ݺߣ

ݺߣShare a Scribd company logo
1. They question the validity of the academic system
(พวกเขาตั้งคาถามเกี่ยวกับระบบการศึกษา)
นักเรียน C
จะไม่ค่อยเชื่อมั่นในระบบการศึกษาที่ตีกรอบอยู่ภายในห้องเรียน
พวกเขาเชื่อในการเรียนรู้ที่อยู่ภายนอกมากกว่า
เพราะรู้ว่าการเรียนรู้สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกสถานการณ์
อีกทั้งยังไม่กลัวที่จะท้าทายตัวเอง
แม้การท้าทายไปสู่หนทางนั้นอาจอึดอัดจากการค้านสายตาของบุคคลอื่น
แต่ นักเรียน C
รู้ว่ามันก็อึดอัดน้อยกว่าที่จะต้องเดินไปในหนทางที่ผิดพลาดและไม่ใช่ตัวเ
อง
2. They are not submissive followers (พวกเขาไม่ยอมเป็นผู้ติดตามใคร)
พวกเขามักไม่ค่อยชอบเดินตามเส้นทางของใคร
โดยเด็กเหล่านี้ไม่เชื่อว่าการที่ชีวิตของพวกเขาต้องไปคอยเดินตามบุคคล
ที่คนอื่นต่างคิดว่าเป็นแบบแผน จะเป็นหนทางที่ถูกต้อง
อีกทั้งพวกเขายังไม่ชอบให้ใครมาบอกว่าพวกเขาต้องใช้ชีวิตอย่างไร
เพราะนักเรียน C จะมีวิธีการดาเนินชีวิตในแบบของพวกเขาเอง
3. They are not trying to please and impress their superiors
(พวกเขามักไม่พยายามประจบประแจงผู้บังคับบัญชา)
นักเรียน C
มักไม่เคยมีพฤติกรรมประจบประแจงหรือคอยเอาใจอาจารย์ของพวกเขา
พวกเขาจะเคารพรักครูของพวกเขาแต่จะไม่ได้ต้องทาตาม
หรือเชื่อในทุกสิ่งที่ครูของพวกเขาพูด
เพราะเด็กเหล่านี้ไม่เชื่อว่าการที่ทาทุกสิ่งตามที่ครูสั่งจะเป็นหนทางเดียวที่
จะนาพาเขาไปสู่ความสาเร็จในการดาเนินชีวิตในอนาคต
โดยพวกเขามักมีความคิดว่าความก้าวหน้าในอนาคตคือสิ่งที่พวกเขาจาเป็
นต้องสร้างขึ้นเอง
4. They have bigger things to worry about
(พวกเขามักมีเรื่องใหญ่กว่าที่ต้องกังวล)
น่าแปลกที่มีผลการยืนยันที่น่าสนใจว่า หากเราตั้งใจเรียนมากเกินไป
จะทาให้เราไม่มีเวลาคิดถึงอนาคตอย่างจริงจัง
นี่เองเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทาให้นักเรียน C
มักประสบความสาเร็จในชีวิตหลังการเรียนจบ
เพราะเด็กเหล่านี้คอยเฝ้ ารอและคิดมาตลอดถึงชีวิตหลังการเรียนจบ
ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่พวกเขาจะได้ใช้ชีวิตที่แท้จริง
5. They have their own definition of success
(พวกเขามีคาจากัดความของคาว่า”ความสาเร็จ”เป็นของตัวเอง)
นักเรียน C มักรู้ว่าความสาเร็จของพวกเขา
ไม่ได้มาจากการที่ได้เกรดเอในห้องเรียน
เพราะเด็กเหล่านี้รู้ว่าความสาเร็จ
มักเกิดมาจากการสั่งสมประสบการณ์ที่เกิดขึ้นภายนอกมากกว่า
และพวกเขาไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร
เพราะพวกเขามีหนทางที่เขาได้เลือกไว้ในใจอยู่แล้ว
6. They know how to leverage other people’s abilities
(พวกเขารู้วิธีจะยกระดับความสามารถของผู้อื่น)
ในขณะที่เหล่าบรรดาเด็กเรียนกาลังตั้งใจเรียนและเคร่งเครียดกับการสอ
บ เหล่านักเรียน C
ใช้เวลาเหล่านั้นไปกับการสร้าง”กองทัพ”ของพวกเขาเอง
โดยเขาจะใช้เวลาในช่วงเวลานี้ในการสร้างคอนเน็คชั่นให้มากที่สุดเท่าที่จ
ะทาได้ เพราะพวกเขารู้ว่าชีวิตหลังการเรียนจบ
เจ้าตัวความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลอื่นนี้แหละ
ที่จะเป็นใบเบิกทางให้เขาสามารถมีลู่ทางต่างๆได้
