ݺߣ
Submit Search
Ȩร์มัลไลเซชัน (Recovered)
Dec 19, 2016
Download as DOCX, PDF
0 likes
737 views
F
Frong Pinipun
รายงาน
Read less
Read more
1 of 10
Download now
Download to read offline
Recommended
Ȩร์มัลไลเซชัน
Ȩร์มัลไลเซชัน
Pang Parawee
-
ประวัติ2
ประวัติ2
sangworn
แบบทึϸอบโครงงาน
แบบทึϸอบโครงงาน
Rattana Wongphu-nga
ตรรกศาสตร์และการพิสูจน์
ตรรกศาสตร์และการพิสูจน์
K.s. Mam
รูปแบบการพัฒȨหลักสูตร
รูปแบบการพัฒȨหลักสูตร
Bigbic Thanyarat
อาซียนพม่า
อาซียนพม่า
mookpunin
ASEAN MYANMAR
อารยธรรมอิȨึϸย
อารยธรรมอิȨึϸย
Gain Gpk
อารยธรรมอิȨึϸย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่6.1 โรงเรียนสตรีวิทยา ปีการศึกษา2557
จำȨวนชิงซ้อน
จำȨวนชิงซ้อน
Fern Monwalee
ใบความรู้เรื่อมัทนะพาธา
ใบความรู้เรื่อมัทนะพาธา
Chinnakorn Pawannay
ศาสนายิว
ศาสนายิว
Padvee Academy
ดาวน์โหลดไฟล์นี้ได้ที่ www.philosophychicchic.com ศาสนายิว ประวัติความเป็นมา คัมภีร์สำคัญ ความเชื่อและพิธีกรรม
โครงงาȨิตามินในไྺ่
โครงงาȨิตามินในไྺ่
punchza
ของไหล
ของไหล
Chanthawan Suwanhitathorn
เนื้อหาเรื่องของไหล ฟิสิกส์
ใบงาน เรื่อง พลังงงาน
ใบงาน เรื่อง พลังงงาน
Tanachai Junsuk
รายวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ 2
การเคลื่อนที่ྺองสัตว์มีกระึϸกสันหลัง
การเคลื่อนที่ྺองสัตว์มีกระึϸกสันหลัง
สุรินทร์ ดีแก้วเกษ
การเคลื่อนที่ྺองสัตว์มีกระึϸกสันหลัง
รหัสเทียม Psuedo code
รหัสเทียม Psuedo code
ปณพล ดาดวง
รหัสเทียม Psuedo code
แผนBioม.5 1
แผนBioม.5 1
Wichai Likitponrak
ชนิดประโยค ม.2
ชนิดประโยค ม.2
Ponpirun Homsuwan
ชนิดประโยค
2 1
2 1
Pannathat Champakul
แผȨาพต้Ȩม้11
แผȨาพต้Ȩม้11
ทับทิม เจริญตา
Slแบบฝึกหัดทบทวน เรื่อง อัตราเร็ว ความเร็ว ระยะทาง และการกระจัด
Slแบบฝึกหัดทบทวน เรื่อง อัตราเร็ว ความเร็ว ระยะทาง และการกระจัด
krupornpana55
แผȨารรียนรู้สุภาษิต
แผȨารรียนรู้สุภาษิต
yaowarat Lertpipatkul
แผȨารจัึϸารรียนรู้ครบองค์ประกอบ
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
Sununtha Sukarayothin
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
ภาพการ์ตูน
ภาพการ์ตูน
พัน พัน
ศาสนาเปรียบเทียบ
ศาสนาเปรียบเทียบ
thnaporn999
11. ชุดที่ 8 เทคโนโลยีชีวภาพ
11. ชุดที่ 8 เทคโนโลยีชีวภาพ
เอเดียน คุณาสิทธิ์
11. ชุดที่ 8 เทคโนโลยีชีวภาพ
14แบบทึϸอบสารพันธุกรรม
14แบบทึϸอบสารพันธุกรรม
สำเร็จ นางสีคุณ
แอลดี1
แอลดี1
Pa'rig Prig
แอลดี1
หลักฐาȨางประวัติศาสตร์
หลักฐาȨางประวัติศาสตร์
ponderingg
หลักฐาȨางประวัติศาสตร์
ลดหน้าเอกสารด้วยคำสั่ง Shirk one page
ลดหน้าเอกสารด้วยคำสั่ง Shirk one page
Frong Pinipun
รายงาน นำเสนอ
การเพิ่มปุ่มโปรแกรม
การเพิ่มปุ่มโปรแกรม
