ݺߣ

ݺߣShare a Scribd company logo
บทที 6
การรักษาดุลยภาพ
   ในร่ างกาย
• 6.2 ระบบขับถ่ ายกับการรักษาดุลยภาพของร่ างกาย

   - 6.2.1 การขับถ่ ายของสิ งมีชีวต๶ซลล์ เดียว
                                  ิ
   - 6.2.2 การขับถ่ ายของสั ตว์
   - 6.2.3 การขับถ่ ายของคน
ระบบขับถ่ ายกับการรักษาดุลยภาพของ
               ร่ างกาย
Excretory System

• หมายถึง การกําจัดของเสี ยซึงเกิดจาก metabolism
  ภายในร่ างกายสิ งมีชีวต ร่ างกายนําไปใช้ ประโยชน์ ไม่ ได้ เก็บไว้
                          ิ
  ไม่ ได้ เพราะเป็ นอันตรายต่ อ๶ซลล์ ของร่ างกาย จําเป็ นต้ อง
  กําจัดออก เช่ น ยูเรีย แอมโมเนีย กรดยูริก
ประเภทของเสี ยในร่ างกาย
1) CO2ได้ จากการหายใจระดับ๶ซลล์ โดยการสลายคาร์ โบไฮเดรต
2) คีโตนบอดี(Ketone Body) ได้ จากการสลายสารอาหารพวกไขมัน
3) สารทีเกียวข้ องกับการย่ อยอาหารบางชนิด เช่ น นําดี(Bile)
                                                      5
4) นําทีมากเกินพอ (นําไม่ จัดเป็ นผลิตผลทีเป็ นของเสี ยแต่ เนืองมาจากพืช
     5                    5
       และสั ตว์ จะต้ องรักษาสมดุลของนํา จึงต้ องกําจัดส่ วนเกินออกไป)
                                       5
5) ของเสี ยทีมีธาตุไนโตรเจนเป็ นองค์ ประกอบ (Nitrogenous Waste)
       หรือกากเหลือจากกรดอะมิโน
การขับถ่ ายของสิ งมีชีวต
                       ิ
      ๶ซลล์ เดียว
Protozoa

• Amoeba , Paramecium
  – มีโครงสร้ าง contractile vacuole
  – ขยายขนาดได้ เพราะได้ รับสารส่ วนใหญ่ เป็ นนําทีมีของเสี ยปนอยู่
                                                5
    และจะแฟบลงได้ จากการปล่ อยสิ งต่ างๆ ออกจาก๶ซลล์
  – ของเสี ยถูกกําจัดโดยการแพร่
Contractile vacuole
Contractile vacuole
Contractile vacuole
การขับถ่ ายของสั ตว์
Hydra

• การกําจัดของเสี ยเกิดขึนโดยการแพร่ ผ่านเยือหุ้ม๶ซลล์ ออกมา
                         5
  เช่ นเดียวกับในพวกโพรโทซัว
• ของเสี ยทีแพร่ ผ่านออกมาอาจผ่ านออกมาทางเนือเยือชั5นนอก
                                                 5
  หรือผ่ านออกมาทางช่ องว่ างกลางลําตัว
  (Gastrovascular Cavity)
๶ซลล์
การขับถ่ ายของหนอนตัวแบน
• เช่ น พยาธิใบไม้ พลานาเรีย
• โครงสร้ างทีทําหน้ าทีในการกําจัดของเสี ยคือ เฟลม๶ซลล์ (Flame Cell)
  กระจายอยู่ท5งสองข้ าง ตลอดตามความยาวของลําตัว
               ั
• ภายในเฟลม๶ซลล์ เป็ นโพรงและมีซิเลีย (Cilia) ซึงเป็ นขนเส้ นเล็กๆ โบกพัด
  ของเหลวในเฟลม๶ซลล์ให้ ออกสู่ ท่อขับถ่ าย (Excretory Pore) ทีผนัง
  ลําตัว
• การโบกพัดของซิเลียในเฟลม๶ซลล์ มีลกษณะคล้ ายเปลวเทียน (Flame) เมือ
                                       ั
  ของเหลวไหลออกจากเฟลม๶ซลล์
• พวกแอมโมเนีย จะถูกกําจัดออกนอกร่ างกายโดยการแพร่ ผ่านทางผิวหนัง
Flame Cell
การขับถ่ ายของ Annelida
• ได้ แก่ ไส้ เดือนดิน ตัวอ่ อนของแมลงต่ างๆ หรือสั ตว์ จําพวกมอลลัสก์
• พวกมอลลัสก์ จะมีส่วนทีเรียกว่ า โปรโทเนฟริเดียม ของเสี ยในรู ปของเหลว จะ
  ไหลเข้ าไปในท่ อกลวงของเฟลม๶ซลล์ ซึงมีขนเส้ นเล็กๆ คล้ ายซีเลีย
• ไส้ เดือนดิน มีอวัยวะขับถ่ าย คือ เนฟริเดียม (Nephridium) มีลกษณะเป็ น
                                                                       ั
  ท่ อปลายเปิ ด ปลายด้ านหนึงเปิ ดออกทีข้ างลําตัว อีกข้ างหนึงอยู่ในโพรงระหว่ าง
  ลําตัวกับลําไส้
• การยืดหดของกล้ ามเนือผนังลําตัว และการโบกของซีเลีย
                            5                                         ทําให้
  ของเหลวถูกขับออกนอกลําตัว
• เนฟริเดียม 1 คู่ ของไส้ เดือนดินแบ่ งออกเป็ น 3 ส่ วน คือ
  1) Nephrostome ลักษณะคล้ ายปากแตร ภายในปากแตร
  แต่ ละท่ อมีซิเลียโบกพัดของเสี ยพวกแอมโมเนียและยูเรีย ทีอยู่ใน
  ช่ องว่ างของลําตัวเข้ าสู่ ปากแตร
  2) Nephridial Tubule เป็ นท่ อขดพองออกคล้ ายถุง
  เป็ นทีพักของของเหลว เรียกส่ วนทีพองออกนีว่า Bladder
                                                 5
  3) Nephridiopore ช่ องเปิ ดของท่ อขับถ่ าย อยู่ทผิวหนัง   ี
๶ซลล์
๶ซลล์
๶ซลล์
การขับถ่ ายของ Arthropoda
• เช่ น แมลง
• ขับถ่ ายของเสี ยทางท่ อมัลพิเกียน (Malpighian tubule)
  ของเสี ยจากเลือดของแมลงจะซึมเข้ าไปในท่ อมัลพิเกียน แล้ วถูก
  เปลียนเป็ นกรดยูริก มีสภาพเป็ นสารกึงแข็งทีไม่ ละลายนํา ถูกขับ   5
  ออกนอกร่ างกายทางทวารหนัก
         - การเปลียนไนโตรเจนเป็ นกรดยูริก เกิดผลดี คือ
  1. ช่ วยประหยัดนําในร่ างกาย
                     5
  2. ปองกันไม่ ให้ สารทีเป็ นพิษต่ อร่ างกายแพร่ เข้ าสู่ ๶ซลล์ อน ๆ
       ้                                                         ื
๶ซลล์
๶ซลล์
การขับถ่ ายของกุ้ง
• ขับถ่ ายโดยใช้ ต่อมเขียว (green gland) เป็ นต่ อมคู่สีเขียวอมดํา          อยู่
  บริเวณส่ วนหัวเหนือปาก ในช่ องมีของเหลวบรรจุอยู่เต็ม แบ่ งออกเป็ น 3 ส่ วน
   – ส่ วนแรก เป็ นถุง (cortex) ทําหน้ าที แยกและกรองของเสี ย           พวก
      แอมโมเนียออกจากเลือดของกุ้ง
   – ส่ วนทีสอง เป็ นท่ อนําของเสี ย
   – ส่ วนทีสาม กระเพาะพัก (bladder)
          ของเสี ยที ขับออกทางช่ องเปิ ดบริเวณโคนหนวด และสามารถขับถ่ าย
      แอมโมเนียและยูเรียทางเหงือกทีสั มผัสกับนําตลอดเวลา ต่ อมสร้ างนําย่ อย
