ݺߣ

ݺߣShare a Scribd company logo
ความรู้เรื่องBDz
ก็คือการบันทึกบทความของตนเอง
(Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ โดยเนื้อหาของ blog
นั้นจะครอบคลุมได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็ นเรื่องราวส่วนตัว
หรือเป็ นบทความเฉพาะด้านต่าง ๆ เช่น เรื่องการเมือง
เรื่องกล้องถ่ายรูป เรื่องกีฬา เรื่องธุรกิจ เป็ นต้น
โดยจุดเด่นที่ทาให้บล็อกเป็ นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อก
จะมีการแสดงความคิดเห็นของตนเอง
ใส่ลงไปในบทความนั้น ๆ โดยบล็อกบางแห่ง
จะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก
แต่ในขณะเดียวกัน
บางบล็อกก็จะเขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะ
เช่นกลุ่มเพื่อน ๆ หรือครอบครัวตนเอง
แบบนี้นี่เอง ว้าวววว ^^
1.เขียน blog เหมือนกับเล่นเว็บบอร์ด
กฎข้อแรกของการสร้างเว็บไซต์ให้ติดตลาด คือ
ต้องทาให้ผู้ชมกลับมาเยี่ยมเว็บของเราอีกให้ได้
และวิธีที่ง่ายและได้ผลที่สุดคือ สร้างชุมชนของผู้ชม (Community)
ให้เกิดขึ้นบนเว็บของเรา
เพราะเหตุนี้จึงทาให้เว็บที่เน้นการสนทนาผ่านเว็บบอร์ดอย่าง
Pantip.com กลายเป็ นเว็บไซต์อันดับหนึ่งของเมืองไทยมาหลายปี
blog เป็ นการแสดงความคิดเห็นของเราให้คนอื่นอ่านวิธีหนึ่ง
เพียงแต่เป็ นเว็บบอร์ดส่วนตัวที่คนเขียนคือเจ้าของ blog เท่านั้น
(ผู้ชมสามารถแสดงความเห็นได้เป็ น comment)
2. เขียน blog ไม่ต้องระวังเท่าเว็บบอร์ด
จุดอ่อนของเว็บบอร์ดคือคนเยอะ และเมื่อเกิดความขัดแย้งกัน
ก็จะทะเลาะกันใหญ่โต Pantip.com
เจอปัญหานี้มากจนต้องตั้งระบบสมาชิกที่เข้มงวด
ทาให้ลาบากในการสมัคร blog เข้ามาทดแทนในจุดนี้ได้พอดี
เราสามารถเขียนอะไรลงใน blog ของเราก็ได้โดยไม่ต้องกลัวใครว่า
ไม่ต้องกลัวข้อมูลมั่ว (เพราะว่าเป็ น blog ของเรานี่นา)
ทาให้หลายๆ คนเกิดความสบายใจในการเขียน blog
มากกว่าเว็บบอร์ดที่มีคนมาคอยเถียงหรือจับผิด
3. blog มีเนื้อหาต่อเนื่อง
คนที่สนใจในเรื่องเดียวกันก็มักจะเข้าเว็บบอร์ดเฉพาะเรื่อง
แต่ปัญหาอีกอย่างของเว็บบอร์ดคือ กระทู้ตกเร็ว
และแต่ละกระทู้ไม่ต่อเนื่องกัน เพราะต่างคนต่างโพส แต่ blog
นั้นเป็ นของเจ้าของคนเดียว เขียนคนเดียว
สามารถควบคุมความต่อเนื่องของเนื้อหาได้สะดวกกว่า ยิ่งเจ้าของ
blog นั้นเป็ นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่เราสนใจพอดี
นี่จะสนุกมากเลยครับ ได้อ่านอะไรๆ ที่วงในเค้ารู้กันได้จาก blog
นี่ล่ะ
4. มันก็เหมือนแอบอ่านไอดารี่คนอื่น
การแอบอ่านไดอารี่เป็ นอะไรที่ไม่ดีแต่สนุกมาก blog นั้นกลับกัน
เป็ นไดอารี่ที่อยากให้คนอื่นอ่าน ดังนั้นเจ้าของ blog จะประดิษฐ์
ประดอยหาเรื่องที่น่าสนใจมาเขียนให้อ่าน ทาให้เรื่องใน blog
นั้นก็น่าสนใจมากขึ้น
1.คลังความรู้ มีความรู้มากมายให้ค้นหา ให้อ่านตามความสนใจ
2.คลังมิตรภาพ
เกิดการปฏิสัมพันธ์กันทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์จนกลายเป็ นมิต
รภาพดีๆ
3.คลังแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
แสดงความคิดเห็น และต่อยอดความรู้ออกไป
4.คลังแห่งความสุข เป็ นที่ระบายความเครียด ช่วยผ่อนคลาย
และเพิ่มความสุขในชีวิต
5.คลังข้อมูล
ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการทางานของสมาชิกที่สาคัญ