Frong Pinipun
รายงาน
More Related Content
What's hot
(20)
ใบความรู้เรื่อมัทนะพาธา
ใบความรู้เรื่อมัทนะพาธา
Chinnakorn Pawannay
ศาสนายิว
ศาสนายิว
Padvee Academy
ดาวน์โหลดไฟล์นี้ได้ที่ www.philosophychicchic.com ศาสนายิว ประวัติความเป็นมา คัมภีร์สำคัญ ความเชื่อและพิธีกรรม
โครงงาȨิตามินในไྺ่
โครงงาȨิตามินในไྺ่
punchza
ของไหล
ของไหล
Chanthawan Suwanhitathorn
เนื้อหาเรื่องของไหล ฟิสิกส์
ใบงาน เรื่อง พลังงงาน
ใบงาน เรื่อง พลังงงาน
Tanachai Junsuk
รายวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ 2
การเคลื่อนที่ྺองสัตว์มีกระึϸกสันหลัง
การเคลื่อนที่ྺองสัตว์มีกระึϸกสันหลัง
สุรินทร์ ดีแก้วเกษ
การเคลื่อนที่ྺองสัตว์มีกระึϸกสันหลัง
รหัสเทียม Psuedo code
รหัสเทียม Psuedo code
ปณพล ดาดวง
รหัสเทียม Psuedo code
แผนBioม.5 1
แผนBioม.5 1
Wichai Likitponrak
ชนิดประโยค ม.2
ชนิดประโยค ม.2
Ponpirun Homsuwan
ชนิดประโยค
2 1
2 1
Pannathat Champakul
แผȨาพต้Ȩม้11
แผȨาพต้Ȩม้11
ทับทิม เจริญตา
Slแบบฝึกหัดทบทวน เรื่อง อัตราเร็ว ความเร็ว ระยะทาง และการกระจัด
Slแบบฝึกหัดทบทวน เรื่อง อัตราเร็ว ความเร็ว ระยะทาง และการกระจัด
krupornpana55
แผȨารรียนรู้สุภาษิต
แผȨารรียนรู้สุภาษิต
yaowarat Lertpipatkul
แผȨารจัึϸารรียนรู้ครบองค์ประกอบ
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
Sununtha Sukarayothin
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
ภาพการ์ตูน
ภาพการ์ตูน
พัน พัน
ศาสนาเปรียบเทียบ
ศาสนาเปรียบเทียบ
thnaporn999
11. ชุดที่ 8 เทคโนโลยีชีวภาพ
11. ชุดที่ 8 เทคโนโลยีชีวภาพ
เอเดียน คุณาสิทธิ์
11. ชุดที่ 8 เทคโนโลยีชีวภาพ
14แบบทึϸอบสารพันธุกรรม
14แบบทึϸอบสารพันธุกรรม
สำเร็จ นางสีคุณ
แอลดี1
แอลดี1
Pa'rig Prig
แอลดี1
หลักฐาȨางประวัติศาสตร์
หลักฐาȨางประวัติศาสตร์
ponderingg
หลักฐาȨางประวัติศาสตร์
ใบความรู้เรื่อมัทนะพาธา
ใบความรู้เรื่อมัทนะพาธา
Chinnakorn Pawannay
ศาสนายิว
ศาสนายิว
Padvee Academy
โครงงาȨิตามินในไྺ่
โครงงาȨิตามินในไྺ่
punchza
ของไหล
ของไหล
Chanthawan Suwanhitathorn
ใบงาน เรื่อง พลังงงาน
ใบงาน เรื่อง พลังงงาน
Tanachai Junsuk
การเคลื่อนที่ྺองสัตว์มีกระึϸกสันหลัง
การเคลื่อนที่ྺองสัตว์มีกระึϸกสันหลัง
สุรินทร์ ดีแก้วเกษ
รหัสเทียม Psuedo code
รหัสเทียม Psuedo code
ปณพล ดาดวง
แผนBioม.5 1
แผนBioม.5 1
Wichai Likitponrak
ชนิดประโยค ม.2
ชนิดประโยค ม.2
Ponpirun Homsuwan
2 1
2 1
Pannathat Champakul
แผȨาพต้Ȩม้11
แผȨาพต้Ȩม้11
ทับทิม เจริญตา
Slแบบฝึกหัดทบทวน เรื่อง อัตราเร็ว ความเร็ว ระยะทาง และการกระจัด
Slแบบฝึกหัดทบทวน เรื่อง อัตราเร็ว ความเร็ว ระยะทาง และการกระจัด
krupornpana55
แผȨารรียนรู้สุภาษิต
แผȨารรียนรู้สุภาษิต
yaowarat Lertpipatkul
