ݺߣ
Submit Search
ซลล์
•
2 likes
•
1,096 views
ครูเมษา คนเจียงฮาย
1 of 86
Download now
Downloaded 27 times
More Related Content
ซลล์
1.
บทที 6 การรักษาดุลยภาพ
ในร่ างกาย
2.
• 6.2 ระบบขับถ่
ายกับการรักษาดุลยภาพของร่ างกาย - 6.2.1 การขับถ่ ายของสิ งมีชีวตซลล์ เดียว ิ - 6.2.2 การขับถ่ ายของสั ตว์ - 6.2.3 การขับถ่ ายของคน
3.
ระบบขับถ่ ายกับการรักษาดุลยภาพของ
ร่ างกาย
4.
Excretory System • หมายถึง
การกําจัดของเสี ยซึงเกิดจาก metabolism ภายในร่ างกายสิ งมีชีวต ร่ างกายนําไปใช้ ประโยชน์ ไม่ ได้ เก็บไว้ ิ ไม่ ได้ เพราะเป็ นอันตรายต่ อซลล์ ของร่ างกาย จําเป็ นต้ อง กําจัดออก เช่ น ยูเรีย แอมโมเนีย กรดยูริก
5.
ประเภทของเสี ยในร่ างกาย 1)
CO2ได้ จากการหายใจระดับซลล์ โดยการสลายคาร์ โบไฮเดรต 2) คีโตนบอดี(Ketone Body) ได้ จากการสลายสารอาหารพวกไขมัน 3) สารทีเกียวข้ องกับการย่ อยอาหารบางชนิด เช่ น นําดี(Bile) 5 4) นําทีมากเกินพอ (นําไม่ จัดเป็ นผลิตผลทีเป็ นของเสี ยแต่ เนืองมาจากพืช 5 5 และสั ตว์ จะต้ องรักษาสมดุลของนํา จึงต้ องกําจัดส่ วนเกินออกไป) 5 5) ของเสี ยทีมีธาตุไนโตรเจนเป็ นองค์ ประกอบ (Nitrogenous Waste) หรือกากเหลือจากกรดอะมิโน
6.
การขับถ่ ายของสิ งมีชีวต
ิ ซลล์ เดียว
7.
Protozoa • Amoeba ,
Paramecium – มีโครงสร้ าง contractile vacuole – ขยายขนาดได้ เพราะได้ รับสารส่ วนใหญ่ เป็ นนําทีมีของเสี ยปนอยู่ 5 และจะแฟบลงได้ จากการปล่ อยสิ งต่ างๆ ออกจากซลล์ – ของเสี ยถูกกําจัดโดยการแพร่
8.
Contractile vacuole
9.
Contractile vacuole
10.
Contractile vacuole
11.
การขับถ่ ายของสั ตว์
12.
Hydra • การกําจัดของเสี ยเกิดขึนโดยการแพร่
ผ่านเยือหุ้มซลล์ ออกมา 5 เช่ นเดียวกับในพวกโพรโทซัว • ของเสี ยทีแพร่ ผ่านออกมาอาจผ่ านออกมาทางเนือเยือชั5นนอก 5 หรือผ่ านออกมาทางช่ องว่ างกลางลําตัว (Gastrovascular Cavity)
14.
การขับถ่ ายของหนอนตัวแบน • เช่
น พยาธิใบไม้ พลานาเรีย • โครงสร้ างทีทําหน้ าทีในการกําจัดของเสี ยคือ เฟลมซลล์ (Flame Cell) กระจายอยู่ท5งสองข้ าง ตลอดตามความยาวของลําตัว ั • ภายในเฟลมซลล์ เป็ นโพรงและมีซิเลีย (Cilia) ซึงเป็ นขนเส้ นเล็กๆ โบกพัด ของเหลวในเฟลมซลล์ให้ ออกสู่ ท่อขับถ่ าย (Excretory Pore) ทีผนัง ลําตัว • การโบกพัดของซิเลียในเฟลมซลล์ มีลกษณะคล้ ายเปลวเทียน (Flame) เมือ ั ของเหลวไหลออกจากเฟลมซลล์ • พวกแอมโมเนีย จะถูกกําจัดออกนอกร่ างกายโดยการแพร่ ผ่านทางผิวหนัง
15.
Flame Cell
16.
