ݺߣ

ݺߣShare a Scribd company logo
1
แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33201-33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 6
ปีการศึกษา 2560
ชื่อโครงงาน กาแฟรักษาโรค(Coffee Cure)
ชื่อผู้ทาโครงงาน
นางสาวพริมรตา สวัสดี เลขที่ 12 ชั้น 6ห้อง13
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2560
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
2
ใบงาน
การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
สมาชิกในกลุ่ม
1 นางสาวพริมรตา สวัสดี เลขที่ 12 ชั้น 6ห้อง13
คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน กาแฟรักษาโรค
ชื่อโครงงาน Coffee Cure
ประเภทโครงงาน พัฒนสื่อเพื่อการศึกษา
ชื่อผู้ทาโครงงาน นางสาวพริมรตา สวัสดี
ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่1
ที่มาและความสาคัญของโครงงาน
เชื่อว่าในทุกเช้าของคอกาแฟจะต้องไม่พลาดที่จะหาคาเฟอีนมาเพิ่มความสดชื่นให้ร่างกาย ด้วย
ความหอมละมุน และรสชาติที่ทาให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า จึงไม่แปลกที่ “กาแฟ” จะเป็นเครื่องดื่มยอด
ฮิตที่หลายคนขาดไม่ได้กาแฟเป็นสิ่งที่ผู้คนดื่มมาตั้งนานแล้วเป็นสิ่งที่ผู้คนบางคนดื่มเป็นประจา บางคน
ถึงกลับติดการกินกาแฟเลยที่เดียว กาแฟมีทั้ง ประโยชน์และโทษ เพราะฉนั้นควรศึกษาอย่างดีในการดื่ม
แต่เครื่องดื่มที่ขาดไม่ได้อย่าง “กาแฟ” แม้จะให้ประโยชน์ในเรื่องของความสดชื่น แต่หากดื่มมากเกินไป
ก็ให้โทษกับร่างกายได้ในระยะยาว เพราะนอกจากกาแฟจะมีสาร “คาเฟอีน” ก็ยังมีสารที่ในโทษอีก
มากมายในกาแฟเพราะฉนั้นควรจะดื่มกาแฟให้เหมาะสมต่อตัวเอง แต่กาแฟก็ยังมีประโยชน์อีกมากมาย
ถ้าดื่มอย่างถูกต้องและเหมาะสมกาแฟก็จะช่วยในเรื่องของการรักษาโรค เช่นโรคเบาหวาน โรคความดัน
โลหิตสูง ช่วยลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์ ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ และยังมีสรรพคุณช่วยบารุงหัวใจ
ดังนั้นก่อนจะดื่มกาแฟควรจะศึกษาอย่างจริงจังและรอบคอบเพื่อประโยชน์ต่อร่างกาย
วัตถุประสงค์
1. เพื่อศึกษาประโยชน์ของกาแฟ
2. เรียนรู้ประโยชน์ของกาแฟในการรักษาโรค
ขอบเขตโครงงาน
1. ให้ความรู้แก่ผู้สนใจ
2. ให้ความรู้ข้อมูลแก่ผู้ที่ชอบกินกาแฟได้รู้เรื่องประโยชน์ของกาแฟ
3
หลักการและทฤษฎี
_________________________________________________________________________
สรรพคุณของกาแฟ
1.มีงานวิจัยหลายงานที่ระบุว่า เมล็ดกาแฟมีสารกาเฟอีนที่มีฤทธิ์กระตุ้นหัวใจและกระตุ้นประสาท
ส่วนกลาง การดื่มกาแฟจึงช่วยกระตุ้นระบบประสาท ทาให้ตาแข็ง นอนไม่หลับ ทาให้ร่างกายสดชื่น
ขจัดความเซื่องซึมและอ่อนล้าได้โดยมีการยืนยันจากผลการทดลองที่ทาการทดลองกับนักกีฬากลุ่มหนึ่งที่
ได้ดื่มกาแฟในระหว่างการฝึกซ้อม และได้พบว่านักกีฬากลุ่มดังกล่าวสามารถฝึกซ้อมกีฬาได้นานขึ้นหรือ
อึดมากขึ้น โดยความคึกคักที่เกิดขึ้นจะมีระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น
2.ปริมาณกาเฟอีนในกาแฟที่เหมาะสมสามารถช่วยลดอาการหงุดหงิด อารมณ์ซึมเศร้า รวมถึง