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
Sununtha Sukarayothin
ภาพการ์ตูน
ภาพการ์ตูน
พัน พัน
ศาสนาเปรียบเทียบ
ศาสนาเปรียบเทียบ
thnaporn999
11. ชุดที่ 8 เทคโนโลยีชีวภาพ
11. ชุดที่ 8 เทคโนโลยีชีวภาพ
เอเดียน คุณาสิทธิ์
14แบบทึϸอบสารพันธุกรรม
14แบบทึϸอบสารพันธุกรรม
สำเร็จ นางสีคุณ
แอลดี1
แอลดี1
Pa'rig Prig
หลักฐาȨางประวัติศาสตร์
หลักฐาȨางประวัติศาสตร์
ponderingg
More from Frong Pinipun
(7)
ลดหน้าเอกสารด้วยคำสั่ง Shirk one page
ลดหน้าเอกสารด้วยคำสั่ง Shirk one page
Frong Pinipun
รายงาน นำเสนอ
การเพิ่มปุ่มโปรแกรม
การเพิ่มปุ่มโปรแกรม
Frong Pinipun
รายงาน
ทิปลดขนาดไฟล์พรีเซ็น Power point ให้เล็กลง
ทิปลดขนาดไฟล์พรีเซ็น Power point ให้เล็กลง
Frong Pinipun
รารยงาȨารȨสนอ
รหัสผ่านป้องกัȨอกสารการทำงาȨี่สำคัญและการแทรกวันที่และวลา
รหัสผ่านป้องกัȨอกสารการทำงาȨี่สำคัญและการแทรกวันที่และวลา
Frong Pinipun
นายพินิพันธ์ คำอินทร์ ม5/3 เลขที่1
Songsak 151221143635
Songsak 151221143635
Frong Pinipun
รายงานการปริ้น
Ȩร์มัลไลเซชัน (Recovered)
Ȩร์มัลไลเซชัน (Recovered)
Frong Pinipun
รายงาน
Document (2)
Document (2)
Frong Pinipun
นายพินิพันธ์ คำอินทร์
ลดหน้าเอกสารด้วยคำสั่ง Shirk one page
ลดหน้าเอกสารด้วยคำสั่ง Shirk one page
Frong Pinipun
การเพิ่มปุ่มโปรแกรม
การเพิ่มปุ่มโปรแกรม
Frong Pinipun
ทิปลดขนาดไฟล์พรีเซ็น Power point ให้เล็กลง
ทิปลดขนาดไฟล์พรีเซ็น Power point ให้เล็กลง
Frong Pinipun
รหัสผ่านป้องกัȨอกสารการทำงาȨี่สำคัญและการแทรกวันที่และวลา
รหัสผ่านป้องกัȨอกสารการทำงาȨี่สำคัญและการแทรกวันที่และวลา
Frong Pinipun
Songsak 151221143635
Songsak 151221143635
Frong Pinipun
Ȩร์มัลไลเซชัน (Recovered)
Ȩร์มัลไลเซชัน (Recovered)
Frong Pinipun
Document (2)
Document (2)
Frong Pinipun
Ȩร์มัลไลเซชัน (Recovered)
1.
Ȩร์มัลไลเซชัน (Normalization) การทาȨร์มัลไลเซชัน เป็นวิธีการในการกาหนดแอตทริบิวต์ให้กับแต่ละเอนทิตี เพื่อให้ได
้โครงสร้างของตารางที่ดี สา มารถควบคุมความซ้าซ ้อนของข ้อมูลหลีกเลี่ยงความผิดปกติของข ้อมูล โดยทั่วไปผลลัพธ์ของ การȨร์มัลไลเซชัน จะได ้ตารางที่มีโครงสร้างซับซ ้อนน้อยลง แต่จานวนของตารางจะมากขึ้น การทาȨร์มัลไลเซชัน จะประกอบด ้วยนอร์มัลฟอร์ม (Normal Form) แบบต่าง ๆ ที่มีเงื่อนไขของการทาให้อยู่ในรูปของนอร์มัลฟอร์มที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับผู้ออกแบบฐาน ข ้อมูลว่า ต ้องการลดความซ้าซ ้อนในฐานข ้อมูลให้อยู่ในระดับใด ซึ่งประกอบด ้วยนอร์มัลฟอร์มแบบต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ – นอร์มัลฟอร์มที่1 (First Normal Form : 1NF) – นอร์มัลฟอร์มที่2 (Second Normal Form : 2NF) – นอร์มัลฟอร์มที่3 (Third Normal Form : 3NF) – บอยซ์คอดด์นอร์มัลฟอร์ม (Boyce-Codd Normal Form : BCNF) – นอร์มัลฟอร์มที่4 (Fourth Normal Form : 4NF) – นอร์มัลฟอร์มที่5 (Fifth Normal Form : 5NF) ถึงแม ้ว่าการȨร์มัลไลเซชัน จะเป็นสิ่งสาคัญและจาเป็นที่สุดสาหรับการออกแบบฐานข ้อมูล แต่ก็ไม่ได ้หมายความว่าจะต ้อ งทาการȨร์มัลไลเซชันจนถึงระดับนอร์มัลฟอร์มที่ 5 โดยทั่วไปการแสดงผลข ้อมูลจากตารางที่อยู่ในนอร์มัลฟอร์มที่ 5 จะมีการเชื่อมต่อตารางเป็นจานวนมาก ทาให้การแสดงผลและการโต ้ตอบระหว่างระบบฐาน ข ้อมูลกับผู้ใช ้กระทาได ้ช ้า การออกแบบฐานข ้อมูลที่ดีจึงต ้องพิจารณาถึงความต ้องการของผู้ใช ้ และต ้องสามารถตอบสนองได ้อย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นในบางกรณีจึงมีการลดระดับการนอร์มัล ไลเซชันในบางส่วนของการออกแบบฐานข ้อมูล เพื่อให้ระบบสามารถตอบสนองได ้ตามความต ้องการของผู้ใช ้ การลดระดับการȨร์มัลไลเซชัน (Denormalization) เป็นวิธีการลดระดับของนอร์มัลฟอร์มลงมา เช่น การแปลงจาก 3NF มาเป็น 2NF อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะได ้รับเพิ่มขึ้นมาจากการลดระดับการȨร์มัลไลเซชัน นอกจากความเร็วที่ดีขึ้นแล ้ว ความซ้าซ ้อนของข ้อมูลก็เพิ่มสูงขึ้นด ้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรนามาพิจารณาอย่างระมัดระวัง 1) การแปลงให้อยู่ในรูปนอร์มัลฟอร์มที่ 1 (First Normal Form : 1NF) คุณสมบัติของรีเลชันของแบบจาลองข ้อมูลเชิงสัมพันธ์ ก็คือ ข ้อมูลในแต่ละทัปเพิลจะต ้องไม่ ซ้ากัน และค่าในแต่ละแอตทริบิวต์จะต ้องไม่สามารถถูกแบ่งแยกย่อยลงไปได ้อีกหรือมีความเป็ นอะตอมมิค (Atomic) รวมถึงจะต ้องมีค่าเพียงค่าเดียวที่อยู่ในแต่ละแอตทริบิวต์หรือมีความเป็นซิงเกิลแวลู (Single Value) ซึ่งในการทาȨร์มัลไลเซชันให้อยู่ในนอร์มัลฟอร์ที่1 ก็อาศัยคุณสมบัติดังที่กล่าวไว้ข ้างต ้น
2.
1.1) รีพีทติ้งกรุ๊ป (Repeating
Group) การที่ข ้อมูลใน 1 ทัปเพิล สามารถมีค่าในแต่ละแอตทริบิวต์ได ้มากกว่าหนึ่งค่า (Multivalued) จะทาให้เกิดรีพีทติ้งกรุ๊ป ดังตารางที่แสดงในภาพข ้างล่าง ซึ่งเลขที่โครงการหนึ่งหมายเลขประกอบด ้วยกลุ่มข ้อมูลหลายกลุ่ม ซึ่งทาให้รีเลชันดังกล่าว ขาดคุณสมบัติซิงเกิลแวลู 1.2) นิยามของนอร์มัลฟอร์มที่ 1 รีเลชันจะอยู่ในรูปของนอร์มัลฟอร์มที่1 ก็ต่อเมื่อมีคุณสมบัติตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้ 1. มีการกาหนดแอตทริบิวต์ที่เป็นคีย์ 2. ต ้องไม่มีรีพีทติ้งกรุ๊ป แต่ละแถวหรือคอลัมน์จะมีค่าได ้เพียง 1 ค่าเท่านั้น 3. แอตทริบิวต์ทุกตัวต ้องขึ้นอยู่กับคีย์หลัก จากภาพข ้างบน เมื่อการการȨร์มัลไลเซชันให้อยู่ในรูปนอร์มัลฟอร์มที่ 1 จะได ้ตารางที่แตกย่อยออกมาเป็น 2 ตาราง ดังภาพข ้างล่าง ซึ่งมีคุณสมบัติตามนอร์มัลฟอร์มที่1 แล ้ว
3.