7. They prefer self-directed learning (พวกเขามักจะเรียนรู้โดยตรงมากกว่า)
นักเรียน C มีความคิดว่า การที่หากจะต้องเรียนรู้อะไรสักเรื่องหนึ่ง
การที่พาตัวเองไปเรียนรู้กับมัน “โดยตรง” ถือเป็นสิ่งสาคัญ
นี่เองเป็นเหตุผลว่าเมื่อเด็กเหล่านี้สนใจอะไร
พวกเขาก็จะทุ่มเทตัวเขาต่อการเรียนรู้สิ่งนั้นสุดตัว
อีกทั้งพวกเขามักกาหนดทิศทางการเรียนรู้ในแบบของพวกเขาเอง
โดยไม่ต้องการคาตอบสูตรสาเร็จจากผู้อื่น
แต่พวกเขาจะมีวิธีการเรียนรู้ในแบบของตัวเอง
8. They are dreamers (พวกเขามักเป็นคนช่างฝัน)
ในบรรยากาศห้องเรียน ขณะที่เหล่าเด็กเรียนทั้งหลายตั้งใจเรียนอยู่
นักเรียน C มักมองออกไปนอกหน้าต่าง มองดูท้องฟ้ า และเมฆ
และจินตนาการสิ่งต่างๆไปเรื่อยเปื่อย เด็กเหล่านี้มักเป็นเด็กที่ช่างฝัน
ชอบจินตนาการนอกกรอบ
พวกเขามักจะจินตนาการไปถึงการทางานในชีวิตจริง
ดังนั้นเมื่อพวกเขาเรียนแล้ว และมีอิสระ
ทาให้พวกเขาทุ่มเททุกอย่างเพื่อสร้างความฝันที่เขามักวาดไว้ให้เป็นจริงนั่
นเอง
อ่านแล้วเป็นอย่างไรกันบ้างครับ มีใครเป็น “นักเรียน C”
กันบ้างรึเปล่าครับผม เชื่อว่าคงมีอีกหลายคนที่จบการศึกษามาแล้วตอนนี้
และกาลังพยายามสุดวิถีทางในการไล่ล่าความฝันให้เป็นจริงอยู่
เราเชื่อเหลือเกินว่าความทุ่มเทถือเป็นสิ่งสาคัญที่สุดที่จะช่วยให้คุณไปถึงฝั่
งฝันได้ ดังนั้นอย่าท้อครับ จงสู้ไปเพื่อความฝัน
เพราะเมื่อไหร่ที่เราหยุดแล้วล้มเหลว
นั่นคือวิธีเดียวที่จะยอมให้คาพูดของเหล่าครูบาอาจารย์ที่เคยดูถูกไว้เป็นจ
ริง แบบนั้นเราจะยอมเหรอครับ ?

More Related Content

8วิถี

  • 1. 1. They question the validity of the academic system (พวกเขาตั้งคาถามเกี่ยวกับระบบการศึกษา) นักเรียน C จะไม่ค่อยเชื่อมั่นในระบบการศึกษาที่ตีกรอบอยู่ภายในห้องเรียน พวกเขาเชื่อในการเรียนรู้ที่อยู่ภายนอกมากกว่า เพราะรู้ว่าการเรียนรู้สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกสถานการณ์ อีกทั้งยังไม่กลัวที่จะท้าทายตัวเอง แม้การท้าทายไปสู่หนทางนั้นอาจอึดอัดจากการค้านสายตาของบุคคลอื่น แต่ นักเรียน C รู้ว่ามันก็อึดอัดน้อยกว่าที่จะต้องเดินไปในหนทางที่ผิดพลาดและไม่ใช่ตัวเ อง 2. They are not submissive followers (พวกเขาไม่ยอมเป็นผู้ติดตามใคร) พวกเขามักไม่ค่อยชอบเดินตามเส้นทางของใคร โดยเด็กเหล่านี้ไม่เชื่อว่าการที่ชีวิตของพวกเขาต้องไปคอยเดินตามบุคคล ที่คนอื่นต่างคิดว่าเป็นแบบแผน จะเป็นหนทางที่ถูกต้อง อีกทั้งพวกเขายังไม่ชอบให้ใครมาบอกว่าพวกเขาต้องใช้ชีวิตอย่างไร เพราะนักเรียน C จะมีวิธีการดาเนินชีวิตในแบบของพวกเขาเอง 3. They are not trying to please and impress their superiors (พวกเขามักไม่พยายามประจบประแจงผู้บังคับบัญชา)