การขับถ่ ายของ Annelida •
ได้ แก่ ไส้ เดือนดิน ตัวอ่ อนของแมลงต่ างๆ หรือสั ตว์ จําพวกมอลลัสก์ • พวกมอลลัสก์ จะมีส่วนทีเรียกว่ า โปรโทเนฟริเดียม ของเสี ยในรู ปของเหลว จะ ไหลเข้ าไปในท่ อกลวงของเฟลมซลล์ ซึงมีขนเส้ นเล็กๆ คล้ ายซีเลีย • ไส้ เดือนดิน มีอวัยวะขับถ่ าย คือ เนฟริเดียม (Nephridium) มีลกษณะเป็ น ั ท่ อปลายเปิ ด ปลายด้ านหนึงเปิ ดออกทีข้ างลําตัว อีกข้ างหนึงอยู่ในโพรงระหว่ าง ลําตัวกับลําไส้ • การยืดหดของกล้ ามเนือผนังลําตัว และการโบกของซีเลีย 5 ทําให้ ของเหลวถูกขับออกนอกลําตัว
17.
• เนฟริเดียม 1
คู่ ของไส้ เดือนดินแบ่ งออกเป็ น 3 ส่ วน คือ 1) Nephrostome ลักษณะคล้ ายปากแตร ภายในปากแตร แต่ ละท่ อมีซิเลียโบกพัดของเสี ยพวกแอมโมเนียและยูเรีย ทีอยู่ใน ช่ องว่ างของลําตัวเข้ าสู่ ปากแตร 2) Nephridial Tubule เป็ นท่ อขดพองออกคล้ ายถุง เป็ นทีพักของของเหลว เรียกส่ วนทีพองออกนีว่า Bladder 5 3) Nephridiopore ช่ องเปิ ดของท่ อขับถ่ าย อยู่ทผิวหนัง ี
21.
การขับถ่ ายของ Arthropoda •
เช่ น แมลง • ขับถ่ ายของเสี ยทางท่ อมัลพิเกียน (Malpighian tubule) ของเสี ยจากเลือดของแมลงจะซึมเข้ าไปในท่ อมัลพิเกียน แล้ วถูก เปลียนเป็ นกรดยูริก มีสภาพเป็ นสารกึงแข็งทีไม่ ละลายนํา ถูกขับ 5 ออกนอกร่ างกายทางทวารหนัก - การเปลียนไนโตรเจนเป็ นกรดยูริก เกิดผลดี คือ 1. ช่ วยประหยัดนําในร่ างกาย 5 2. ปองกันไม่ ให้ สารทีเป็ นพิษต่ อร่ างกายแพร่ เข้ าสู่ ซลล์ อน ๆ ้ ื
24.
การขับถ่ ายของกุ้ง • ขับถ่
ายโดยใช้ ต่อมเขียว (green gland) เป็ นต่ อมคู่สีเขียวอมดํา อยู่ บริเวณส่ วนหัวเหนือปาก ในช่ องมีของเหลวบรรจุอยู่เต็ม แบ่ งออกเป็ น 3 ส่ วน – ส่ วนแรก เป็ นถุง (cortex) ทําหน้ าที แยกและกรองของเสี ย พวก แอมโมเนียออกจากเลือดของกุ้ง – ส่ วนทีสอง เป็ นท่ อนําของเสี ย – ส่ วนทีสาม กระเพาะพัก (bladder) ของเสี ยที ขับออกทางช่ องเปิ ดบริเวณโคนหนวด และสามารถขับถ่ าย แอมโมเนียและยูเรียทางเหงือกทีสั มผัสกับนําตลอดเวลา ต่ อมสร้ างนําย่ อย 5 5 (hepatopancreas) สี เหลืองแกมแดง ในช่ องอกช่ วยในการขับถ่ าย
26.
การขับถ่ ายของสั ตว์
เลือยคลาน 5 • สั ตว์ เลือยคลานทีอยู่แถบทะเลทราย กําจัดของเสี ยในรู ปของกรดยูริก 5 เป็ นวิธีการทีทําให้ ร่างกายสู ญเสี ยนําน้ อยมาก 5 • โครงสร้ างของโกลเมอรู ลสของสั ตว์ เลือยคลานมีขนาดเล็กมาก ทําให้ นํา ั 5 5 ทีกรองผ่ านออกมามีปริมาณน้ อย • กรดยูริก เคลือนเข้ าไปอยู่ในโคลเอกา (Cloaca) จะถูกดูดนํากลับคืน 5 เข้ าสู่ ร่างกาย ทําให้ กรดยูริกมีความเข้ มข้ นสู ง เมือถูกกําจัด ออกนอก ร่ างกายจะมีลกษณะสี ขาวคล้ ายแปง ั ้
29.