2) การแปลงให้อยู่ในรูปนอร์มัลฟอร์มที่ 2
(Second Normal Form : 2NF) ในหนึ่งรีเลชันจะประกอบด ้วยแอตทริบิวต์ต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์ที่ขึ้นต่อกัน ซึ่งความสัมพันธ์ดังกล่าวจะเป็นตัวกาหนดว่าแอตทริบิวต์ใดเป็นตัวกาหนดข ้อมูล หรือ คีย์แอต ทริบิวต์ (Key Attribute) และและแอตทริบิวต์ใดเป็นข ้อมูลที่ถูกกาหนดหรือนอนคีย์แอตทริบิวต์ (Nonkey Attribute) 2.1) ฟังก์ชันนัลดีเพนเดนซี (Functional Dependency: FD) ในการทาȨร์มัลไลเซชัน จะต ้องมีความเข ้าใจหลักการของฟังก์ชันดีเพนเดนซี (Function Dependency : FD) เสียก่อน โดยมีคาจากัดความคือ B ขึ้นอยู่กับ A ถ ้าทราบค่าของ A ก็จะทาให้รู้ค่าของ B ได ้ ฟังก์ชันนัลดีเพนเดนซี สามารถแสดงด ้วยการใช ้เครื่องหมายลูกศร ( ->) ตัวอย่างเช่น A- >B แสดง B เป็นฟังก์ชันนัลดีเพนเดนต์กับ A กล่าวคือ ถ ้ารู้ค่า A ก็จะทาให้ทราบค่าของ B ด ้วย ทุกค่าของ A ที่มีค่าเท่ากัน จะได ้ค่า เท่ากันเสมอ 2.2) พาเชียลดีเพนเดนซี (Partial Dependency) พาร์เชียลดีเพนเดนซี หมายถึง การที่มีแอตทริบิวต์บางแอตทริบิวต์ ที่ขึ้นอยู่กับเพียงบางส่วนของคีย์หลักเท่านั้น ตัวอย่างเช่น จากตารางในภาพข ้างล่าง แอตทริบิวต์ชื่อพนักงานจะขึ้นอยู่กับคีย์รหัสพนักงาน ในขณะที่แอตทริบิวต์ชื่อแผนก จะขึ้นอยู่กับคีย์รหัสแผนก จะเห็นว่า ข ้อมูลที่อยู่ในรีเลชันเดียวกัน แต่ไม่ได ้ขึ้นอยู่กับคีย์ใดคียหนึ่งทั้งหมด แต่จะขึ้นอยู่กับคีย์ใดคีย์หนึ่งเพียงบางส่วนเท่านั้น
4.
2.3) นิยามของนอร์มัลฟอร์มที่ 2 รีเลชันจะอยู่ในรูปของนอร์มัลฟอร์มที่2
ก็ต่อเมื่อมีคุณสมบัติตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้ 1. รีเลชันนั้นเป็นนอร์มัลฟอร์มที่1 อยู่แล ้ว 2. รีเลชันนั้นไม่มีพาร์เชียลดีเพนเดนซี ตัวอย่างรีเลชันพนักงานในแผนกในภาพข ้างบน เมื่อทาการแตกออกเป็นรีเลชันย่อยที่ไม่มีพาร์ เชียลดีเพนเดนซีแล ้ว จะได ้เป็นรีเลชันสองรีเลชัน คือ รีเลชันพนักงานและ รีเลชันแผนก ซึ่งอยู่ในรูปของนอร์มัลฟอร์มที่2 แล ้ว ดังภาพข ้างล่าง 3) การแปลงให้อยู่ในรูปนอร์มัลฟอร์มที่ 3 (Third Normal Form : 3NF) ในหนึ่งรีเลชันจะประกอบคีย์แอตทริบิวต์และนอนคีย์แอตทริบิวต์ คีย์แอตทริบิวต์จะต ้องเป็นตัว กาหนดความหมายหรือการมีอยู่ของแอตทริบิวต์อื่น ๆ ที่อยู่ในรีเลชันเสมอ 3.1) ทรานซิทีฟดีเพนเดนซี (Transitive Dependency)
5.