ความเครียดได้ การดื่มกาแฟจึงทาให้ผู้ดื่มรู้สึกพึงพอใจและมีความสุขโดยมีรายงานผลวิจัยที่ระบุว่า ผู้ที่
ดื่มกาแฟวันละ 2-3 แก้ว จะสามารถช่วยลดความเครียดได้ประมาณ 15% แต่ถ้าหากดื่มถึงวันละ 4 แก้ว
ก็จะช่วยลดความเครียดได้ถึง 20%
3.ช่วยลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์
โดยมีงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเซาท์ฟลอริดา ที่เปิดเผยว่าผู้ที่มีอายุล่วงเข้าสู่วัยกลางคน ควรดื่มกาแฟ
วันละ 4-5 แก้ว เพื่อช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมน GCSF เนื่องจากฮอร์โมนชนิดนี้สามารถช่วยลดความเสี่ยง
ของการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษากับคนวัยกลางคนในประเทศฟินแลนด์จานวน
1,400 คน ที่พบว่าคนที่ดื่มกาแฟวันละ 5 ถ้วยต่อวัน สามารถลดอัตราเสี่ยงของการเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้
ถึง 65%
4
4.เป็นที่เชื่อกันว่ากาแฟมีสรรพคุณที่ช่วยชูกาลังได้
5.ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ กาเฟอีนในกาแฟมีฤทธิ์ขยายหลอดเลือด จึงช่วยระงับอาการปวดได้
เช่นเดียวกับยาแก้ปวด อีกทั้งกาแฟยังช่วยละลายไขมันในเส้นเลือด บรรเทาอาการปวดศีรษะเนื่องจาก
การเมาสุรา อาการปวดศีรษะเนื่องจากเส้นประสาท รวมถึงอาการปวดศีรษะข้างเดียวหรือไมเกรน
6.กาเฟอีนสามารถช่วยขยายหลอดเลือดแดงที่หล่อเลี้ยงหัวใจได้ จึงทาให้เลือดไปหล่อเลี้ยงหัวใจได้มาก
ขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็มีฤทธิ์ทาให้เส้นเลือดแดงบริเวณศีรษะหดตัว ซึ่งก็ช่วยลดอาการปวดศีรษะจาก
ไมเกรนได้อีกด้วย
7.ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ยืนยันได้ว่า การดื่มกาแฟวันละ 2-5 แก้ว
สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งในช่องปาก มะเร็งลาไส้ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก
มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งตับได้ เนื่องจากกาเฟอีนจะไปช่วยยับยั้งการเกิดเซลล์ผิดปกติ และกาจัด
สารพิษที่ร่างกายได้รับออกไปได้ในระดับหนึ่งงานวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ศึกษาจนพบว่า ผู้ที่
ดื่มกาแฟจะมีอัตราการเป็นโรคมะเร็งต่ากว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่ม ส่วนการศึกษาของมหาวิทยาลัยบอสตันพบว่า
ผู้ป่วยที่ดื่มกาแฟอย่างน้อยวันละ 5 ถ้วย จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งลาไส้ต่ากว่ากลุ่มอื่นถึง 40%ซึ่ง
สอดคล้องกับการศึกษาในประเทศญี่ปุ่นที่ทาการศึกษากับผู้หญิงเป็นระยะเวลา 12 ปี โดยพบว่า ผู้ที่ดื่ม
กาแฟวันละ 3 แก้วหรือมากกว่า จะมีแนวโน้มในการลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลาไส้ใหญ่ได้ถึง
50%และจากการศึกษากับผู้ชายจานวน 50,000 คน เป็นระยะเวลา 20 ปี พบว่าผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 6
แก้ว จะมีอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยกว่าคนที่ไม่ได้ดื่มโดยมีข้อมูลที่ระบุว่าการดื่ม
กาแฟนั้น จะสามารถช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้
5
8.จากการศึกษาของภาคเกษตรและเคมีอาหารของสหรัฐอเมริกา ที่ได้ศึกษาจนพบว่า ผู้ที่ดื่มกาแฟเป็น