การขับถ่ ายของสั ตว์
มปีก ี • นกหรือสั ตว์ ปีกขับถ่ ายของเสี ย ออกมาในรู ปของกรดยูริก • นําปัสสาวะของนกมีกรดยูริกสู งกว่ า 5 ในเลือด 3,000 เท่ า
30.
Bird
31.
Invertebrate
32.
Mollusca
33.
Vertebrate Kidneys
34.
Starfish
37.
การขับถ่ ายของคน
38.
อวัยวะในการใช้ ขบถ่ ายของคน
ั - ไต(kidney) ทําหน้ าทีขับถ่ ายปัสสาวะ ของเสี ยพวกยูเรียและ เกลือ แร่ ทีเกินความต้ องการออกจากร่ างกาย - ผิวหนัง(skin) ผิวหนังทําหน้ าทีขับเหงือ การขับเหงือช่ วยรักษาระดับ อุณหภูมิของร่ างกายให้ อยู่ในสภาพปกติด้วย - ปอด(lung) ขับถ่ ายก๊ าซ CO2 โดยระบบหายใจ - ตับ(liver) ทําหน้ าทีเปลียนสารซึงเกิดจากเมแทบอลิซึมของโปรตีน คือ แอมโมเนีย (NH3) เป็ นยูเรีย ขับถ่ ายออกทางไต - ลําไส้ ใหญ่ (large intestine) ขับอุจจาระ ออกทางทวารหนัก
40.
ระบบขับถ่ ายปัสสาวะ (THE
URINARY SYSTEM) ระบบขับถ่ ายปัสสาวะของคนประกอบด้ วยอวัยวะต่ างๆ ดังนี5 • 1.ไต (kidney) กรองนํา – ของเสี ยออกจากร่ างกาย 5 • 2.ท่ อไต (ureter) นํานําปัสสาวะจากไตไปยังกระเพาะปัสสาวะ 5 • 3.กระเพาะปัสสาวะ (urinary bladder) เก็บนําปัสสาวะ 5 ชัวคราว-->บีบตัวสู่ urethra • 4.ท่ อปัสสาวะ (urethra) ผ่ านทางนําปัสสาวะสู่ ภายนอกร่ างกาย 5
41.
ไต (kidney) • เป็
นอวัยวะคู่ อยู่ด้านท้ ายของช่ องท้ องสองข้ างระดับเอว คล้ าย เมล็ดถัว ยาวประมาณ 10-13 cm กว้ าง 6 cm และหนา 3 cm • ไตทั5งสองข้ างหนัก 300 กรัม หรือประมาณ 0.4% ของนําหนักตัว 5 • ภายในไตมีหน่ วยทีทําหน้ าทีในการกรองหรือเนฟรอน (nephron) • ไตแต่ ละข้ างมี nephron ประมาณ 1.0 - 1.25 ล้ านหน่ วย • nephron ของคนแต่ ละคนจะมีจานวนคงที โดยสร้ างมาตั5งแต่ เกิด แล้ ว ํ ไม่ สามารถเพิมขึนได้ อก 5 ี
44.
โครงสร้างของไต • 1.
รีนัลแคปซู ล (renal medulla) คือ ส่ วนที อยู่นอก สุ ด เป็ นเนือเยือเกียวพันทีหุ้มอยู่รอบๆ ไต 5 • 2. รีนัลคอร์ เทกซ์ (renal cortex) หรือเนือไตส่ วน5 นอก สี แดง มีลกษณะเป็ นจุดๆ สี แดงๆ แต่ ละจุดคือ หน่ วยทีทํา ั หน้ าทีในการกรองหรือ nephron • nephron ประกอบด้ วย – โกลเมอรู ลส (glomerulus) ั – โบว์ แมนแคปซูล (bowman’s capsule) – หลอดไตส่ วนต้ น (proximal tublue) – หลอดไตส่ วนปลาย (distal tubule)
45.