ทรานซิทีฟดีเพนเดนซี หมายถึง การที่มีฟังก์ชันนัลดีเพนเดนซี ระหว่างแอตทริบิวต์ที่ไม่ได
้เป็นส่วนของคีย์ใด ๆ แต่มีแอตทริบิวต์อื่น ๆ มาขึ้นกับแอตทริบิวต์นั้นตัวอย่างเช่น จากตารางในภาพข ้างล่าง แอตทริบิวต์ชื่อพนักงาน และรหัสตาแหน่งงานจะขึ้นอยู่กับคีย์รหัสพนักงาน ในขณะที่แอตทริบิวต์ค่าแรงต่อชั่วโมของพนักงาน จะขึ้นอยู่กับแอตทริบิวต์รหัสตาแหน่งงานซึ่ งไม่ใช่คีย์อีกต่อหนึ่งทาให้มีทรานซิทีฟดีเพนเดนซีเกิดขึ้นในรีเลชันนี้ 3.2) นิยามของนอร์มัลฟอร์มที่ 3 รีเลชันจะอยู่ในรูปของนอร์มัลฟอร์มที่3 ก็ต่อเมื่อมีคุณสมบัติตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้ 1. รีเลชันนั้นเป็นนอร์มัลฟอร์มที่2 อยู่แล ้ว 2. รีเลชันนั้นไม่มีทรานซิทีฟดีเพนเดนซี ตัวอย่างรีเลชัน การทางานของพนักงาน ในภาพข ้างบน เมื่อทาการแตกออกเป็นรีเลชันย่อยที่ไม่มีทรานซิทีฟดีเพนเดนซีแล ้ว จะได ้เป็ นรีเลชันสองรีเลชัน คือรีเลชันพนักงาน และรีเลชันตาแหน่งงาน ซึ่งอยู่ในรูปของนอร์มัลฟอร์มที่ 3 แล ้ว ดังภาพข ้างล่าง 4) การแปลงให้อยู่ในรูปบอยซ์คอดด์นอร์มัลฟอร์ม (Boyce-Codd Normal Form : BCNF) ในหนึ่งรีเลชันอาจจะประกอบด ้วยหลายแคนดิเดตคีย์ (Candidate Key) ทุกแอตทริบิวต์ในรีเลชันจะต ้องขึ้นอยู่กับแคนดิเดตคีย์เสมอ เราสามารถกาหนดนิยามข องรีเลชันที่อยู่ในรูปของบอยซ์คอดด์นอร์มัลฟอร์ม ก็ต่อเมื่อรีเลชันมีคุณสมบัติตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้ 1. รีเลชันนั้นเป็นนอร์มัลฟอร์มที่3 อยู่แล ้ว
6.
2. ทุกแอตทริบิวต์ในรีเลชันจะต ้องขึ้นกับแคนดิเดตคีย์ รีเลชันจะอยู่ในรูปบอยซ์คอดด์นอร์มัลฟอร์ม
ถ ้าทุกแอตทริบิวต์ขึ้นอยู่กับแคนดิเดตคีย์ (Cand idate Key) ดังนั้นถ ้าใน 1 รีเลชันมีแคนดิเดตคีย์เพียงตัวเดียวแล ้ว นอร์มัลฟอร์มที่3 และบอยซ์คอดด์นอร์มัลฟอร์ม จะเหมือนกัน โอกาสที่คุณสมบัติของบอยซ์คอดด์นอร์มัลฟอร์มจะถูกละเมิดนั้น เกิดขึ้นได ้น้อย และจะเกิดได ้กับรีเลชันที่มีแคนดิเดตคีย์มากกว่าหนึ่งเท่านั้น ดังตัวอย่างในภ าพข ้างล่าง รีเลชันการลงทะเบียนเรียน รีเลชันดังกล่าวอยู่ในรูปนอร์มัลฟอร์มที่3 แล ้ว แต่ก็ยังมีบางส่วนมีปัญหาอยู่ ตรงจุดที่แอตทริบิวต์รหัสวิชาเรียน และผลการเรียนขึ้นอยู่กับคีย์นักศึกษา และคีย์ผู้สอน แต่ในขณะเดียวกันรหัสผู้สอนก็ขึ้นอยู่กับรหัสวิชาเรียน ทาให้ถ ้าต ้องการเปลี่ยนแปลงผู้สอนใน วิชา 301 จะต ้องมีการเปลี่ยนแปลงถึง 2 ทัปเพิล ซึ่งผลลัพธ์ที่ได ้อาจจะทาให้เกิดความผิดพลาดหากทาการแก ้ไขไม่ครบถ ้วน และถ ้า นักศึกษารหัส 135 ถอนการลงทะเบียนวิชา 280 ข ้อมูลของผู้ที่สอนวิชานี้จะหายไปจากระบบเลย ถ ้าเราลบข ้อมูลนี้ เราสามารถทาการแตกตารางออกมาให้อยู่ในรูปของบอยซ์คอดด์นอร์มัลฟอร์มได ้ โดยการแยก แอตทริบิวต์รหัสวิชาเรียนและรหัสผู้สอนซึ่งขึ้นอยู่กับแอตทริบิวต์รหัสวิชาเรียน ออกมาเป็นอีกห นึ่งรีเลชัน และแยกแอตทริบิวต์ รหัสนักศึกษา รหัสผู้สอน และผลการเรียนออกมาเป็นอีกหนึ่งรีเลชัน ดังแสดงในภาพข ้างล่าง
7.