                                                 5                    5
      (hepatopancreas) สี เหลืองแกมแดง ในช่ องอกช่ วยในการขับถ่ าย
๶ซลล์
การขับถ่ ายของสั ตว์ เลือยคลาน
                              5
• สั ตว์ เลือยคลานทีอยู่แถบทะเลทราย กําจัดของเสี ยในรู ปของกรดยูริก
             5
  เป็ นวิธีการทีทําให้ ร่างกายสู ญเสี ยนําน้ อยมาก
                                         5
• โครงสร้ างของโกลเมอรู ลสของสั ตว์ เลือยคลานมีขนาดเล็กมาก ทําให้ นํา
                                ั            5                             5
  ทีกรองผ่ านออกมามีปริมาณน้ อย
• กรดยูริก เคลือนเข้ าไปอยู่ในโคลเอกา (Cloaca) จะถูกดูดนํากลับคืน      5
  เข้ าสู่ ร่างกาย ทําให้ กรดยูริกมีความเข้ มข้ นสู ง เมือถูกกําจัด ออกนอก
  ร่ างกายจะมีลกษณะสี ขาวคล้ ายแปง
                   ั                   ้
๶ซลล์
๶ซลล์
การขับถ่ ายของสั ตว์ มปีก
                           ี

• นกหรือสั ตว์ ปีกขับถ่ ายของเสี ย
  ออกมาในรู ปของกรดยูริก
• นําปัสสาวะของนกมีกรดยูริกสู งกว่ า
    5
  ในเลือด 3,000 เท่ า
Bird
Invertebrate
Mollusca
Vertebrate Kidneys
Starfish
๶ซลล์
๶ซลล์
การขับถ่ ายของคน
อวัยวะในการใช้ ขบถ่ ายของคน
                    ั
- ไต(kidney) ทําหน้ าทีขับถ่ ายปัสสาวะ ของเสี ยพวกยูเรียและ เกลือ
  แร่ ทีเกินความต้ องการออกจากร่ างกาย
- ผิวหนัง(skin) ผิวหนังทําหน้ าทีขับเหงือ การขับเหงือช่ วยรักษาระดับ
  อุณหภูมิของร่ างกายให้ อยู่ในสภาพปกติด้วย
- ปอด(lung) ขับถ่ ายก๊ าซ CO2 โดยระบบหายใจ
- ตับ(liver) ทําหน้ าทีเปลียนสารซึงเกิดจากเมแทบอลิซึมของโปรตีน
  คือ แอมโมเนีย (NH3) เป็ นยูเรีย ขับถ่ ายออกทางไต
- ลําไส้ ใหญ่ (large intestine) ขับอุจจาระ ออกทางทวารหนัก
๶ซลล์
ระบบขับถ่ ายปัสสาวะ (THE URINARY SYSTEM)

ระบบขับถ่ ายปัสสาวะของคนประกอบด้ วยอวัยวะต่ างๆ ดังนี5
• 1.ไต (kidney) กรองนํา – ของเสี ยออกจากร่ างกาย
                         5
• 2.ท่ อไต (ureter) นํานําปัสสาวะจากไตไปยังกระเพาะปัสสาวะ
                           5
• 3.กระเพาะปัสสาวะ (urinary bladder) เก็บนําปัสสาวะ    5
  ชัวคราว-->บีบตัวสู่ urethra
• 4.ท่ อปัสสาวะ (urethra) ผ่ านทางนําปัสสาวะสู่ ภายนอกร่ างกาย
                                    5
ไต (kidney)
• เป็ นอวัยวะคู่ อยู่ด้านท้ ายของช่ องท้ องสองข้ างระดับเอว คล้ าย เมล็ดถัว
  ยาวประมาณ 10-13 cm กว้ าง 6 cm และหนา 3 cm
• ไตทั5งสองข้ างหนัก 300 กรัม หรือประมาณ 0.4% ของนําหนักตัว 5
• ภายในไตมีหน่ วยทีทําหน้ าทีในการกรองหรือเนฟรอน (nephron)
• ไตแต่ ละข้ างมี nephron ประมาณ 1.0 - 1.25 ล้ านหน่ วย
• nephron ของคนแต่ ละคนจะมีจานวนคงที โดยสร้ างมาตั5งแต่ เกิด แล้ ว
                                      ํ
  ไม่ สามารถเพิมขึนได้ อก
                      5     ี
๶ซลล์
๶ซลล์
โครงสร้างของไต
 • 1. รีนัลแคปซู ล (renal medulla) คือ ส่ วนที อยู่นอก
   สุ ด เป็ นเนือเยือเกียวพันทีหุ้มอยู่รอบๆ ไต
                5
 • 2. รีนัลคอร์ เทกซ์ (renal cortex) หรือเนือไตส่ วน5
   นอก สี แดง มีลกษณะเป็ นจุดๆ สี แดงๆ แต่ ละจุดคือ หน่ วยทีทํา
                     ั
   หน้ าทีในการกรองหรือ nephron
 • nephron ประกอบด้ วย
    – โกลเมอรู ลส (glomerulus)
                ั
    – โบว์ แมนแคปซูล (bowman’s capsule)
    – หลอดไตส่ วนต้ น (proximal tublue)
    – หลอดไตส่ วนปลาย (distal tubule)
• 3. รีนัลเมดัลลา (renal medulla) สี จางกว่ าเนือไต ส่ วนนอก
                                                          5
  ลักษณะเป็ นเส้ นๆ คล้ ายพีระมิด เรียกว่ า เมดัลลารี พีระมิด (medullary
  pyramid) ประกอบด้ วยหลอดไตร่ วม(collecting tubule) และห่ วง
  เฮนเล (loop of Henle)
• มีช่องเล็กๆ (papilla) ยืนจดกับกิงกรวยไตหรือแคลิกซ์ (calyx) รองรับ
  ปัสสาวะทีไหลมาจากหลอดไตร่ วม
• 4. กรวยไต (pelvis) เป็ นส่ วนทีอยู่ตรงส่ วนเว้ าของไต เป็ นทีรวม
  ของนําปัสสาวะทีมาจากแคลิกซ์ เป็ นส่ วนทีต่ อกับท่ อไต
         5
• 5. เนฟรอน (nephron) ทําหน้ าที กรอง               เนฟรอนแต่ ละ
  หน่ วยประกอบด้ วย
      1. รีนัลคอร์ พสเคิล (renal corpuscle) เป็ นส่ วนของ
                     ั
      หลอดไตทีปลายตัน เป็ นเยือบางๆ พองออกเป็ นรู ปกลมๆ มีรอยบุ๋ม
      ตรงกลาง เรียกว่ าโบว์ แมนแคปซู ล (Bowman’s capsule)
      ภายในรอยบุ๋มของโบว์ แมนแคปซู ล มีกลุ่มของเส้ นเลือดฝอยซึง
      เรียกว่ า โกลเมอรู ลส (glomerulus)
                          ั
        • รีนัลคอร์ พสเคิล พบเฉพาะ ส่ วนของเนือไตส่ วนนอก (renal
                       ั                      5
          cortex) เท่ านั5น
2. รีนัลทิวบูล (renal tubule) ต่ อจากโบว์ แมนแคปซู ล แบ่ งเป็ น
   4 ส่ วน คือ
   2.1 หลอดไตส่ วนต้ น (proximal tubule)                           ต่ อ
   จากโบว์ แมนแคปซู ล ขดไปขดมา ภายในมี ไมโครวิลไล
   (microvilli)มากเพือเพิมพืนทีในการดูดสารต่ างๆ กลับสู่ กระแสเลือด
                            5
• ๶ซลล์ มีไมโทคอนเดรียมาก เนืองจาก มีการดูดสารกลับเป็ นแบบ active
   transport เป็ นส่ วนใหญ่ หลอดไตส่ วนต้ นมีเส้ นผ่ านศู นย์ กลาง
   ประมาณ 50 - 65 ไมคอน
