ݺߣ
Search
Submit Search
บทที่ 11 โครงสร้างและหน้าที่ของพืช การคายน้ำ (5)
•
8 likes
•
3,055 views
Pinutchaya Nakchumroon
ชีววิทยา ม.5
Read less
Read more
1 of 39
Download now
Downloaded 125 times
More Related Content
บทที่ 11 โครงสร้างและหน้าที่ของพืช การคายน้ำ (5)
1.
โดย..ครูปินัชยา นาคจารูญ
2.
โดย..ครูปินัชยา นาคจารูญ
3.
เป็นปากใบของพืชทั่วไป มีเซลล์คุมอยู่ในระดับเดียวกับเอพิเดอร์มิส เจริญอยู่ในที่ๆ
มีนาอุดมสมบูรณ์พอสมควร (mesophyte)
4.
อยู่ลึกเข้าไปในเนือใบ เซลล์คุมอยู่ลึกกว่าชันเอพิเดอร์มิส พบในพืชที่อยู่ในที่แห้งแล้ง(xerophyte)เช่นพืชทะเลทราย และพืชป่าชายเลน(
halophyte) เช่นโกงกาง
5.
เป็นปากใบที่มีเซลล์คุมอยู่สูงกว่าระดับเอพิเดอร์มิส ช่วยให้นาระเหยออกจากปากใบได้เร็วขึน พบในพืชที่เจริญอยู่ในที่มีนามากหรือชืนแฉะ(hydrophyte)
6.
พืชใบเลียงเดี่ยวบางชนิดเช่นหญ้า ข้าวโพด เอพิเดอร์มิสมีเซลล์ขนาดใหญ่
และผนังเซลล์บางเรียกว่าบัลลิฟอร์มเซลล์ (bulliform cell) ช่วยทาให้ใบม้วนงอได้ เมื่อขาดนา ช่วยลดการคายนาของพืชให้น้อยลง
8.
บางชนิดมีเอพิเดอร์มิสหนามากกว่า1 ชันเรียกว่าmultiple epidermis
พบในพืชที่แห้งแล้ง แถวที่อยู่ถัดเข้าไปเรียกว่าไฮโพเดอร์มิส(hypodermis)
9.
โดย..ครูปินัชยา นาคจารูญ
10.
เป็นการคายนาที่กาจัดไอนาออกมาทางปากใบ เป็นทางที่พบการคายนามากที่สุด
11.
พบที่ผิวใบที่มีcuticleฉาบอยู่ข้างนอก นาแพร่ออกทางนีได้ยาก จึงเกิดการคายนาได้น้อย
12.
เป็นการคายนาที่เกิดขึนที่ lenticel(รอยแตกตามลาต้น) ซึ่งเกิดขึนน้อยมาก
14.
เป็นการคายนาในรูปหยดนาเล็กๆ ทางรูเปิดเล็กๆ ตามปลายเส้นใบที่ขอบใบ เรียกว่า
โฮดาโธด (hydathode) ซึ่งเกิดขึนเมื่ออากาศมีความชืนมากๆอุณหภูมิต่าและลมสงบ
15.
แสงสว่างถ้าความเข้มข้นของแสงสว่างมากจะช่วยให้การคายนามีอัตราสูงขึน ความชืนถ้าหากความชืนในบรรยากาศมีน้อยการคายนาเกิดขึนได้มาก ลม ช่วยพัดพาไอนาที่ระเหยออกมาจากใบ นาในดิน ถ้ามีนามากก็เหมาะสมกับการคายนา ความกดดันของบรรยากาศ
ถ้าความกดดันของบรรยากาศต่าไอนาแพร่ออกไป จากใบได้ง่าย
17.
โดย..ครูปินัชยา นาคจารูญ
18.
พืชที่ไม่มีท่อลาเลียงเช่นมอส เซลล์ทุกเซลล์ได้รับนาอย่างทั่วถึงโดยการแพร่ จากเซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่ง
19.
พืชที่มีྺȨึϹหญ่จาเป็Ȩ้องมีท่อลาลียงจากรากขึȨปเลียงซลล์ที่อยู่ปลายยอด
20.