5) การแปลงให้อยู่ในรูปนอร์มัลฟอร์มที่ 4
(Fourth Normal Form : 4NF) ในขณะที่การทาให้อยู่ในรูปของนอร์มัลฟอร์มต่าง ๆ ที่ผ่านมา จะเกี่ยวข ้องกับการขึ้นตรงต่อกันของข ้อมูลในแต่ละแอตทริบิวต์หรือฟังก์ชันนัลดีเพนเดนซี แต่ การทาให้อยู่ในรูปของนอร์มัลฟอร์มที่ 4 จะเกี่ยวข ้องกับรูปแบบของการขึ้นตรงต่อกันของข ้อมูลในระดับที่ซับซ ้อนกว่า 5.1) มัลติแวลูดีเพนเดนซี (Multivalued Dependency) ถ ้าแต่ละแอตทริบิวต์ในหนึ่งรีเลชัน แบ่งออกเป็นกลุ่มของข ้อมูลอิสระ เช่นแอตทริบิวต์ X, Y และ Z แบ่งออกเป็นกลุ่มข ้อมูลของ X, Y และ Z ที่เป็นอิสระต่อกัน มัลติแวลลูดีเพนเดนซี X –>> Y หมายถึงว่าค่า X หนึ่งค่าสามารถที่จะบอกค่า Y ได ้หลาย ๆ (X Multi-Determinse Y) ไม่ว่า Z จะมีค่าเป็นอะไรก็ตาม โดยปกติ ถ ้า R ประกอบด ้วย Attribute X, Y และ Z (Z = R – {XY} ) ดังนั้น ถ ้า X –>> Y แล ้ว X –>> Z เสมอ สามารถเขียนใหม่เป็น X –>> Y | Z ถ ้า Y เป็นสับเซทของ X หรือ X ยูเนี่ยน Y = R แล ้ว เราเรียก X –>> Y ว่า ทริเวียลมัลติแวลูดีเพนเดนซี (Trivial Multivalued Dependency) ซึ่งจะต่างจากฟังก์ชันนัลดีเพนเดนซี X –> Y ที่ X จะสามารถบอกค่า Y ได ้แค่เพียงค่าเดียว ดังตัวอย่างภาพข ้างล่าง เนื่องจากแอตทริบิวต์ รหัสโครงการ รหัสบริษั ท และที่ตั้งโครงการล ้วนเป็นคีย์แอตทริบิวต์ ดังนั้นรีเลชันในภาพ จึงถือว่าอยู่ในรูป BCNF แล ้ว แต่ยังไม่อยู่ในรูปของ 4NF เนื่องจากรีเลชันดังกล่าวยังมีทริเวียลมัลติแวลูดีเพนเดนซีอยู่ในรีเลชัน ตัวอย่างเช่นรหัสโครง การA001 สามารถบอกค่าของรหัสบริษัทที่เป็นผู้รับผิดชอบได ้มากกว่าหนึ่งบริษัท คือ รหัสบริ ษัท B001 และ B002 ในขณะเดียวกันรหัสโครงการ A001 ก็บอกถึงที่ตั้งของโครงการสอ งแห่งคือ จันทบุรี และระยอง ซึ่งถ ้ามีการเพิ่มบริษัทที่รับผิดชอบโครงการเข ้าไปในโครงการ A001 อีกหนึ่งบริษัทก็จะต ้องมีการเพิ่มข ้อมูลถึงสองทัปเพิลเนื่องจากโครงการดังกล่าวมีที่ตั้งอยู่ถึงสอง แห่งคือ ระยอง และจันทบุรี ส่งผลให้เกิดความซ้าซ ้อนของข ้อมูลขึ้นในรีเลชันดังกล่าว และอาจจะเกิดความผิดพลาดในการเพิ่มข ้อมูลได ้
8.