• 2.2 ห่ วงเฮนเล (loop of Henle) ต่ อจากหลอดไตส่ วนต้ น โดยโค้ งลงสู่
  เนือไตส่ วนใน (renal medulla) แล้ วโค้ งขึนเป็ นรู ปตัวยู ๶ซลล์ บริเวณนีมีไม
     5                                      5                               5
  โครวิลไลและไมโทรคอนเดรียเล็กน้ อย           มีเส้ นผ่ านศูนย์ กลางประมาณ 14 -
  22 ไมครอน
• 2.3 หลอดไตส่ วนท้ าย (distal tubule) ต่ อจากห่ วงเฮนเลขึนมา        5
  ลักษณะขดไปขดมาคล้ ายหลอดไตส่ วนต้ นแต่ ขดน้ อยกว่ า             ๶ซลล์ มีไมโค
  รวิลไลเล็กน้ อยแต่ มีไมโทรคอนเดรียมาก
• 2.4 หลอดไตร่ วม (collecting tubule) ต่ อจากหลอดไตส่ วนท้ ายเปิ ด
  รวมกันกับท่ อไตร่ วมของเนฟรอนอืนๆ เพือนํานําปัสสาวะทีกรองได้ ส่ งเข้ าสู่
                                               5
  กรวยไตและท่ อไต
๶ซลล์
๶ซลล์
๶ซลล์
๶ซลล์
๶ซลล์
๶ซลล์
๶ซลล์
ท่อไต (ureter)
• ต่ อจากกรวยไต (renal pelvis) ไปสิ5นสุ ดทีกระเพาะปัสสาวะ (urinary
  bladder) ผนังเป็ นกล้ ามเนือเรียบและจะหดตัวแบบ peritalsis ประมาณ
                                   5
  5-6 ครั5งต่ อชัวโมง ไล่ให้ ปัสสาวะเคลือนลงสู่ กระเพาะปัสสาวะ
• ท่ อไตยาวประมาณ 28-35 เซนติเมตร กว้ าง 1-19 มิลลิเมตร ผนัง 3 ชั5น
   – ชั5นในสุ ด เรียกว่ า มูคอซา (mucosa)
   – ชั5นกลางเป็ นกล้ ามเนือ (muscular layer)
                             5
   – ชั5นนอกเป็ นเยือเกียวพันให้ ความแข็งแรงแก่ ท่อไต
๶ซลล์
กระเพาะปัสสาวะ (urinary bladder)

• อยู่ในช่ องอุ้งเชิงกรานด้ านหลังกระดูกหัวหน่ าว มีลกษณะเป็ นถุง
                                                     ั
  กลวงยืดหยุ่นได้ ผนังของกระเพาะปัสสาวะมีกล้ ามเนือเรียบ 3 ชั5น ที
                                                       5
  คอของกระเพาะจะมีกล้ ามเนือหูรูดทวารเบามัดใน (internal
                                5
  sphincter muscle) ซึงเป็ นกล้ ามเนือลาย  5
• ทําหน้ าทีเป็ นทีเก็บสะสมนําปัสสาวะและขับถ่ ายเมือเวลาเหมาะสม
                              5
๶ซลล์
ท่ อปัสสาวะ (urethra)
• เป็ นส่ วนสุ ดท้ ายของทางเดินปัสสาวะ
• ในผู้ชายมีท่อปัสสาวะยาวประมาณ 8 นิวส่ วนใหญ่ ผู้หญิงจะมีท่อ
                                           5
  ปัสสาวะยาว 1.5 นิว   5
• ผู้ชายท่ อปัสสาวะของจะเปิ ดเข้ าสู่ อวัยวะสั งวาส (penis) เป็ น
  ทางผ่ านของสเปิ ร์ ม (sperm)
• ผู้หญิงท่ อปัสสาวะไม่ ได้ ผ่านคลิสทอริส (clitoris) และ
  ไม่ ได้ รวมกับช่ องคลอด (vagina) แต่ จะเปิ ดออกสู่ ภายนอก
  โดยตรง
การขับถ่ ายปัสสาวะประกอบด้ วย
1. จํานวนปัสสาวะ หากปัสสาวะเพิมมากขึนตั5งแต่ 150 - 400 ลบ.ซม.
                                        5
ทําให้ ผนังกระเพาะปัสสาวะตึงขึน 5
2. เกิดรีเฟลกซ์ การถ่ ายปัสสาวะเนืองจากการตึงของผนังกระเพาะปัสสาวะมี
ผลทําให้ เกิดกระแสประสาทส่ งไปยังไขสั นหลังและสมองแล้ วส่ งกระแส
ประสาทกลับมากระตุ้นให้ กล้ ามเนือเรียบทีผนังกระเพาะปัสสาวะบีบตัว
                                  5
3. ยิงความดันกระเพาะปัสสาวะมาก ยิงทําให้ เกิดการอยากถ่ ายปัสสาวะมากขึน
                                                                     5
มีผลในการกระตุ้นให้ สมองส่ งกระแสประสาทมายังกล้ ามเนือหูรูดมัดนอกของ
                                                       5
กระเพาะปัสสาวะให้ คลายตัวและเกิดการถ่ ายปัสสาวะขึน 5
เส้นเลือดทีไต
• รีนัลอาร์ เทอรี (renal artery) เป็ นเส้ นเลือดแดงทีนําเลือด เข้ าสู่ ไต
  บริเวณรอยบุ๋มตอนกลางไต
• อินเตอร์ โลบาร์ อาร์ เทอรี (interlobar artery) เส้ นเลือดแตก
  แขนงออกจากรีนัลอาร์ เทอรีแทรกเข้ าไปในเนือไตส่ วนใน
                                            5
• อาร์ ควเอตอาร์ เทอรี (arcute artery) เส้ นนีจะมีเส้ นเลือดทอดโค้ ง
         ิ                                           5
  อยู่ระหว่ างเนือไตส่ วนนอกและเนือไตส่ วนใน
                 5                5
• เส้ นเลือดแตกแขนงจากอาร์ ควเอตอาร์ เทอรี ในแนวตั5งฉาก เรียกว่ า แอฟเฟอร์
                                ิ
  เรนต์ อาร์ เทอริโอล (afferent arteriole) และ
      โกลเมอรู ลส  ั
• จากโกลเมอรู ลส จะมีการรวมกันของเส้ นเลือดฝอยเป็ น เส้ น
                 ั
  เลือดทีออกจากโบว์ แมนแคปซู ล เรียกว่ า เอฟเฟอเรนต์ อาร์ เทอริ
  โอล (efferent arteriole)
• เอฟเฟอเรนต์ อาร์ เทอริโอล จะแตกแขนงเป็ นกลุ่มเส้ นเลือดฝอยอีก
  และกลุ่มเส้ นเลือดฝอยนีจะพันเป็ นตาข่ ายอยู่รอบๆ ท่ อหน่ วยไต
                          5
  (renal tubule) แล้ วจึงรวมกันเป็ นเส้ นเลือดดําและออก
  จากไตทางเส้ นเลือดดํา รีนัล เวน (renal vein)
หน้าทีของไต
• ขับถ่ ายของเสี ย เช่ น ยูเรีย
• เก็บสารบางอย่ างทีเป็ นประโยชน์ ต่อร่ างกาย เช่ น กลูโคส กรดอะมิโน
  โดยการดูดกลับ
• ควบคุมสมดุลนําของร่ างกาย โดยการดูดนํากลับทีหลอดไต ทําให้
                   5                        5
  ปัสสาวะข้ นขึน5
• ควบคลุมความเป็ นกรด-เบสของเหลวในร่ างกาย โดยการขับไฮโดรเจน
  ไอออน (H+-)เข้ าสู่ หลอดไต และดูดไฮโดรเจนคาร์ บอเนตไอออน
  (HCO      -) กลับสู่ เลือด
• สร้ างสารบางชนิดทีเป็ นประโยชน์ ต่อร่ างกาย เช่ น ฮอร์ โมนชนิดต่ างๆ
๶ซลล์
กระบวนการทํางานของไตในการทําให้ เกิดนําปัสสาวะ
                                       5