ประจาจะมีโอกาสรอดพ้นจากโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ถึง 50% เนื่องจากกาแฟมีกาเฟอีนที่มีคุณสมบัติ
ในการยับยั้ง hIAPP และโพลีเปปไทด์ ที่เป็นตัวการก่อให้เกิดโปรตีนผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุของ
โรคเบาหวานชนิดที่ 2
9.เมล็ดกาแฟ มีสรรพคุณช่วยลดน้าระดับตาลในเลือดได้ โดยการใช้เมล็ดที่คั่วแล้ว นามาชงกับน้าร้อน
เป็นเครื่องดื่มยามว่าง
10.กาแฟมีสรรพคุณช่วยบารุงหัวใจ และช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ จากการศึกษาที่ติดตาม
ดูผู้หญิงจานวน 27,000 คน เป็นเวลา 15 ปี พบว่าการดื่มกาแฟประมาณวันละ 1-3 ถ้วย จะช่วยลด
ความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจให้น้อยลงได้ถึง 26% แต่การดื่มกาแฟในปริมาณมากกว่านี้ต่อวันจะไม่
ได้ผลในการลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจส่วนอีกการศึกษาหนึ่งที่ทาการศึกษาในกลุ่มผู้หญิงที่ดื่ม
กาแฟไม่เกินวันละ 5 ถ้วย พบว่ากาแฟไม่มีส่วนทาให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจมากขึ้น แม้ใน
รายที่มีปัญหาเส้นเลือดหดตัวหรือหัวใจเต้นไม่สม่าเสมอ ส่วนผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 6 ถ้วยขึ้นไปทุกวันก็ไม่มี
อัตราการเต้นของหัวใจที่สูงเกินกว่าปกติการดื่มกาแฟจะทาให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น เพราะ
กาแฟมีสาร theobromine (เมล็ด)
6
สารให้โทษในเครื่องดื่มกาแฟ
1 สารธีโอฟิลลีน - โทษของกาแฟ (Theophylline) เป็นสารในคาเฟอีนที่ทาให้หลอดลมขยาย และออก
ฤทธิ์กระตุ้นประสาท ในทางการแพทย์สารนี้ใช้กับผู้ป่วยโรคหอบหืด เพื่อกระตุ้นการหายใจ หากได้รับ
สารในปริมาณมากๆ อาจส่งผลให้ร่างกายเสียสมดุลเนื่องจากไปกระตุ้นระบบสมองด้วย จึงไม่เหมาะกับ
ผู้ป่วยโรคหัวใจเป็นอย่างยิ่ง
2 สารแซนทีน อัลคานอยด์ -โทษของกาแฟ (Xanthine Alkaloid) เป็นสารที่ออกกฤทธิ์กระตุ้นระบบ
ประสาทส่วนกลาง ซึ่งทาให้รู้สึกตื่นตัว ร่างกายกระปรี้กระเปร่า หากได้รับในปริมาณมากอาจทาให้หัว
ใจเต้นเร็วผิดปกติได้ สารนี้จึงใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องดื่มชูกาลัง และน้าอัดลม ซึ่งเป็นสารที่อยู่ใน
คาเฟอีน บางรายงานบอกว่าสารนี้ใช้ผสมในยาฆ่าแมลง เพราะคาเฟอีนสามารถทาให้แมลงตายได้ สารนี้
จะทาให้ภูมิต้านทานในร่างกายต่าลง
ภาวะพิษคาเฟอีน – โทษของกาแฟ
ภาวะพิษคาเฟอีน- โทษของกาแฟ เกิดกับผู้ที่เสพติดคาเฟอีนเอามากๆ ซึ่งส่งผลให้เกิดแผลในกระเพาะ
อาหาร จึงทาให้ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอยู่แล้ว มีอาการปวดท้องเมื่อดื่มกาแฟตอนท้องว่าง ผู้ที่เกิดภาวะพิษ
คาเฟอีน จะมึนหัว รู้สึกกระสับกระส่าย และส่งผลต่อสภาพจิตทาให้เกิดอาการเครียดได้ง่ายขึ้น อาการ
ข้างเคียงที่พบได้บ่อยๆ คือ มีการปัสสาวะบ่อยผิดปกติ หัวใจเต้นแรง และนอนหลับไม่สนิท อันตรายอีก
อย่างที่สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้ที่ติดคาเฟอีนคือ ภาวะพิษคาเฟอีนในเลือดสูง ซึ่งส่งผลให้เกิดความดัน
โลหิตสูง และทาให้ไขมันในเลือดเพิ่มสูงขึ้น อันเป็นผลให้กระเพาะอาหารผลิตกรดออกมาเพิ่ม ทาให้เกิด