ช่วยให้เจ้าของข้อมูลสามารถดึงดูดข้อมูลออกมาใช้ได้อย่างสะดวก
รวดเร็ว
6.คลังเพื่อการฝึกฝน เป็ นแหล่งฝึ กฝนระบบการคิด
ทักษะการเขียน และความสามารถด้านถ่ายทอดข้อมูลความรู้ต่างๆ
และยังเป็ นแหล่งฝึ กทักษะการใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตได้อ
ย่างดีอีกด้วย
7.คลัง KM
ที่แห่งนี้เป็ นสถานที่ที่มีผู้เชียวชาญด้านการจัดการความรู้ (KM)
มากมาย อีกทั้งสามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการความรู้
(KM) ได้ง่ายเพียงแค่คลิก
8.คลังประชาสัมพันธ์และกิจกรรมงานบุญ
เป็ นแหล่งประชาสัมพันธ์กิจกรรมดีๆ
เพื่อสร้างสรรค์สังคมมากมาย
9.คลังแห่งองค์กรต่างๆ บางองค์กรเลือกเว็บไซต์
GOtoKnow.org เป็ นเครื่องมือเพื่อติดต่อสื่อสารระหว่างกัน
10.คลังเพื่อนช่วยเพื่อน
เมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันทั้งทางออนไลน์
จนเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจกัน พบว่าเกิดกระบวนการเพื่อนช่วยเพื่อน
ทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ เช่น ช่วยสอนวิธีการใช้งานบล็อก
11.คลังความรู้ฝังลึก อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ที่มี่เป็ นคลังความรู้
มีสารประโยชน์ต่างๆ มากมายให้เลือกอ่าน
และที่สาคัญความรู้ส่วนใหญ่นั้นเป็ นความรู้สึกฝังลึกที่ซ่อนอยู่
ในตัวคนทุกคนนั่นเอง ที่นี่จึงกลายเป๋ นคลังความรู้ฝังลึกที่ใหญ่มาก
และถ้าหากสามารถสกัดความรู้ฝังลึกเหล่านี้ให้กลายเป็ นความรู้ชัด
แจ้งได้ ที่มี่กลายเป็ นคลังแก่นความรู้ได้ต่อไป

More Related Content

ความรู้เรื่องBDz

  • 2. ก็คือการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ โดยเนื้อหาของ blog นั้นจะครอบคลุมได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็ นเรื่องราวส่วนตัว หรือเป็ นบทความเฉพาะด้านต่าง ๆ เช่น เรื่องการเมือง เรื่องกล้องถ่ายรูป เรื่องกีฬา เรื่องธุรกิจ เป็ นต้น โดยจุดเด่นที่ทาให้บล็อกเป็ นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อก จะมีการแสดงความคิดเห็นของตนเอง ใส่ลงไปในบทความนั้น ๆ โดยบล็อกบางแห่ง จะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก แต่ในขณะเดียวกัน บางบล็อกก็จะเขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะ เช่นกลุ่มเพื่อน ๆ หรือครอบครัวตนเอง แบบนี้นี่เอง ว้าวววว ^^
  • 3. 1.เขียน blog เหมือนกับเล่นเว็บบอร์ด กฎข้อแรกของการสร้างเว็บไซต์ให้ติดตลาด คือ ต้องทาให้ผู้ชมกลับมาเยี่ยมเว็บของเราอีกให้ได้ และวิธีที่ง่ายและได้ผลที่สุดคือ สร้างชุมชนของผู้ชม (Community) ให้เกิดขึ้นบนเว็บของเรา เพราะเหตุนี้จึงทาให้เว็บที่เน้นการสนทนาผ่านเว็บบอร์ดอย่าง Pantip.com กลายเป็ นเว็บไซต์อันดับหนึ่งของเมืองไทยมาหลายปี blog เป็ นการแสดงความคิดเห็นของเราให้คนอื่นอ่านวิธีหนึ่ง เพียงแต่เป็ นเว็บบอร์ดส่วนตัวที่คนเขียนคือเจ้าของ blog เท่านั้น (ผู้ชมสามารถแสดงความเห็นได้เป็ น comment) 2. เขียน blog ไม่ต้องระวังเท่าเว็บบอร์ด จุดอ่อนของเว็บบอร์ดคือคนเยอะ และเมื่อเกิดความขัดแย้งกัน ก็จะทะเลาะกันใหญ่โต Pantip.com เจอปัญหานี้มากจนต้องตั้งระบบสมาชิกที่เข้มงวด