กระบวนการพืนฐานทีสํ าคัญ 3 ขั5นตอน คือ
           5
• 1) Ultrafiltration
• 2) Tubular secretion
• 3) Tubular reabsorption
1. Ultrafiltration (การกรอง)
• ทําให้ เกิดปัสสาวะขึนที glomerulusโดยกรองเอาพลาสมา
                      5
  พลาสมาจะถูกกรองหมด ยกเว้ น โปรตีนและเม็ดเลือดจาก
  glomerulus ลงไปยัง Bowman's capsule ของเหลวไหลผ่ านไป
  ท่ อไตส่ วนต่ างๆ ขณะทีผ่ านไปในท่ อไตของเหลวทีถูกกรองมาจาก
  glomerulus ซึงเรี ยกว่ า filtrate จะถูกทําให้ องค์ ประกอบ
  เปลียนแปลงไปโดยกระบวนการอีก 2 อย่ าง คือการดูดกลับและ การขับ
  ออกของสารบางอย่ างโดยท่ อไต
2. Tubular secretion (การขับออก)
• คือ การขนถ่ ายสารจากเลือด เข้ าไปยังท่ อไต
• กระบวนการนีเ5 ป็ น selective process หมายความว่ า ไม่ ใช่
  สารทุกตัวในเลือดจะถูกขับออกมาในท่ อไตหมด จะมีเฉพาะบางตัว
  เท่ านั5น เช่ น PAH ( p-aminohippuric acid ) และ H+ เป็ น
  ต้ น
3. Tubular reabsorption (การดูด
               กลับ)
• คือ สารบางตัวทีเป็ นประโยชน์ จะถูกดูดกลับจากท่ อไตกลับ เข้ าเส้ น
  เลือด เช่ น glucose และ Na+ เป็ นต้ น
• ในคน วันๆ หนึงพลาสมาจะถูกกรองที glomerulus ประมาณ 180
  ลิตร แต่ ปัสสาวะทีถูกขับออกมาปกติเพียง 1.5 - 2 ลิตรต่ อวัน
• การดูดกลับของพลาสมาทีถูกกรองมาในขั5นแรกมากถึง 99 %
ไตกับการรักษาสมดุล
1. Antidiuretic hormone : ADH
• ผลิตจากต่ อมใต้ สมองส่ วนหลัง
• เมือร่ างกายขาดนํา แรงดันออสโมติกในเลือดสู ง คือนําในเลือดตํา ต่ อมใต้
                   5                                5
  สมอง hypothalamus หลัง ADH เข้ าสู่ กระแสเลือด
• กระตุ้นหน่ วยไตและท่ อรวมดูดนํากลับคืนสู่ หลอดเลือดปริมาณนําในเลือดสู งขึน
                                5                              5           5
• กรณีทเกิดภาวะขาดนําhypothalamus กระตุ้นให้ ร่างกายกระหายนํา
          ี            5                                                 5
• เมือดืมนํา แรงดันออสโมติกในเลือดจะตําลง สู่ ภาวะปกติ
            5
2. Aldosterone
• ผลิตจากต่ อมหมวกไต
• ทําหน้ าที ควบคุมสมดุลนําและแร่ ธาตุ
                          5
  หรือการดูดกลับของโซเดียมและกลูโคส
๶ซลล์
การดูดกลับของสารทีไตอาศัย 2 กระบวนการ คือ
• ACTIVE TRANSPORT
  – การดูดกลับของสารทีมีความจําเป็ นต่ อร่ างกาย เช่ น กลูโคส
    วิตามิน กรดอะมิโน ฮอร์ โมน และไอออนต่ างๆ

• OSMOSIS
  – เป็ นการดูดกลับของนํา
                        5
๶ซลล์
ความผิึϸกติท๶กิึϸับไต
                   ี
• โรคนิว
   – อาจเกียวข้ องกับกรรมพันธุ์สาเหตุทแท้ จริงยังไม่ ทราบแน่ นอน
                                      ี
   – อาการ ปวดท้ อง ปวดหลัง ปัสสาวะขัด ปัสสาวะเป็ นเลือด
     ปัสสาวะทีมีก้อนนิวหลุดออกมาเหมือนเศษทรายเล็กๆ
   – โรคแทรกซ้ อน เช่ น กรวยไตอักเสบจากการติดเชื5อ ท่ อไต หรือท่ อ
     ปัสสาวะอุดตันจากนิว อุดตันนานๆ ทําให้ เกิดไตวายได้
• ภาวะไตวาย
   – สาเหตุโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสู ง ต้ องรักษาโดยการล้ าง
     ไต หรือผ่ าตัดเปลียนไต หากรักษาโรคทั5งสองนีได้ กจะทําให้ โรคไต
                                                5 ็
     ทีเกิดขึนทุเลา หรือชะลอการเปลียนแปลงได้
             5
   – โรคไตอักเสบ ซึงจะทําให้ เกิดการทําลายของหน่ วยกรองไต บาง
     รายไม่ ทราบสาเหตุ บางรายถ่ ายทอดทางพันธุกรรม และบางรายมี
     การติดเชื5อเป็ นสาเหตุเสริม
การรักษาอุณหภูมภายในร่ างกาย
                        ิ
1. โครงสร้ างของร่ างกาย เช่ น สั ตว์ ในเขตหนาวมีขนยาว
2. กลไกทางสรีรวิทยา HYPOTHALAMUS ไวต่ ออากาศหนาว เช่ น
• ทําให้ เส้ นเลือดทีนําเลือดมาเลียงผิวหนังหดตัว ทําให้ เลือดทีมาเลียงผิวหนังลด
                                   5                                5
    ปริมาณลง ร่ างกายจะสู ญเสี ยความร้ อนน้ อยลง
• กระตุ้นเส้ นประสาทควบคุมการหดตัวของกล้ ามเนือโคนขน ทําให้ ขนลุกชัน
                                                     5
    และกล้ ามเนือให้ หดตัวจนเกิดอาการสั น
                 5
• กระตุ้นให้ ต่อมไร้ ท่อหลังฮอร์ โมน กระตุ้นปฏิกริยาการสลายอาหารให้ ปล่ อย
                                                  ิ
    พลังงานออกมาเพิม เพือชดเชยความร้ อนทีร่ างกายสู ญเสี ยไป
การปรับพฤติกรรม
• สุ นัข จะระบายความร้ อนทางลินและเพดานปาก เรียกว่ า หอบ
                               5
• แมว ระบายความร้ อนโดยการเลียอุ้งเท้ า
• ควาย นอนแช่ ปลักโคลนเพือระบายความร้ อนไปสู่ นํา  5
• การจําศีลของกบ คือ การอยู่นิงๆไม่ เคลือนไหว มีอตราเมแทบอลิ
                                                 ั
  ซึมตํา
• การหนีหนาวของ หนู กระรอก และค้ างคาวบางชนิด คือ การนิงๆ
  ไม่ เคลือนไหว
การรักษาสมดุลของกรด-เบสในร่ างกาย
• รักษาสมดุลของกรด-เบสมีอยู่ 3 แบบ คือ
  1. ระบบหายใจ โดยการควบคุมปริมาณ CO2 ของสมองส่ วน
  MEDULLA OBLONGATA

  2. ระบบบัฟเฟอร์ เลือดจะมี pH อยู่ระหว่ าง 7.35 – 7.45
  3. ระบบขับถ่ าย โดยการขับออกทางปัสสาวะมีประสิ ทธิภาพในการ
  รักษาสมดุลสู ง แต่ ทางานได้ ช้ากว่ าระบบอืนๆ
                      ํ
การรักษาสมดุลของแร่ ธาตุ
ปลานําจืด เลือดทีเข้ มข้ นกว่ านําทีอยู่รอบตัว
     5                           5                ลําตัวปลาจะถูกปก