แผลในกระเพาะได้ง่ายกว่าคนปกติ ในส่วนของผลที่เกิดกับเพศหญิง คาเฟอีนในปริมาณมากจะทาให้เป็น
“ก้อนซีส” ได้ง่ายกว่าปกติ และเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม หรือเนื้องอกในเต้านมได้
7
วิธีดาเนินงาน
แนวทางการดาเนินงาน
1.เลือกหัวข้อที่สนใจ
2.นาเสนอหัวข้อแก่ครูผู้สอน
3.ศึกษาและรวบรวมข้อมูล
4.จัดทารายงาน
5.นาเสนอครูผู้สอน
6.ปรับปรุงและแก้ไข
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้
1.อินเตอร์เน็ต
2.คอมพิวเตอร์
3.หนังสือให้ความรู้
งบประมาณ
ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน
ลาดับ
ที่
ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดชอบ
1 2 3 4 5 6 7 8 9
1
0
1
1
12
1
3
1
4
1
5
16 17
1 คิดหัวข้อโครงงาน
2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูล
3 จัดทาโครงร่างงาน
4 ปฏิบัติการสร้างโครงงาน
5 ปรับปรุงทดสอบ
6 การทาเอกสารรายงาน
7 ประเมินผลงาน
8 นาเสนอโครงงาน
8
ผลที่คาดว่าจะได้รับ (ผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการทาโครงงาน)
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
สถานที่ดาเนินการ
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
แหล่งอ้างอิง (เอกสาร หรือแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่นามาใช้การทาโครงงาน)
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________

More Related Content

แบบโครงงาน Primrata

  • 1. 1 แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์ รหัสวิชา ง33201-33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 6 ปีการศึกษา 2560 ชื่อโครงงาน กาแฟรักษาโรค(Coffee Cure) ชื่อผู้ทาโครงงาน นางสาวพริมรตา สวัสดี เลขที่ 12 ชั้น 6ห้อง13 ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์ ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34
  • 2. 2 ใบงาน การจัดทาข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์ สมาชิกในกลุ่ม 1 นางสาวพริมรตา สวัสดี เลขที่ 12 ชั้น 6ห้อง13 คาชี้แจง ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้ ชื่อโครงงาน กาแฟรักษาโรค ชื่อโครงงาน Coffee Cure ประเภทโครงงาน พัฒนสื่อเพื่อการศึกษา ชื่อผู้ทาโครงงาน นางสาวพริมรตา สวัสดี ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์ ระยะเวลาดาเนินงาน ภาคเรียนที่1 ที่มาและความสาคัญของโครงงาน เชื่อว่าในทุกเช้าของคอกาแฟจะต้องไม่พลาดที่จะหาคาเฟอีนมาเพิ่มความสดชื่นให้ร่างกาย ด้วย ความหอมละมุน และรสชาติที่ทาให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า จึงไม่แปลกที่ “กาแฟ” จะเป็นเครื่องดื่มยอด ฮิตที่หลายคนขาดไม่ได้กาแฟเป็นสิ่งที่ผู้คนดื่มมาตั้งนานแล้วเป็นสิ่งที่ผู้คนบางคนดื่มเป็นประจา บางคน ถึงกลับติดการกินกาแฟเลยที่เดียว กาแฟมีทั้ง ประโยชน์และโทษ เพราะฉนั้นควรศึกษาอย่างดีในการดื่ม แต่เครื่องดื่มที่ขาดไม่ได้อย่าง “กาแฟ” แม้จะให้ประโยชน์ในเรื่องของความสดชื่น แต่หากดื่มมากเกินไป ก็ให้โทษกับร่างกายได้ในระยะยาว