• 3. รีนัลเมดัลลา
(renal medulla) สี จางกว่ าเนือไต ส่ วนนอก 5 ลักษณะเป็ นเส้ นๆ คล้ ายพีระมิด เรียกว่ า เมดัลลารี พีระมิด (medullary pyramid) ประกอบด้ วยหลอดไตร่ วม(collecting tubule) และห่ วง เฮนเล (loop of Henle) • มีช่องเล็กๆ (papilla) ยืนจดกับกิงกรวยไตหรือแคลิกซ์ (calyx) รองรับ ปัสสาวะทีไหลมาจากหลอดไตร่ วม • 4. กรวยไต (pelvis) เป็ นส่ วนทีอยู่ตรงส่ วนเว้ าของไต เป็ นทีรวม ของนําปัสสาวะทีมาจากแคลิกซ์ เป็ นส่ วนทีต่ อกับท่ อไต 5
46.
• 5. เนฟรอน
(nephron) ทําหน้ าที กรอง เนฟรอนแต่ ละ หน่ วยประกอบด้ วย 1. รีนัลคอร์ พสเคิล (renal corpuscle) เป็ นส่ วนของ ั หลอดไตทีปลายตัน เป็ นเยือบางๆ พองออกเป็ นรู ปกลมๆ มีรอยบุ๋ม ตรงกลาง เรียกว่ าโบว์ แมนแคปซู ล (Bowman’s capsule) ภายในรอยบุ๋มของโบว์ แมนแคปซู ล มีกลุ่มของเส้ นเลือดฝอยซึง เรียกว่ า โกลเมอรู ลส (glomerulus) ั • รีนัลคอร์ พสเคิล พบเฉพาะ ส่ วนของเนือไตส่ วนนอก (renal ั 5 cortex) เท่ านั5น
47.
2. รีนัลทิวบูล (renal
tubule) ต่ อจากโบว์ แมนแคปซู ล แบ่ งเป็ น 4 ส่ วน คือ 2.1 หลอดไตส่ วนต้ น (proximal tubule) ต่ อ จากโบว์ แมนแคปซู ล ขดไปขดมา ภายในมี ไมโครวิลไล (microvilli)มากเพือเพิมพืนทีในการดูดสารต่ างๆ กลับสู่ กระแสเลือด 5 • ซลล์ มีไมโทคอนเดรียมาก เนืองจาก มีการดูดสารกลับเป็ นแบบ active transport เป็ นส่ วนใหญ่ หลอดไตส่ วนต้ นมีเส้ นผ่ านศู นย์ กลาง ประมาณ 50 - 65 ไมคอน
48.
• 2.2 ห่
วงเฮนเล (loop of Henle) ต่ อจากหลอดไตส่ วนต้ น โดยโค้ งลงสู่ เนือไตส่ วนใน (renal medulla) แล้ วโค้ งขึนเป็ นรู ปตัวยู ซลล์ บริเวณนีมีไม 5 5 5 โครวิลไลและไมโทรคอนเดรียเล็กน้ อย มีเส้ นผ่ านศูนย์ กลางประมาณ 14 - 22 ไมครอน • 2.3 หลอดไตส่ วนท้ าย (distal tubule) ต่ อจากห่ วงเฮนเลขึนมา 5 ลักษณะขดไปขดมาคล้ ายหลอดไตส่ วนต้ นแต่ ขดน้ อยกว่ า ซลล์ มีไมโค รวิลไลเล็กน้ อยแต่ มีไมโทรคอนเดรียมาก • 2.4 หลอดไตร่ วม (collecting tubule) ต่ อจากหลอดไตส่ วนท้ ายเปิ ด รวมกันกับท่ อไตร่ วมของเนฟรอนอืนๆ เพือนํานําปัสสาวะทีกรองได้ ส่ งเข้ าสู่ 5 กรวยไตและท่ อไต
56.