  คลุมด้ วยหนังและเกล็ด
• ปลานําจืดกินเฉพาะอาหารเท่ านั5น ไม่ ยอมกินนําเลย
         5                                     5
• เหงือกปลานําจืดมีกลุ่ม๶ซลล์ พเิ ศษคอยดูดซึมเกลือแร่ ชนิดต่ างทีจําเป็ น
              5
  โดยกระบวนการแอกทีฟทรานสปอร์ ต
• ขับถ่ ายปัสสาวะบ่ อย และค่ อนข้ างเจือจาง
ปลาทะเล
ปลากระดูกแข็ง เช่ น ปลาอินทรี
• เลือดมีความ เข้ มข้ นน้ อยกว่ านําทะเลทีอยู่รอบตัว
                                   5
• ร่ างกายจะมีผวหนังและเกล็ดเป็ นตัวปองกันไม่ ใช้ แร่ ธาตุจากนําทะเล
                    ิ                   ้                      5
  ซึมผ่ านเข้ าสู่ ร่างกาย
• เหงือกจะมีกลุ่ม๶ซลล์ ทาหน้ าทีขับแร่ ธาตุทมีมากเกิน
                           ํ                  ี              โดยวิธีแอก
  ทีฟทรานสปอร์ ต
• แร่ ธาตุทเข้ าไปพร้ อมกับอาหาร จะผ่ านทางเดินอาหารเดินอาหารไป ไม่
           ี
  มีการดูดซึมเข้ าสู่ ๶ซลล์ กําจัดออกทางทวารหนัก
ปลากระดูกอ่ อน เช่ น ปลาฉลาม ปลากระเบน
• ความเข้ มข้ นของเลือดสู งกว่ านําทะเลเล็กน้ อย
                                  5
• ไตมีโกลเมอรู ลสขนาดใหญ่ ทําให้ กรองของเหลวได้ มาก
                 ั
  ปัสสาวะทีขับออกมากเจือจางกว่ าเลือด
• มีต่อมเรกทัล (rectal gland) ช่ วยดูดเกลือแร่ ทมากเกินออก
                                                 ี
  จากเลือด แล้ วขับถ่ ายออกมากับอุจจาระ
๶ซลล์
สั ตว์ ทะเลชั5นตํา เช่ น ดอกไม้ ทะเล แมงกะพรุ น
• มีการควบคุมสมดุลของเกลือแร่ โดยของเหลวในตัวจะมี ความ
    เข้ มข้ นเท่ ากับหรือใกล้ เคียงกับนําทะเล ทําให้ สัตว์ รักษา เกลือแร่ ไว้ ใน
                                         5
    ร่ างกายได้ ไม่ สูญเสี ยเกลือแร่ ให้ แก่ นําทะเลทีอยู่รอบตัว
                                               5
นกทะเล
• มีต่อมพิเศษ เรียกว่ า ต่ อมนาสิ ก (nasalgland) อยู่ไกลตา ทั5งสอง
    ข้ าง เหมือนจมูก มีท่อทอดมายังจมูก
• ขณะกินปลาทะเล หรือนําทะเลเข้ าไป เกลือจะถูกกําจัดโดย
                                 5
        กระบวนการแอกทีฟทรานสปอร์ ต ทีต่ อมขับเกลือ
๶ซลล์
Reference
• http://www.mhhe.com/biosci/ap/dynamichu
  man2/content/gifs/0176.gif
• http://www.lcusd.net/lchs/mewoldsen/Excr
  etion.htm
• http://www.smd.qmul.ac.uk/biomed/kb/micr
  oanatomy/senior/metabolism/renal/

More Related Content

๶ซลล์

  • 2. • 6.2 ระบบขับถ่ ายกับการรักษาดุลยภาพของร่ างกาย - 6.2.1 การขับถ่ ายของสิ งมีชีวต๶ซลล์ เดียว ิ - 6.2.2 การขับถ่ ายของสั ตว์ - 6.2.3 การขับถ่ ายของคน
  • 4. Excretory System • หมายถึง การกําจัดของเสี ยซึงเกิดจาก metabolism ภายในร่ างกายสิ งมีชีวต ร่ างกายนําไปใช้ ประโยชน์ ไม่ ได้ เก็บไว้ ิ ไม่ ได้ เพราะเป็ นอันตรายต่ อ๶ซลล์ ของร่ างกาย จําเป็ นต้ อง กําจัดออก เช่ น ยูเรีย แอมโมเนีย กรดยูริก
  • 5. ประเภทของเสี ยในร่ างกาย 1) CO2ได้ จากการหายใจระดับ๶ซลล์ โดยการสลายคาร์ โบไฮเดรต 2) คีโตนบอดี(Ketone Body) ได้ จากการสลายสารอาหารพวกไขมัน 3) สารทีเกียวข้ องกับการย่ อยอาหารบางชนิด เช่ น นําดี(Bile) 5 4) นําทีมากเกินพอ (นําไม่ จัดเป็ นผลิตผลทีเป็ นของเสี ยแต่ เนืองมาจากพืช 5 5 และสั ตว์ จะต้ องรักษาสมดุลของนํา จึงต้ องกําจัดส่ วนเกินออกไป) 5 5) ของเสี ยทีมีธาตุไนโตรเจนเป็ นองค์ ประกอบ (Nitrogenous Waste) หรือกากเหลือจากกรดอะมิโน
  • 7. Protozoa • Amoeba , Paramecium – มีโครงสร้ าง contractile vacuole – ขยายขนาดได้ เพราะได้ รับสารส่ วนใหญ่ เป็ นนําทีมีของเสี ยปนอยู่ 5 และจะแฟบลงได้ จากการปล่ อยสิ งต่ างๆ ออกจาก๶ซลล์ – ของเสี ยถูกกําจัดโดยการแพร่
  • 12. Hydra • การกําจัดของเสี ยเกิดขึนโดยการแพร่ ผ่านเยือหุ้ม๶ซลล์ ออกมา 5 เช่ นเดียวกับในพวกโพรโทซัว • ของเสี ยทีแพร่ ผ่านออกมาอาจผ่ านออกมาทางเนือเยือชั5นนอก 5 หรือผ่ านออกมาทางช่ องว่ างกลางลําตัว (Gastrovascular Cavity)
  • 14. การขับถ่ ายของหนอนตัวแบน • เช่ น พยาธิใบไม้ พลานาเรีย • โครงสร้ างทีทําหน้ าทีในการกําจัดของเสี ยคือ เฟลม๶ซลล์ (Flame Cell) กระจายอยู่ท5งสองข้ าง ตลอดตามความยาวของลําตัว ั • ภายในเฟลม๶ซลล์ เป็ นโพรงและมีซิเลีย (Cilia) ซึงเป็ นขนเส้ นเล็กๆ โบกพัด ของเหลวในเฟลม๶ซลล์ให้ ออกสู่ ท่อขับถ่ าย (Excretory Pore) ทีผนัง ลําตัว • การโบกพัดของซิเลียในเฟลม๶ซลล์ มีลกษณะคล้ ายเปลวเทียน (Flame) เมือ ั ของเหลวไหลออกจากเฟลม๶ซลล์ • พวกแอมโมเนีย จะถูกกําจัดออกนอกร่ างกายโดยการแพร่ ผ่านทางผิวหนัง
  • 16. การขับถ่ ายของ Annelida • ได้ แก่ ไส้ เดือนดิน ตัวอ่ อนของแมลงต่ างๆ หรือสั ตว์ จําพวกมอลลัสก์ • พวกมอลลัสก์ จะมีส่วนทีเรียกว่ า โปรโทเนฟริเดียม ของเสี ยในรู ปของเหลว จะ ไหลเข้ าไปในท่ อกลวงของเฟลม๶ซลล์ ซึงมีขนเส้ นเล็กๆ คล้ ายซีเลีย • ไส้ เดือนดิน มีอวัยวะขับถ่ าย คือ เนฟริเดียม (Nephridium) มีลกษณะเป็ น ั ท่ อปลายเปิ ด ปลายด้ านหนึงเปิ ดออกทีข้ างลําตัว อีกข้ างหนึงอยู่ในโพรงระหว่ าง ลําตัวกับลําไส้ • การยืดหดของกล้ ามเนือผนังลําตัว และการโบกของซีเลีย 5 ทําให้ ของเหลวถูกขับออกนอกลําตัว