เพราะนอกจากกาแฟจะมีสาร “คาเฟอีน” ก็ยังมีสารที่ในโทษอีก มากมายในกาแฟเพราะฉนั้นควรจะดื่มกาแฟให้เหมาะสมต่อตัวเอง แต่กาแฟก็ยังมีประโยชน์อีกมากมาย ถ้าดื่มอย่างถูกต้องและเหมาะสมกาแฟก็จะช่วยในเรื่องของการรักษาโรค เช่นโรคเบาหวาน โรคความดัน โลหิตสูง ช่วยลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์ ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ และยังมีสรรพคุณช่วยบารุงหัวใจ ดังนั้นก่อนจะดื่มกาแฟควรจะศึกษาอย่างจริงจังและรอบคอบเพื่อประโยชน์ต่อร่างกาย วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาประโยชน์ของกาแฟ 2. เรียนรู้ประโยชน์ของกาแฟในการรักษาโรค ขอบเขตโครงงาน 1. ให้ความรู้แก่ผู้สนใจ 2. ให้ความรู้ข้อมูลแก่ผู้ที่ชอบกินกาแฟได้รู้เรื่องประโยชน์ของกาแฟ
  • 3. 3 หลักการและทฤษฎี _________________________________________________________________________ สรรพคุณของกาแฟ 1.มีงานวิจัยหลายงานที่ระบุว่า เมล็ดกาแฟมีสารกาเฟอีนที่มีฤทธิ์กระตุ้นหัวใจและกระตุ้นประสาท ส่วนกลาง การดื่มกาแฟจึงช่วยกระตุ้นระบบประสาท ทาให้ตาแข็ง นอนไม่หลับ ทาให้ร่างกายสดชื่น ขจัดความเซื่องซึมและอ่อนล้าได้โดยมีการยืนยันจากผลการทดลองที่ทาการทดลองกับนักกีฬากลุ่มหนึ่งที่ ได้ดื่มกาแฟในระหว่างการฝึกซ้อม และได้พบว่านักกีฬากลุ่มดังกล่าวสามารถฝึกซ้อมกีฬาได้นานขึ้นหรือ อึดมากขึ้น โดยความคึกคักที่เกิดขึ้นจะมีระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น 2.ปริมาณกาเฟอีนในกาแฟที่เหมาะสมสามารถช่วยลดอาการหงุดหงิด อารมณ์ซึมเศร้า รวมถึง ความเครียดได้ การดื่มกาแฟจึงทาให้ผู้ดื่มรู้สึกพึงพอใจและมีความสุขโดยมีรายงานผลวิจัยที่ระบุว่า ผู้ที่ ดื่มกาแฟวันละ 2-3 แก้ว จะสามารถช่วยลดความเครียดได้ประมาณ 15% แต่ถ้าหากดื่มถึงวันละ 4 แก้ว ก็จะช่วยลดความเครียดได้ถึง 20% 3.ช่วยลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์ โดยมีงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเซาท์ฟลอริดา ที่เปิดเผยว่าผู้ที่มีอายุล่วงเข้าสู่วัยกลางคน ควรดื่มกาแฟ วันละ 4-5 แก้ว เพื่อช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมน GCSF เนื่องจากฮอร์โมนชนิดนี้สามารถช่วยลดความเสี่ยง ของการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษากับคนวัยกลางคนในประเทศฟินแลนด์จานวน 1,400 คน ที่พบว่าคนที่ดื่มกาแฟวันละ 5 ถ้วยต่อวัน สามารถลดอัตราเสี่ยงของการเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้ ถึง 65%
  • 4. 4 4.เป็นที่เชื่อกันว่ากาแฟมีสรรพคุณที่ช่วยชูกาลังได้ 5.ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ กาเฟอีนในกาแฟมีฤทธิ์ขยายหลอดเลือด จึงช่วยระงับอาการปวดได้ เช่นเดียวกับยาแก้ปวด อีกทั้งกาแฟยังช่วยละลายไขมันในเส้นเลือด บรรเทาอาการปวดศีรษะเนื่องจาก การเมาสุรา อาการปวดศีรษะเนื่องจากเส้นประสาท รวมถึงอาการปวดศีรษะข้างเดียวหรือไมเกรน 6.กาเฟอีนสามารถช่วยขยายหลอดเลือดแดงที่หล่อเลี้ยงหัวใจได้ จึงทาให้เลือดไปหล่อเลี้ยงหัวใจได้มาก ขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็มีฤทธิ์ทาให้เส้นเลือดแดงบริเวณศีรษะหดตัว ซึ่งก็ช่วยลดอาการปวดศีรษะจาก ไมเกรนได้อีกด้วย 7.ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ยืนยันได้ว่า การดื่มกาแฟวันละ 2-5 แก้ว สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งในช่องปาก มะเร็งลาไส้ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งตับได้ เนื่องจากกาเฟอีนจะไปช่วยยับยั้งการเกิดเซลล์ผิดปกติ และกาจัด สารพิษที่ร่างกายได้รับออกไปได้ในระดับหนึ่งงานวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ศึกษาจนพบว่า ผู้ที่ ดื่มกาแฟจะมีอัตราการเป็นโรคมะเร็งต่ากว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่ม ส่วนการศึกษาของมหาวิทยาลัยบอสตันพบว่า ผู้ป่วยที่ดื่มกาแฟอย่างน้อยวันละ 5 ถ้วย จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งลาไส้ต่ากว่ากลุ่มอื่นถึง 40%ซึ่ง สอดคล้องกับการศึกษาในประเทศญี่ปุ่นที่ทาการศึกษากับผู้หญิงเป็นระยะเวลา 12 ปี โดยพบว่า ผู้ที่ดื่ม กาแฟวันละ 3 แก้วหรือมากกว่า จะมีแนวโน้มในการลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลาไส้ใหญ่ได้ถึง 50%และจากการศึกษากับผู้ชายจานวน 50,000 คน เป็นระยะเวลา 20 ปี พบว่าผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 6 แก้ว จะมีอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยกว่าคนที่ไม่ได้ดื่มโดยมีข้อมูลที่ระบุว่าการดื่ม กาแฟนั้น จะสามารถช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้
  • 5. 5 8.จากการศึกษาของภาคเกษตรและเคมีอาหารของสหรัฐอเมริกา ที่ได้ศึกษาจนพบว่า ผู้ที่ดื่มกาแฟเป็น ประจาจะมีโอกาสรอดพ้นจากโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ถึง 50% เนื่องจากกาแฟมีกาเฟอีนที่มีคุณสมบัติ ในการยับยั้ง hIAPP และโพลีเปปไทด์ ที่เป็นตัวการก่อให้เกิดโปรตีนผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุของ โรคเบาหวานชนิดที่ 2 9.เมล็ดกาแฟ มีสรรพคุณช่วยลดน้าระดับตาลในเลือดได้ โดยการใช้เมล็ดที่คั่วแล้ว นามาชงกับน้าร้อน เป็นเครื่องดื่มยามว่าง 10.กาแฟมีสรรพคุณช่วยบารุงหัวใจ และช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ จากการศึกษาที่ติดตาม ดูผู้หญิงจานวน 27,000 คน เป็นเวลา 15 ปี พบว่าการดื่มกาแฟประมาณวันละ 1-3 ถ้วย จะช่วยลด ความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจให้น้อยลงได้ถึง 26% แต่การดื่มกาแฟในปริมาณมากกว่านี้ต่อวันจะไม่ ได้ผลในการลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจส่วนอีกการศึกษาหนึ่งที่ทาการศึกษาในกลุ่มผู้หญิงที่ดื่ม กาแฟไม่เกินวันละ 5 ถ้วย พบว่ากาแฟไม่มีส่วนทาให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจมากขึ้น แม้ใน รายที่มีปัญหาเส้นเลือดหดตัวหรือหัวใจเต้นไม่สม่าเสมอ ส่วนผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 6 ถ้วยขึ้นไปทุกวันก็ไม่มี อัตราการเต้นของหัวใจที่สูงเกินกว่าปกติการดื่มกาแฟจะทาให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น เพราะ กาแฟมีสาร theobromine (เมล็ด)