  • 2. นักเรียน C มักไม่เคยมีพฤติกรรมประจบประแจงหรือคอยเอาใจอาจารย์ของพวกเขา พวกเขาจะเคารพรักครูของพวกเขาแต่จะไม่ได้ต้องทาตาม หรือเชื่อในทุกสิ่งที่ครูของพวกเขาพูด เพราะเด็กเหล่านี้ไม่เชื่อว่าการที่ทาทุกสิ่งตามที่ครูสั่งจะเป็นหนทางเดียวที่ จะนาพาเขาไปสู่ความสาเร็จในการดาเนินชีวิตในอนาคต โดยพวกเขามักมีความคิดว่าความก้าวหน้าในอนาคตคือสิ่งที่พวกเขาจาเป็ นต้องสร้างขึ้นเอง 4. They have bigger things to worry about (พวกเขามักมีเรื่องใหญ่กว่าที่ต้องกังวล) น่าแปลกที่มีผลการยืนยันที่น่าสนใจว่า หากเราตั้งใจเรียนมากเกินไป จะทาให้เราไม่มีเวลาคิดถึงอนาคตอย่างจริงจัง นี่เองเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทาให้นักเรียน C มักประสบความสาเร็จในชีวิตหลังการเรียนจบ เพราะเด็กเหล่านี้คอยเฝ้ ารอและคิดมาตลอดถึงชีวิตหลังการเรียนจบ ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่พวกเขาจะได้ใช้ชีวิตที่แท้จริง
  • 3. 5. They have their own definition of success (พวกเขามีคาจากัดความของคาว่า”ความสาเร็จ”เป็นของตัวเอง) นักเรียน C มักรู้ว่าความสาเร็จของพวกเขา ไม่ได้มาจากการที่ได้เกรดเอในห้องเรียน เพราะเด็กเหล่านี้รู้ว่าความสาเร็จ มักเกิดมาจากการสั่งสมประสบการณ์ที่เกิดขึ้นภายนอกมากกว่า และพวกเขาไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร เพราะพวกเขามีหนทางที่เขาได้เลือกไว้ในใจอยู่แล้ว 6. They know how to leverage other people’s abilities (พวกเขารู้วิธีจะยกระดับความสามารถของผู้อื่น) ในขณะที่เหล่าบรรดาเด็กเรียนกาลังตั้งใจเรียนและเคร่งเครียดกับการสอ บ เหล่านักเรียน C ใช้เวลาเหล่านั้นไปกับการสร้าง”กองทัพ”ของพวกเขาเอง โดยเขาจะใช้เวลาในช่วงเวลานี้ในการสร้างคอนเน็คชั่นให้มากที่สุดเท่าที่จ ะทาได้ เพราะพวกเขารู้ว่าชีวิตหลังการเรียนจบ เจ้าตัวความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลอื่นนี้แหละ ที่จะเป็นใบเบิกทางให้เขาสามารถมีลู่ทางต่างๆได้ 7. They prefer self-directed learning (พวกเขามักจะเรียนรู้โดยตรงมากกว่า)
  • 4. นักเรียน C มีความคิดว่า การที่หากจะต้องเรียนรู้อะไรสักเรื่องหนึ่ง การที่พาตัวเองไปเรียนรู้กับมัน “โดยตรง” ถือเป็นสิ่งสาคัญ นี่เองเป็นเหตุผลว่าเมื่อเด็กเหล่านี้สนใจอะไร พวกเขาก็จะทุ่มเทตัวเขาต่อการเรียนรู้สิ่งนั้นสุดตัว อีกทั้งพวกเขามักกาหนดทิศทางการเรียนรู้ในแบบของพวกเขาเอง โดยไม่ต้องการคาตอบสูตรสาเร็จจากผู้อื่น แต่พวกเขาจะมีวิธีการเรียนรู้ในแบบของตัวเอง 8. They are dreamers (พวกเขามักเป็นคนช่างฝัน) ในบรรยากาศห้องเรียน ขณะที่เหล่าเด็กเรียนทั้งหลายตั้งใจเรียนอยู่ นักเรียน C มักมองออกไปนอกหน้าต่าง มองดูท้องฟ้ า และเมฆ และจินตนาการสิ่งต่างๆไปเรื่อยเปื่อย เด็กเหล่านี้มักเป็นเด็กที่ช่างฝัน ชอบจินตนาการนอกกรอบ พวกเขามักจะจินตนาการไปถึงการทางานในชีวิตจริง ดังนั้นเมื่อพวกเขาเรียนแล้ว และมีอิสระ ทาให้พวกเขาทุ่มเททุกอย่างเพื่อสร้างความฝันที่เขามักวาดไว้ให้เป็นจริงนั่ นเอง
  • 5. อ่านแล้วเป็นอย่างไรกันบ้างครับ มีใครเป็น “นักเรียน C” กันบ้างรึเปล่าครับผม เชื่อว่าคงมีอีกหลายคนที่จบการศึกษามาแล้วตอนนี้ และกาลังพยายามสุดวิถีทางในการไล่ล่าความฝันให้เป็นจริงอยู่ เราเชื่อเหลือเกินว่าความทุ่มเทถือเป็นสิ่งสาคัญที่สุดที่จะช่วยให้คุณไปถึงฝั่ งฝันได้ ดังนั้นอย่าท้อครับ จงสู้ไปเพื่อความฝัน เพราะเมื่อไหร่ที่เราหยุดแล้วล้มเหลว นั่นคือวิธีเดียวที่จะยอมให้คาพูดของเหล่าครูบาอาจารย์ที่เคยดูถูกไว้เป็นจ ริง แบบนั้นเราจะยอมเหรอครับ ?