  • 17. • เนฟริเดียม 1 คู่ ของไส้ เดือนดินแบ่ งออกเป็ น 3 ส่ วน คือ 1) Nephrostome ลักษณะคล้ ายปากแตร ภายในปากแตร แต่ ละท่ อมีซิเลียโบกพัดของเสี ยพวกแอมโมเนียและยูเรีย ทีอยู่ใน ช่ องว่ างของลําตัวเข้ าสู่ ปากแตร 2) Nephridial Tubule เป็ นท่ อขดพองออกคล้ ายถุง เป็ นทีพักของของเหลว เรียกส่ วนทีพองออกนีว่า Bladder 5 3) Nephridiopore ช่ องเปิ ดของท่ อขับถ่ าย อยู่ทผิวหนัง ี
  • 21. การขับถ่ ายของ Arthropoda • เช่ น แมลง • ขับถ่ ายของเสี ยทางท่ อมัลพิเกียน (Malpighian tubule) ของเสี ยจากเลือดของแมลงจะซึมเข้ าไปในท่ อมัลพิเกียน แล้ วถูก เปลียนเป็ นกรดยูริก มีสภาพเป็ นสารกึงแข็งทีไม่ ละลายนํา ถูกขับ 5 ออกนอกร่ างกายทางทวารหนัก - การเปลียนไนโตรเจนเป็ นกรดยูริก เกิดผลดี คือ 1. ช่ วยประหยัดนําในร่ างกาย 5 2. ปองกันไม่ ให้ สารทีเป็ นพิษต่ อร่ างกายแพร่ เข้ าสู่ ๶ซลล์ อน ๆ ้ ื
  • 24. การขับถ่ ายของกุ้ง • ขับถ่ ายโดยใช้ ต่อมเขียว (green gland) เป็ นต่ อมคู่สีเขียวอมดํา อยู่ บริเวณส่ วนหัวเหนือปาก ในช่ องมีของเหลวบรรจุอยู่เต็ม แบ่ งออกเป็ น 3 ส่ วน – ส่ วนแรก เป็ นถุง (cortex) ทําหน้ าที แยกและกรองของเสี ย พวก แอมโมเนียออกจากเลือดของกุ้ง – ส่ วนทีสอง เป็ นท่ อนําของเสี ย – ส่ วนทีสาม กระเพาะพัก (bladder) ของเสี ยที ขับออกทางช่ องเปิ ดบริเวณโคนหนวด และสามารถขับถ่ าย แอมโมเนียและยูเรียทางเหงือกทีสั มผัสกับนําตลอดเวลา ต่ อมสร้ างนําย่ อย 5 5 (hepatopancreas) สี เหลืองแกมแดง ในช่ องอกช่ วยในการขับถ่ าย
  • 26. การขับถ่ ายของสั ตว์ เลือยคลาน 5 • สั ตว์ เลือยคลานทีอยู่แถบทะเลทราย กําจัดของเสี ยในรู ปของกรดยูริก 5 เป็ นวิธีการทีทําให้ ร่างกายสู ญเสี ยนําน้ อยมาก 5 • โครงสร้ างของโกลเมอรู ลสของสั ตว์ เลือยคลานมีขนาดเล็กมาก ทําให้ นํา ั 5 5 ทีกรองผ่ านออกมามีปริมาณน้ อย • กรดยูริก เคลือนเข้ าไปอยู่ในโคลเอกา (Cloaca) จะถูกดูดนํากลับคืน 5 เข้ าสู่ ร่างกาย ทําให้ กรดยูริกมีความเข้ มข้ นสู ง เมือถูกกําจัด ออกนอก ร่ างกายจะมีลกษณะสี ขาวคล้ ายแปง ั ้
  • 29. การขับถ่ ายของสั ตว์ มปีก ี • นกหรือสั ตว์ ปีกขับถ่ ายของเสี ย ออกมาในรู ปของกรดยูริก • นําปัสสาวะของนกมีกรดยูริกสู งกว่ า 5 ในเลือด 3,000 เท่ า
  • 30. Bird
  • 38. อวัยวะในการใช้ ขบถ่ ายของคน ั - ไต(kidney) ทําหน้ าทีขับถ่ ายปัสสาวะ ของเสี ยพวกยูเรียและ เกลือ แร่ ทีเกินความต้ องการออกจากร่ างกาย - ผิวหนัง(skin) ผิวหนังทําหน้ าทีขับเหงือ การขับเหงือช่ วยรักษาระดับ อุณหภูมิของร่ างกายให้ อยู่ในสภาพปกติด้วย - ปอด(lung) ขับถ่ ายก๊ าซ CO2 โดยระบบหายใจ - ตับ(liver) ทําหน้ าทีเปลียนสารซึงเกิดจากเมแทบอลิซึมของโปรตีน คือ แอมโมเนีย (NH3) เป็ นยูเรีย ขับถ่ ายออกทางไต - ลําไส้ ใหญ่ (large intestine) ขับอุจจาระ ออกทางทวารหนัก
  • 40. ระบบขับถ่ ายปัสสาวะ (THE URINARY SYSTEM) ระบบขับถ่ ายปัสสาวะของคนประกอบด้ วยอวัยวะต่ างๆ ดังนี5 • 1.ไต (kidney) กรองนํา – ของเสี ยออกจากร่ างกาย 5 • 2.ท่ อไต (ureter) นํานําปัสสาวะจากไตไปยังกระเพาะปัสสาวะ 5 • 3.กระเพาะปัสสาวะ (urinary bladder) เก็บนําปัสสาวะ 5 ชัวคราว-->บีบตัวสู่ urethra • 4.ท่ อปัสสาวะ (urethra) ผ่ านทางนําปัสสาวะสู่ ภายนอกร่ างกาย 5
  • 41. ไต (kidney) • เป็ นอวัยวะคู่ อยู่ด้านท้ ายของช่ องท้ องสองข้ างระดับเอว คล้ าย เมล็ดถัว ยาวประมาณ 10-13 cm กว้ าง 6 cm และหนา 3 cm • ไตทั5งสองข้ างหนัก 300 กรัม หรือประมาณ 0.4% ของนําหนักตัว 5 • ภายในไตมีหน่ วยทีทําหน้ าทีในการกรองหรือเนฟรอน (nephron) • ไตแต่ ละข้ างมี nephron ประมาณ 1.0 - 1.25 ล้ านหน่ วย • nephron ของคนแต่ ละคนจะมีจานวนคงที โดยสร้ างมาตั5งแต่ เกิด แล้ ว ํ ไม่ สามารถเพิมขึนได้ อก 5 ี
  • 44. โครงสร้างของไต • 1. รีนัลแคปซู ล (renal medulla) คือ ส่ วนที อยู่นอก สุ ด เป็ นเนือเยือเกียวพันทีหุ้มอยู่รอบๆ ไต 5 • 2. รีนัลคอร์ เทกซ์ (renal cortex) หรือเนือไตส่ วน5 นอก สี แดง มีลกษณะเป็ นจุดๆ สี แดงๆ แต่ ละจุดคือ หน่ วยทีทํา ั หน้ าทีในการกรองหรือ nephron • nephron ประกอบด้ วย – โกลเมอรู ลส (glomerulus) ั – โบว์ แมนแคปซูล (bowman’s capsule) – หลอดไตส่ วนต้ น (proximal tublue) – หลอดไตส่ วนปลาย (distal tubule)
  • 45. • 3. รีนัลเมดัลลา (renal medulla) สี จางกว่ าเนือไต ส่ วนนอก 5 ลักษณะเป็ นเส้ นๆ คล้ ายพีระมิด เรียกว่ า เมดัลลารี พีระมิด (medullary pyramid) ประกอบด้ วยหลอดไตร่ วม(collecting tubule) และห่ วง เฮนเล (loop of Henle) • มีช่องเล็กๆ (papilla) ยืนจดกับกิงกรวยไตหรือแคลิกซ์ (calyx) รองรับ ปัสสาวะทีไหลมาจากหลอดไตร่ วม • 4. กรวยไต (pelvis) เป็ นส่ วนทีอยู่ตรงส่ วนเว้ าของไต เป็ นทีรวม ของนําปัสสาวะทีมาจากแคลิกซ์ เป็ นส่ วนทีต่ อกับท่ อไต 5
  • 46. • 5. เนฟรอน (nephron) ทําหน้ าที กรอง เนฟรอนแต่ ละ หน่ วยประกอบด้ วย 1. รีนัลคอร์ พสเคิล (renal corpuscle) เป็ นส่ วนของ ั หลอดไตทีปลายตัน เป็ นเยือบางๆ พองออกเป็ นรู ปกลมๆ มีรอยบุ๋ม ตรงกลาง เรียกว่ าโบว์ แมนแคปซู ล (Bowman’s capsule) ภายในรอยบุ๋มของโบว์ แมนแคปซู ล มีกลุ่มของเส้ นเลือดฝอยซึง เรียกว่ า โกลเมอรู ลส (glomerulus) ั • รีนัลคอร์ พสเคิล พบเฉพาะ ส่ วนของเนือไตส่ วนนอก (renal ั 5 cortex) เท่ านั5น
  • 47. 2. รีนัลทิวบูล (renal tubule) ต่ อจากโบว์ แมนแคปซู ล แบ่ งเป็ น 4 ส่ วน คือ 2.1 หลอดไตส่ วนต้ น (proximal tubule) ต่ อ จากโบว์ แมนแคปซู ล ขดไปขดมา ภายในมี ไมโครวิลไล (microvilli)มากเพือเพิมพืนทีในการดูดสารต่ างๆ กลับสู่ กระแสเลือด 5 • ๶ซลล์ มีไมโทคอนเดรียมาก เนืองจาก มีการดูดสารกลับเป็ นแบบ active transport เป็ นส่ วนใหญ่ หลอดไตส่ วนต้ นมีเส้ นผ่ านศู นย์ กลาง ประมาณ 50 - 65 ไมคอน
