล กุญแจโด และกุญแจฟา ซึงกุญแจแต่ละชนิดจะอ้างถึงเสียงซอล โด และฟา ตามลําดับ ตามตําแหน่งทีกุญแจนันได้ไปคาบเกียวไว้บนบรรทัด5 เส้นและช่องอืนๆ ก็จะสัมพันธ์กับโน้ตบนเส้นนัน รูปร่าง ชือ ใช้ระบุโน้ต ตําแหน่งทีคาบเกียว กุญแจซอล G (G-clef) เสียงซอลทีอยู่ เหนือเสียงโด กลาง ส่วนโค้งก้นหอย ตรงกลาง กุญแจโดC (C-clef) เสียงโดกลาง (middle C) กึงกลางกุญแจโด กุญแจฟา F (F-clef) เสียงฟาทีอยู่ใต้ เสียงโดกลาง หัวของกุญแจ หรือระหว่างสองจุด 10
  • 6. การใช้ความแตกต่างของกุญแจประจําหลัก ก็เพือให้สามารถบันทึกดนตรี และเสียงอืน ๆ ได้ทุกอย่าง แม้ว่าจะมีธรรมชาติของเสียงทีแตกต่างกัน เช่นเสียงบางอย่าง อาจฟังดูแล้วสูงกว่าหรือตํากว่าเสียงอืน ซึงเป็นการยากทีจะบันทึกเสียงทุกอย่างโดยใช้ กุญแจประจําหลักเพียงชนิดเดียว เนืองจากบรรทัดมีเพียงแค่ห้าเส้นในปัจจุบัน แต่อาจ นําเสนอระดับเสียงของตัวโน้ตไม่เพียงพอต่อจํานวนโน้ตทีสามารถสร้างขึน แม้จะใช้ (ledger line) มาช่วยก็ตาม การใช้ความแตกต่างของกุญแจสําหรับเครืองดนตรีและเสียง แต่ละชนิด มีส่วนช่วยให้เขียนตัวโน้ตได้ง่าย ลดจํานวนการใช้ ตําแหน่งของกุญแจประจําหลัก กุญแจประจําหลักสามารถวางได้หลายตําแหน่ง ปกติแล้วจะวางไว้ให้คาบ เกียวกับเส้นใดเส้นหนึงบนบรรทัด และในเมือบรรทัดมี 5 เส้น จึงมีความเป็นไปได้ ทังหมด15 แบบในการใช้งาน อย่างไรก็ตามมี 6 แบบทีเป็นการกําหนดซําซ้อนกัน ตัวอย่างเช่น กุญแจซอลทีกํากับเส้นทีสาม จะมีค่าเท่ากับกุญแจโดทีกํากับเส้นทีหนึง เป็น ต้น ดังนันจึงเหลือเพียง9 แบบเท่านันทีให้ผลแตกต่างกัน ซึงทุกแบบเคยใช้ใน ประวัติศาสตร์ทีผ่านมาแล้วทังสิน ได้แก่ กุญแจซอลบนสองเส้นล่าง กุญแจฟาบนสาม เส้นบน และกุญแจโดบนทุกเส้นยกเว้นเส้นทีห้า (เนืองจากกุญแจโดบนเส้นทีห้าซําซ้อน กับกุญแจฟาบนเส้นทีสาม) แต่สําหรับทุกวันนี กุญแจทีใช้เป็นปกติมีเพียงแค่ กุญแจซอล กุญแจฟา กุญแจอัลโต และกุญแจเทเนอร์ ซึงสองอย่างแรกมักใช้ควบคู่กันบ่อยครังกว่า 11