เนื่องจากที่ตั้งโครงการไม่ได ้ขึ้นอยู่กับรหัสบริษัทที่เป็นผู้รับผิดชอบแต่ขึ้นอยู่กับรหัสโครงการ ดังนั้น ถ
้าหากมีการเพิ่มบริษัทผู้รับผิดชอบเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งบริษัท เราจาเป็นที่จะต ้องทาการเพิ่มข ้อมูลที่ตั้งโครงการเข ้าไปอีกสองแห่งด ้วยเสมอ ซึ่งเป็นผลจากค วามสัมพันธ์ในรูปแบบของ ทริเวียลมัลติแวลูดีเพนเดนซี นั่นเอง นอร์มัลฟอร์มที่4 5.2) นิยามของนอร์มัลฟอร์มที่ 4 รีเลชันจะอยู่ในรูปของนอร์มัลฟอร์มที่4 ก็ต่อเมื่อมีคุณสมบัติตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้ 1. รีเลชันนั้นเป็นบอยซ์คอดด์นอร์มัลฟอร์มอยู่แล ้ว 2. รีเลชันนั้นไม่มีทริเวียลมัลติแวลูดีเพนเดนซี จากรีเลชันในภาพข ้างบน เราสามารถขจัดทริเวียลมัลติแวลูดีเพนเดนซี โดยการแตกรีเลชันดังกล่าวออกเป็นรีเลชันย่อย 2 รีเลชัน ซึ่งจะทาให้ทั้งสองรีเลชันอยู่ในรู ปของนอร์มัลฟอร์มที่4 ดังภาพข ้างล่าง 6) การแปลงให้อยู่ในรูปนอร์มัลฟอร์มที่ 5 (Fifth Normal Form : 5NF) การแปลงให้อยู่ในรูปของนอร์มัลฟอร์มที่ 5 จะพิจารณาถึงการขึ้นต่อกันของข ้อมูลในการแยกข ้อมูลในรีเลชันออกเป็นรีเลชันย่อย และประก อบรีเลชันย่อยกลับเป็นรีเลชันใหญ่เช่นเดิม
9.
ซึ่งเป็นการตรวจสอบว่าเมื่อรวมกันใหม่ด ้วยวิธีการจอยน์แล ้ว
จะได ้รีเลชันกลับมาเหมือนเดิมทุก ประการหรือไม่ 6.1) จอยน์โอเปอรชัน (Join Operation) ถ ้ามี R1(X,Y) และ R2(Y,Z) R1 JOIN R2 = R3(X, Y, Z) โดยที่ t(x, y, z) อยู่ใน R3 ก็ต่อเมื่อมี t1(x,y) อยู่ใน R1 และ t2(y,z) อยู่ใน R2 6.2) จอยน์ดีเพนเดนซี (Join Dependency) ในการแยกรีเลชันออกเป็นส่วนย่อย (Decomposition) R1, R2, R3, Rn มีคุณสมบัติจอยน์ดีเพนเดนซีก็ต่อเมื่อ R1 JOIN R2 JOIN R3 … JOIN Rn = R นั่นคือเมื่อเอารีเลชันย่อยมารวมกันก็ต ้องได ้รีเลชันเดิม ที่ไม่มีข ้อมูลสูญหาย และไม่มีทัปเพิลที่เกินมา ที่เรียกว่า สพิวเรียสทัปเพิล (Spurious Tuple) 6.3) นิยามของ 5NF รีเลชันจะเป็น 5NF ถ ้า 1. รีเลชันนั้นเป็นนอร์มัลฟอร์มที่4 อยู่แล ้ว 2. การแบ่งแยกรีเลชันมีคุณสมบัติจอยน์ดีเพนเดนซี รีเลชัน วิชาเรียนประจาภาคอยู่ในรูปของนอร์มัลฟอร์มที่4 แล ้ว เนื่องจากแอตทริบิวต์ภาคการศึกษาเป็นตัวกาหนดแอตทริบิวต์รหัสวิชาหลาย ค่าในขณะที่แอต ทริบิวต์รหัสวิชา ก็เป็นตัวกาหนดแอตทริบิวต์รหัสชั้นเรียนหลายค่า รีเลชันนี้จึงไม่มีทริเวียลมัล ติแวลูดีเพนเดนซี ต่อไปเราจึงทาการทดสอบคุณสมบัตินอร์มัลฟอร์มที่ 5 ของรีเลชันวิชาเรียนประจาภาค โดยเมื่อนารีเลชันดังกล่าวมาทาการแตกย่อยออกเป็นสามรีเลชันคือ รีเลชันภาคการศึกษา รีเลชันวิชาเรียนของชั้นเรียน และ รีเลชันชั้นเรียนประจาภาค และทาการจอยน์ทั้งสามรีเลชันรวมกลับเป็นหนึ่งรีเลชันอีกครั้ง จะไ ด ้จานวนข ้อมูลเท่ากันกับรีเลชันก่อนที่จะมีแตกเป็นรีเลชันย่อยทุกประการ ซึ่งก็คือรีเลชันดังก ล่าวมีคุณสมบัติจอยน์ดีเพนเดนซีและอยู่ในรูปของนอร์มัลฟอร์มที่5 แล ้ว
10.
รายชื่อกลุ่ม นาย พินพันธ์ คาอินทร์
ม.5/3 เลขที่1 นาย เจษฎากร เพาพันธุ์ ม.5/3 เลขที่3 นาย ณัฐวุฒิ จบไพร ม.5/3 เลขที่5 นาย วิสุทธิ์ สาวงศ์ ม.5/3 เลขที8 นาย ธนภัทร เชื้อหนองปรง ม.5/3 เลขที่ 9
Download