  • 48. • 2.2 ห่ วงเฮนเล (loop of Henle) ต่ อจากหลอดไตส่ วนต้ น โดยโค้ งลงสู่ เนือไตส่ วนใน (renal medulla) แล้ วโค้ งขึนเป็ นรู ปตัวยู ๶ซลล์ บริเวณนีมีไม 5 5 5 โครวิลไลและไมโทรคอนเดรียเล็กน้ อย มีเส้ นผ่ านศูนย์ กลางประมาณ 14 - 22 ไมครอน • 2.3 หลอดไตส่ วนท้ าย (distal tubule) ต่ อจากห่ วงเฮนเลขึนมา 5 ลักษณะขดไปขดมาคล้ ายหลอดไตส่ วนต้ นแต่ ขดน้ อยกว่ า ๶ซลล์ มีไมโค รวิลไลเล็กน้ อยแต่ มีไมโทรคอนเดรียมาก • 2.4 หลอดไตร่ วม (collecting tubule) ต่ อจากหลอดไตส่ วนท้ ายเปิ ด รวมกันกับท่ อไตร่ วมของเนฟรอนอืนๆ เพือนํานําปัสสาวะทีกรองได้ ส่ งเข้ าสู่ 5 กรวยไตและท่ อไต
  • 56. ท่อไต (ureter) • ต่ อจากกรวยไต (renal pelvis) ไปสิ5นสุ ดทีกระเพาะปัสสาวะ (urinary bladder) ผนังเป็ นกล้ ามเนือเรียบและจะหดตัวแบบ peritalsis ประมาณ 5 5-6 ครั5งต่ อชัวโมง ไล่ให้ ปัสสาวะเคลือนลงสู่ กระเพาะปัสสาวะ • ท่ อไตยาวประมาณ 28-35 เซนติเมตร กว้ าง 1-19 มิลลิเมตร ผนัง 3 ชั5น – ชั5นในสุ ด เรียกว่ า มูคอซา (mucosa) – ชั5นกลางเป็ นกล้ ามเนือ (muscular layer) 5 – ชั5นนอกเป็ นเยือเกียวพันให้ ความแข็งแรงแก่ ท่อไต
  • 58. กระเพาะปัสสาวะ (urinary bladder) • อยู่ในช่ องอุ้งเชิงกรานด้ านหลังกระดูกหัวหน่ าว มีลกษณะเป็ นถุง ั กลวงยืดหยุ่นได้ ผนังของกระเพาะปัสสาวะมีกล้ ามเนือเรียบ 3 ชั5น ที 5 คอของกระเพาะจะมีกล้ ามเนือหูรูดทวารเบามัดใน (internal 5 sphincter muscle) ซึงเป็ นกล้ ามเนือลาย 5 • ทําหน้ าทีเป็ นทีเก็บสะสมนําปัสสาวะและขับถ่ ายเมือเวลาเหมาะสม 5
  • 60. ท่ อปัสสาวะ (urethra) • เป็ นส่ วนสุ ดท้ ายของทางเดินปัสสาวะ • ในผู้ชายมีท่อปัสสาวะยาวประมาณ 8 นิวส่ วนใหญ่ ผู้หญิงจะมีท่อ 5 ปัสสาวะยาว 1.5 นิว 5 • ผู้ชายท่ อปัสสาวะของจะเปิ ดเข้ าสู่ อวัยวะสั งวาส (penis) เป็ น ทางผ่ านของสเปิ ร์ ม (sperm) • ผู้หญิงท่ อปัสสาวะไม่ ได้ ผ่านคลิสทอริส (clitoris) และ ไม่ ได้ รวมกับช่ องคลอด (vagina) แต่ จะเปิ ดออกสู่ ภายนอก โดยตรง
  • 61. การขับถ่ ายปัสสาวะประกอบด้ วย 1. จํานวนปัสสาวะ หากปัสสาวะเพิมมากขึนตั5งแต่ 150 - 400 ลบ.ซม. 5 ทําให้ ผนังกระเพาะปัสสาวะตึงขึน 5 2. เกิดรีเฟลกซ์ การถ่ ายปัสสาวะเนืองจากการตึงของผนังกระเพาะปัสสาวะมี ผลทําให้ เกิดกระแสประสาทส่ งไปยังไขสั นหลังและสมองแล้ วส่ งกระแส ประสาทกลับมากระตุ้นให้ กล้ ามเนือเรียบทีผนังกระเพาะปัสสาวะบีบตัว 5 3. ยิงความดันกระเพาะปัสสาวะมาก ยิงทําให้ เกิดการอยากถ่ ายปัสสาวะมากขึน 5 มีผลในการกระตุ้นให้ สมองส่ งกระแสประสาทมายังกล้ ามเนือหูรูดมัดนอกของ 5 กระเพาะปัสสาวะให้ คลายตัวและเกิดการถ่ ายปัสสาวะขึน 5
  • 62. เส้นเลือดทีไต • รีนัลอาร์ เทอรี (renal artery) เป็ นเส้ นเลือดแดงทีนําเลือด เข้ าสู่ ไต บริเวณรอยบุ๋มตอนกลางไต • อินเตอร์ โลบาร์ อาร์ เทอรี (interlobar artery) เส้ นเลือดแตก แขนงออกจากรีนัลอาร์ เทอรีแทรกเข้ าไปในเนือไตส่ วนใน 5 • อาร์ ควเอตอาร์ เทอรี (arcute artery) เส้ นนีจะมีเส้ นเลือดทอดโค้ ง ิ 5 อยู่ระหว่ างเนือไตส่ วนนอกและเนือไตส่ วนใน 5 5 • เส้ นเลือดแตกแขนงจากอาร์ ควเอตอาร์ เทอรี ในแนวตั5งฉาก เรียกว่ า แอฟเฟอร์ ิ เรนต์ อาร์ เทอริโอล (afferent arteriole) และ โกลเมอรู ลส ั
  • 63. • จากโกลเมอรู ลส จะมีการรวมกันของเส้ นเลือดฝอยเป็ น เส้ น ั เลือดทีออกจากโบว์ แมนแคปซู ล เรียกว่ า เอฟเฟอเรนต์ อาร์ เทอริ โอล (efferent arteriole) • เอฟเฟอเรนต์ อาร์ เทอริโอล จะแตกแขนงเป็ นกลุ่มเส้ นเลือดฝอยอีก และกลุ่มเส้ นเลือดฝอยนีจะพันเป็ นตาข่ ายอยู่รอบๆ ท่ อหน่ วยไต 5 (renal tubule) แล้ วจึงรวมกันเป็ นเส้ นเลือดดําและออก จากไตทางเส้ นเลือดดํา รีนัล เวน (renal vein)
  • 64. หน้าทีของไต • ขับถ่ ายของเสี ย เช่ น ยูเรีย • เก็บสารบางอย่ างทีเป็ นประโยชน์ ต่อร่ างกาย เช่ น กลูโคส กรดอะมิโน โดยการดูดกลับ • ควบคุมสมดุลนําของร่ างกาย โดยการดูดนํากลับทีหลอดไต ทําให้ 5 5 ปัสสาวะข้ นขึน5 • ควบคลุมความเป็ นกรด-เบสของเหลวในร่ างกาย โดยการขับไฮโดรเจน ไอออน (H+-)เข้ าสู่ หลอดไต และดูดไฮโดรเจนคาร์ บอเนตไอออน (HCO -) กลับสู่ เลือด • สร้ างสารบางชนิดทีเป็ นประโยชน์ ต่อร่ างกาย เช่ น ฮอร์ โมนชนิดต่ างๆ
  • 66. กระบวนการทํางานของไตในการทําให้ เกิดนําปัสสาวะ 5 กระบวนการพืนฐานทีสํ าคัญ 3 ขั5นตอน คือ 5 • 1) Ultrafiltration • 2) Tubular secretion • 3) Tubular reabsorption
  • 67. 1. Ultrafiltration (การกรอง) • ทําให้ เกิดปัสสาวะขึนที glomerulusโดยกรองเอาพลาสมา 5 พลาสมาจะถูกกรองหมด ยกเว้ น โปรตีนและเม็ดเลือดจาก glomerulus ลงไปยัง Bowman's capsule ของเหลวไหลผ่ านไป ท่ อไตส่ วนต่ างๆ ขณะทีผ่ านไปในท่ อไตของเหลวทีถูกกรองมาจาก glomerulus ซึงเรี ยกว่ า filtrate จะถูกทําให้ องค์ ประกอบ เปลียนแปลงไปโดยกระบวนการอีก 2 อย่ าง คือการดูดกลับและ การขับ ออกของสารบางอย่ างโดยท่ อไต
  • 68. 2. Tubular secretion (การขับออก) • คือ การขนถ่ ายสารจากเลือด เข้ าไปยังท่ อไต • กระบวนการนีเ5 ป็ น selective process หมายความว่ า ไม่ ใช่ สารทุกตัวในเลือดจะถูกขับออกมาในท่ อไตหมด จะมีเฉพาะบางตัว เท่ านั5น เช่ น PAH ( p-aminohippuric acid ) และ H+ เป็ น ต้ น