  • 4. ทาให้ลาบากในการสมัคร blog เข้ามาทดแทนในจุดนี้ได้พอดี เราสามารถเขียนอะไรลงใน blog ของเราก็ได้โดยไม่ต้องกลัวใครว่า ไม่ต้องกลัวข้อมูลมั่ว (เพราะว่าเป็ น blog ของเรานี่นา) ทาให้หลายๆ คนเกิดความสบายใจในการเขียน blog มากกว่าเว็บบอร์ดที่มีคนมาคอยเถียงหรือจับผิด 3. blog มีเนื้อหาต่อเนื่อง คนที่สนใจในเรื่องเดียวกันก็มักจะเข้าเว็บบอร์ดเฉพาะเรื่อง แต่ปัญหาอีกอย่างของเว็บบอร์ดคือ กระทู้ตกเร็ว และแต่ละกระทู้ไม่ต่อเนื่องกัน เพราะต่างคนต่างโพส แต่ blog นั้นเป็ นของเจ้าของคนเดียว เขียนคนเดียว สามารถควบคุมความต่อเนื่องของเนื้อหาได้สะดวกกว่า ยิ่งเจ้าของ blog นั้นเป็ นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่เราสนใจพอดี นี่จะสนุกมากเลยครับ ได้อ่านอะไรๆ ที่วงในเค้ารู้กันได้จาก blog นี่ล่ะ 4. มันก็เหมือนแอบอ่านไอดารี่คนอื่น การแอบอ่านไดอารี่เป็ นอะไรที่ไม่ดีแต่สนุกมาก blog นั้นกลับกัน เป็ นไดอารี่ที่อยากให้คนอื่นอ่าน ดังนั้นเจ้าของ blog จะประดิษฐ์
  • 5. ประดอยหาเรื่องที่น่าสนใจมาเขียนให้อ่าน ทาให้เรื่องใน blog นั้นก็น่าสนใจมากขึ้น 1.คลังความรู้ มีความรู้มากมายให้ค้นหา ให้อ่านตามความสนใจ 2.คลังมิตรภาพ เกิดการปฏิสัมพันธ์กันทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์จนกลายเป็ นมิต รภาพดีๆ 3.คลังแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แสดงความคิดเห็น และต่อยอดความรู้ออกไป 4.คลังแห่งความสุข เป็ นที่ระบายความเครียด ช่วยผ่อนคลาย และเพิ่มความสุขในชีวิต 5.คลังข้อมูล ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการทางานของสมาชิกที่สาคัญ
  • 6. ช่วยให้เจ้าของข้อมูลสามารถดึงดูดข้อมูลออกมาใช้ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว 6.คลังเพื่อการฝึกฝน เป็ นแหล่งฝึ กฝนระบบการคิด ทักษะการเขียน และความสามารถด้านถ่ายทอดข้อมูลความรู้ต่างๆ และยังเป็ นแหล่งฝึ กทักษะการใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตได้อ ย่างดีอีกด้วย 7.คลัง KM ที่แห่งนี้เป็ นสถานที่ที่มีผู้เชียวชาญด้านการจัดการความรู้ (KM) มากมาย อีกทั้งสามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการความรู้ (KM) ได้ง่ายเพียงแค่คลิก 8.คลังประชาสัมพันธ์และกิจกรรมงานบุญ เป็ นแหล่งประชาสัมพันธ์กิจกรรมดีๆ เพื่อสร้างสรรค์สังคมมากมาย 9.คลังแห่งองค์กรต่างๆ บางองค์กรเลือกเว็บไซต์ GOtoKnow.org เป็ นเครื่องมือเพื่อติดต่อสื่อสารระหว่างกัน 10.คลังเพื่อนช่วยเพื่อน เมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันทั้งทางออนไลน์
  • 7. จนเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจกัน พบว่าเกิดกระบวนการเพื่อนช่วยเพื่อน ทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ เช่น ช่วยสอนวิธีการใช้งานบล็อก 11.คลังความรู้ฝังลึก อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ที่มี่เป็ นคลังความรู้ มีสารประโยชน์ต่างๆ มากมายให้เลือกอ่าน และที่สาคัญความรู้ส่วนใหญ่นั้นเป็ นความรู้สึกฝังลึกที่ซ่อนอยู่ ในตัวคนทุกคนนั่นเอง ที่นี่จึงกลายเป๋ นคลังความรู้ฝังลึกที่ใหญ่มาก และถ้าหากสามารถสกัดความรู้ฝังลึกเหล่านี้ให้กลายเป็ นความรู้ชัด แจ้งได้ ที่มี่กลายเป็ นคลังแก่นความรู้ได้ต่อไป