นาเป็นส่วนประกอบที่สาคัญภายในเซลล์พืช นาช่วยให้เซลล์พืชเต่งทาให้เซลล์มีรูปร่างคงตัว นาเป็นตัวทาละลายเช่นละลายแร่ธาตุต่างๆ นาเป็นตัวร่วมในปฏิกิริยาเคมีในเซลล์ นาทาหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิของเซลล์ และลาต้นพืช
21.
รากพืชทั่วไปจะมีส่วนเรียกว่าขนรากเพื่อเพิ่มพืนที่สัมผัสกับนา นาในดินก็จะแพร่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์เข้าสู่เซลล์ที่ผิวของราก ขนรากดูดนาโดยกระบวนการออสโมซิส
ปัจจัยสาคัญคือความแตกต่างྺองความข้มྺ้นของสารละลายใȨินกับใȨาก
23.
วิถีอโพพลาส(apoplasmicpathway) เป็นการเคลื่อนที่ของนาที่ผ่านช่องระหว่างผนังเซลล์ ในชันคอร์เทกซ์และผ่านเซลล์ที่ไม่มีชีวิตคือเทรคีดและเวสเซล
24.
เป็นระบบที่ผ่านไซโทพลาซึมของเซลล์ ซึ่งเชื่อมต่อกันด้วยท่อเล็กๆ เรียกว่า พลาสโมเดสมาตา(Plastmodesmata) เมื่อนาเคลื่อนที่มาถึงเอนโดเดอร์มิสซึ่งมีแคสพาเรียน
สตริพ( ซูเบอร์ริน)กันอยู่ นาจึงต้องผ่านทางไซโทพลาซึม(symplast)จึงจะเข้าไปในไซเลมได้
28.
แรงดันราก(Rootpressure) เกิดจากนาในท่อไซเล็มมีความเข้มข้นสูงกว่านาในดิน จึงเกิดกระบวนการออสโมซิสของนาในดินสู่ราก เป็นที่มาของแรงดันในท่อไซเล็มจึงดันให้นาเข้าไปในท่อไซเล็มได้
29.
คือแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลของนากับผนังด้านข้างของหลอดแก้วนัน เรียกว่าแรงแอดฮีชัน(Adhesion) ส่วนแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลของนาด้วยกันเรียกว่าแรงโคฮีชัน(Cohesion)
31.
เกิดจากการที่ใบคายนาออกไปเรื่อยๆ ทาให้เซลล์ของใบขาดนาไป
จึงเกิึϹรงึϸงนาทาให้Ȩคลื่อนที่ต่อȨ่อง
33.
โดย..ครูปินัชยา นาคจารูญ
34.
การลาเลียงธาตุอาหารต่างๆ มีความซับซ้อนมากกว่าการลาเลียงนา เพราะเซลล์มักไม่ยอมให้ธาตุอาหารเคลื่อนที่ผ่านเข้าออกได้โดยอิสระ ทาได้
2 วิธี คือลาเลียงแบบไม่ใช้พลังงาน( passive transport) และการลาเลียงแบบใช้พลังงาน (active transport)
35.
พบที่การแพร่ของธาตุอาหารจากภายนอกเซลล์ที่มีความเข้มข้นสูงกว่าไปยัง ภายในเซลล์ที่มีความเข้มข้นต่ากว่า
36.
การเคลื่อนที่ของธาตุอาหารแบบอาศัยพลังงานทาให้พืชสามารถลาเลียง ธาตุอาหารจากภายนอกเซลล์ที่มีความเข้มข้นต่ากว่า เข้ามาภายในเซลล์ได้ จึงทาให้พืชสะสมธาตุอาหารบางชนิดไว้ได้
38.
“พืชนันต้องการธาตุอาหารแต่ละชนิดในปริมาณไม่เท่ากันการให้ปุ๋ยเป็นการ เพิ่มธาตุอาหารแก่พืชถ้าให้มากเกินความต้องการของพืชจะเป็นการสินเปลือง และ อาจทาให้พืชตายได้
39.
ธาตุที่พืชต้องการเป็นปริมาณมาก(macronutrients)มี 9 ธาตุ
ได้แก่ C H O N P K CaMg และ S ธาตุที่พืชต้องการปริมาณเพียงเล็กน้อย(micronutrients)ได้แก่ B FeCuZnMn Mo ClและNi
Download