  • 69. 3. Tubular reabsorption (การดูด กลับ) • คือ สารบางตัวทีเป็ นประโยชน์ จะถูกดูดกลับจากท่ อไตกลับ เข้ าเส้ น เลือด เช่ น glucose และ Na+ เป็ นต้ น • ในคน วันๆ หนึงพลาสมาจะถูกกรองที glomerulus ประมาณ 180 ลิตร แต่ ปัสสาวะทีถูกขับออกมาปกติเพียง 1.5 - 2 ลิตรต่ อวัน • การดูดกลับของพลาสมาทีถูกกรองมาในขั5นแรกมากถึง 99 %
  • 70. ไตกับการรักษาสมดุล 1. Antidiuretic hormone : ADH • ผลิตจากต่ อมใต้ สมองส่ วนหลัง • เมือร่ างกายขาดนํา แรงดันออสโมติกในเลือดสู ง คือนําในเลือดตํา ต่ อมใต้ 5 5 สมอง hypothalamus หลัง ADH เข้ าสู่ กระแสเลือด • กระตุ้นหน่ วยไตและท่ อรวมดูดนํากลับคืนสู่ หลอดเลือดปริมาณนําในเลือดสู งขึน 5 5 5 • กรณีทเกิดภาวะขาดนําhypothalamus กระตุ้นให้ ร่างกายกระหายนํา ี 5 5 • เมือดืมนํา แรงดันออสโมติกในเลือดจะตําลง สู่ ภาวะปกติ 5
  • 71. 2. Aldosterone • ผลิตจากต่ อมหมวกไต • ทําหน้ าที ควบคุมสมดุลนําและแร่ ธาตุ 5 หรือการดูดกลับของโซเดียมและกลูโคส
  • 73. การดูดกลับของสารทีไตอาศัย 2 กระบวนการ คือ • ACTIVE TRANSPORT – การดูดกลับของสารทีมีความจําเป็ นต่ อร่ างกาย เช่ น กลูโคส วิตามิน กรดอะมิโน ฮอร์ โมน และไอออนต่ างๆ • OSMOSIS – เป็ นการดูดกลับของนํา 5
  • 75. ความผิึϸกติท๶กิึϸับไต ี • โรคนิว – อาจเกียวข้ องกับกรรมพันธุ์สาเหตุทแท้ จริงยังไม่ ทราบแน่ นอน ี – อาการ ปวดท้ อง ปวดหลัง ปัสสาวะขัด ปัสสาวะเป็ นเลือด ปัสสาวะทีมีก้อนนิวหลุดออกมาเหมือนเศษทรายเล็กๆ – โรคแทรกซ้ อน เช่ น กรวยไตอักเสบจากการติดเชื5อ ท่ อไต หรือท่ อ ปัสสาวะอุดตันจากนิว อุดตันนานๆ ทําให้ เกิดไตวายได้
  • 76. • ภาวะไตวาย – สาเหตุโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสู ง ต้ องรักษาโดยการล้ าง ไต หรือผ่ าตัดเปลียนไต หากรักษาโรคทั5งสองนีได้ กจะทําให้ โรคไต 5 ็ ทีเกิดขึนทุเลา หรือชะลอการเปลียนแปลงได้ 5 – โรคไตอักเสบ ซึงจะทําให้ เกิดการทําลายของหน่ วยกรองไต บาง รายไม่ ทราบสาเหตุ บางรายถ่ ายทอดทางพันธุกรรม และบางรายมี การติดเชื5อเป็ นสาเหตุเสริม
  • 77. การรักษาอุณหภูมภายในร่ างกาย ิ 1. โครงสร้ างของร่ างกาย เช่ น สั ตว์ ในเขตหนาวมีขนยาว 2. กลไกทางสรีรวิทยา HYPOTHALAMUS ไวต่ ออากาศหนาว เช่ น • ทําให้ เส้ นเลือดทีนําเลือดมาเลียงผิวหนังหดตัว ทําให้ เลือดทีมาเลียงผิวหนังลด 5 5 ปริมาณลง ร่ างกายจะสู ญเสี ยความร้ อนน้ อยลง • กระตุ้นเส้ นประสาทควบคุมการหดตัวของกล้ ามเนือโคนขน ทําให้ ขนลุกชัน 5 และกล้ ามเนือให้ หดตัวจนเกิดอาการสั น 5 • กระตุ้นให้ ต่อมไร้ ท่อหลังฮอร์ โมน กระตุ้นปฏิกริยาการสลายอาหารให้ ปล่ อย ิ พลังงานออกมาเพิม เพือชดเชยความร้ อนทีร่ างกายสู ญเสี ยไป
  • 78. การปรับพฤติกรรม • สุ นัข จะระบายความร้ อนทางลินและเพดานปาก เรียกว่ า หอบ 5 • แมว ระบายความร้ อนโดยการเลียอุ้งเท้ า • ควาย นอนแช่ ปลักโคลนเพือระบายความร้ อนไปสู่ นํา 5 • การจําศีลของกบ คือ การอยู่นิงๆไม่ เคลือนไหว มีอตราเมแทบอลิ ั ซึมตํา • การหนีหนาวของ หนู กระรอก และค้ างคาวบางชนิด คือ การนิงๆ ไม่ เคลือนไหว
  • 79. การรักษาสมดุลของกรด-เบสในร่ างกาย • รักษาสมดุลของกรด-เบสมีอยู่ 3 แบบ คือ 1. ระบบหายใจ โดยการควบคุมปริมาณ CO2 ของสมองส่ วน MEDULLA OBLONGATA 2. ระบบบัฟเฟอร์ เลือดจะมี pH อยู่ระหว่ าง 7.35 – 7.45 3. ระบบขับถ่ าย โดยการขับออกทางปัสสาวะมีประสิ ทธิภาพในการ รักษาสมดุลสู ง แต่ ทางานได้ ช้ากว่ าระบบอืนๆ ํ
  • 80. การรักษาสมดุลของแร่ ธาตุ ปลานําจืด เลือดทีเข้ มข้ นกว่ านําทีอยู่รอบตัว 5 5 ลําตัวปลาจะถูกปก คลุมด้ วยหนังและเกล็ด • ปลานําจืดกินเฉพาะอาหารเท่ านั5น ไม่ ยอมกินนําเลย 5 5 • เหงือกปลานําจืดมีกลุ่ม๶ซลล์ พเิ ศษคอยดูดซึมเกลือแร่ ชนิดต่ างทีจําเป็ น 5 โดยกระบวนการแอกทีฟทรานสปอร์ ต • ขับถ่ ายปัสสาวะบ่ อย และค่ อนข้ างเจือจาง
  • 81. ปลาทะเล ปลากระดูกแข็ง เช่ น ปลาอินทรี • เลือดมีความ เข้ มข้ นน้ อยกว่ านําทะเลทีอยู่รอบตัว 5 • ร่ างกายจะมีผวหนังและเกล็ดเป็ นตัวปองกันไม่ ใช้ แร่ ธาตุจากนําทะเล ิ ้ 5 ซึมผ่ านเข้ าสู่ ร่างกาย • เหงือกจะมีกลุ่ม๶ซลล์ ทาหน้ าทีขับแร่ ธาตุทมีมากเกิน ํ ี โดยวิธีแอก ทีฟทรานสปอร์ ต • แร่ ธาตุทเข้ าไปพร้ อมกับอาหาร จะผ่ านทางเดินอาหารเดินอาหารไป ไม่ ี มีการดูดซึมเข้ าสู่ ๶ซลล์ กําจัดออกทางทวารหนัก
  • 82. ปลากระดูกอ่ อน เช่ น ปลาฉลาม ปลากระเบน • ความเข้ มข้ นของเลือดสู งกว่ านําทะเลเล็กน้ อย 5 • ไตมีโกลเมอรู ลสขนาดใหญ่ ทําให้ กรองของเหลวได้ มาก ั ปัสสาวะทีขับออกมากเจือจางกว่ าเลือด • มีต่อมเรกทัล (rectal gland) ช่ วยดูดเกลือแร่ ทมากเกินออก ี จากเลือด แล้ วขับถ่ ายออกมากับอุจจาระ
  • 84. สั ตว์ ทะเลชั5นตํา เช่ น ดอกไม้ ทะเล แมงกะพรุ น • มีการควบคุมสมดุลของเกลือแร่ โดยของเหลวในตัวจะมี ความ เข้ มข้ นเท่ ากับหรือใกล้ เคียงกับนําทะเล ทําให้ สัตว์ รักษา เกลือแร่ ไว้ ใน 5 ร่ างกายได้ ไม่ สูญเสี ยเกลือแร่ ให้ แก่ นําทะเลทีอยู่รอบตัว 5 นกทะเล • มีต่อมพิเศษ เรียกว่ า ต่ อมนาสิ ก (nasalgland) อยู่ไกลตา ทั5งสอง ข้ าง เหมือนจมูก มีท่อทอดมายังจมูก • ขณะกินปลาทะเล หรือนําทะเลเข้ าไป เกลือจะถูกกําจัดโดย 5 กระบวนการแอกทีฟทรานสปอร์ ต ทีต่ อมขับเกลือ
  • 86. Reference • http://www.mhhe.com/biosci/ap/dynamichu man2/content/gifs/0176.gif • http://www.lcusd.net/lchs/mewoldsen/Excr etion.htm • http://www.smd.qmul.ac.uk/biomed/kb/micr oanatomy/senior/metabolism/renal/