  • 6. 6 สารให้โทษในเครื่องดื่มกาแฟ 1 สารธีโอฟิลลีน - โทษของกาแฟ (Theophylline) เป็นสารในคาเฟอีนที่ทาให้หลอดลมขยาย และออก ฤทธิ์กระตุ้นประสาท ในทางการแพทย์สารนี้ใช้กับผู้ป่วยโรคหอบหืด เพื่อกระตุ้นการหายใจ หากได้รับ สารในปริมาณมากๆ อาจส่งผลให้ร่างกายเสียสมดุลเนื่องจากไปกระตุ้นระบบสมองด้วย จึงไม่เหมาะกับ ผู้ป่วยโรคหัวใจเป็นอย่างยิ่ง 2 สารแซนทีน อัลคานอยด์ -โทษของกาแฟ (Xanthine Alkaloid) เป็นสารที่ออกกฤทธิ์กระตุ้นระบบ ประสาทส่วนกลาง ซึ่งทาให้รู้สึกตื่นตัว ร่างกายกระปรี้กระเปร่า หากได้รับในปริมาณมากอาจทาให้หัว ใจเต้นเร็วผิดปกติได้ สารนี้จึงใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องดื่มชูกาลัง และน้าอัดลม ซึ่งเป็นสารที่อยู่ใน คาเฟอีน บางรายงานบอกว่าสารนี้ใช้ผสมในยาฆ่าแมลง เพราะคาเฟอีนสามารถทาให้แมลงตายได้ สารนี้ จะทาให้ภูมิต้านทานในร่างกายต่าลง ภาวะพิษคาเฟอีน – โทษของกาแฟ ภาวะพิษคาเฟอีน- โทษของกาแฟ เกิดกับผู้ที่เสพติดคาเฟอีนเอามากๆ ซึ่งส่งผลให้เกิดแผลในกระเพาะ อาหาร จึงทาให้ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอยู่แล้ว มีอาการปวดท้องเมื่อดื่มกาแฟตอนท้องว่าง ผู้ที่เกิดภาวะพิษ คาเฟอีน จะมึนหัว รู้สึกกระสับกระส่าย และส่งผลต่อสภาพจิตทาให้เกิดอาการเครียดได้ง่ายขึ้น อาการ ข้างเคียงที่พบได้บ่อยๆ คือ มีการปัสสาวะบ่อยผิดปกติ หัวใจเต้นแรง และนอนหลับไม่สนิท อันตรายอีก อย่างที่สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้ที่ติดคาเฟอีนคือ ภาวะพิษคาเฟอีนในเลือดสูง ซึ่งส่งผลให้เกิดความดัน โลหิตสูง และทาให้ไขมันในเลือดเพิ่มสูงขึ้น อันเป็นผลให้กระเพาะอาหารผลิตกรดออกมาเพิ่ม ทาให้เกิด แผลในกระเพาะได้ง่ายกว่าคนปกติ ในส่วนของผลที่เกิดกับเพศหญิง คาเฟอีนในปริมาณมากจะทาให้เป็น “ก้อนซีส” ได้ง่ายกว่าปกติ และเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม หรือเนื้องอกในเต้านมได้
  • 7. 7 วิธีดาเนินงาน แนวทางการดาเนินงาน 1.เลือกหัวข้อที่สนใจ 2.นาเสนอหัวข้อแก่ครูผู้สอน 3.ศึกษาและรวบรวมข้อมูล 4.จัดทารายงาน 5.นาเสนอครูผู้สอน 6.ปรับปรุงและแก้ไข เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ 1.อินเตอร์เน็ต 2.คอมพิวเตอร์ 3.หนังสือให้ความรู้ งบประมาณ ขั้นตอนและแผนดาเนินงาน ลาดับ ที่ ขั้นตอน สัปดาห์ที่ ผู้รับผิดชอบ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 1 0 1 1 12 1 3 1 4 1 5 16 17 1 คิดหัวข้อโครงงาน 2 ศึกษาและค้นคว้าข้อมูล 3 จัดทาโครงร่างงาน 4 ปฏิบัติการสร้างโครงงาน 5 ปรับปรุงทดสอบ 6 การทาเอกสารรายงาน 7 ประเมินผลงาน 8 นาเสนอโครงงาน
  • 8. 8 ผลที่คาดว่าจะได้รับ (ผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการทาโครงงาน) _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ สถานที่ดาเนินการ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ แหล่งอ้างอิง (เอกสาร หรือแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่นามาใช้การทาโครงงาน) _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________ _________________________________________________________________________