ท่อไต (ureter) • ต่
อจากกรวยไต (renal pelvis) ไปสิ5นสุ ดทีกระเพาะปัสสาวะ (urinary bladder) ผนังเป็ นกล้ ามเนือเรียบและจะหดตัวแบบ peritalsis ประมาณ 5 5-6 ครั5งต่ อชัวโมง ไล่ให้ ปัสสาวะเคลือนลงสู่ กระเพาะปัสสาวะ • ท่ อไตยาวประมาณ 28-35 เซนติเมตร กว้ าง 1-19 มิลลิเมตร ผนัง 3 ชั5น – ชั5นในสุ ด เรียกว่ า มูคอซา (mucosa) – ชั5นกลางเป็ นกล้ ามเนือ (muscular layer) 5 – ชั5นนอกเป็ นเยือเกียวพันให้ ความแข็งแรงแก่ ท่อไต
58.
กระเพาะปัสสาวะ (urinary bladder) •
อยู่ในช่ องอุ้งเชิงกรานด้ านหลังกระดูกหัวหน่ าว มีลกษณะเป็ นถุง ั กลวงยืดหยุ่นได้ ผนังของกระเพาะปัสสาวะมีกล้ ามเนือเรียบ 3 ชั5น ที 5 คอของกระเพาะจะมีกล้ ามเนือหูรูดทวารเบามัดใน (internal 5 sphincter muscle) ซึงเป็ นกล้ ามเนือลาย 5 • ทําหน้ าทีเป็ นทีเก็บสะสมนําปัสสาวะและขับถ่ ายเมือเวลาเหมาะสม 5
60.
ท่ อปัสสาวะ (urethra) •
เป็ นส่ วนสุ ดท้ ายของทางเดินปัสสาวะ • ในผู้ชายมีท่อปัสสาวะยาวประมาณ 8 นิวส่ วนใหญ่ ผู้หญิงจะมีท่อ 5 ปัสสาวะยาว 1.5 นิว 5 • ผู้ชายท่ อปัสสาวะของจะเปิ ดเข้ าสู่ อวัยวะสั งวาส (penis) เป็ น ทางผ่ านของสเปิ ร์ ม (sperm) • ผู้หญิงท่ อปัสสาวะไม่ ได้ ผ่านคลิสทอริส (clitoris) และ ไม่ ได้ รวมกับช่ องคลอด (vagina) แต่ จะเปิ ดออกสู่ ภายนอก โดยตรง
61.
การขับถ่ ายปัสสาวะประกอบด้ วย 1.
จํานวนปัสสาวะ หากปัสสาวะเพิมมากขึนตั5งแต่ 150 - 400 ลบ.ซม. 5 ทําให้ ผนังกระเพาะปัสสาวะตึงขึน 5 2. เกิดรีเฟลกซ์ การถ่ ายปัสสาวะเนืองจากการตึงของผนังกระเพาะปัสสาวะมี ผลทําให้ เกิดกระแสประสาทส่ งไปยังไขสั นหลังและสมองแล้ วส่ งกระแส ประสาทกลับมากระตุ้นให้ กล้ ามเนือเรียบทีผนังกระเพาะปัสสาวะบีบตัว 5 3. ยิงความดันกระเพาะปัสสาวะมาก ยิงทําให้ เกิดการอยากถ่ ายปัสสาวะมากขึน 5 มีผลในการกระตุ้นให้ สมองส่ งกระแสประสาทมายังกล้ ามเนือหูรูดมัดนอกของ 5 กระเพาะปัสสาวะให้ คลายตัวและเกิดการถ่ ายปัสสาวะขึน 5
62.
เส้นเลือดทีไต • รีนัลอาร์ เทอรี
(renal artery) เป็ นเส้ นเลือดแดงทีนําเลือด เข้ าสู่ ไต บริเวณรอยบุ๋มตอนกลางไต • อินเตอร์ โลบาร์ อาร์ เทอรี (interlobar artery) เส้ นเลือดแตก แขนงออกจากรีนัลอาร์ เทอรีแทรกเข้ าไปในเนือไตส่ วนใน 5 • อาร์ ควเอตอาร์ เทอรี (arcute artery) เส้ นนีจะมีเส้ นเลือดทอดโค้ ง ิ 5 อยู่ระหว่ างเนือไตส่ วนนอกและเนือไตส่ วนใน 5 5 • เส้ นเลือดแตกแขนงจากอาร์ ควเอตอาร์ เทอรี ในแนวตั5งฉาก เรียกว่ า แอฟเฟอร์ ิ เรนต์ อาร์ เทอริโอล (afferent arteriole) และ โกลเมอรู ลส ั
63.
• จากโกลเมอรู ลส
จะมีการรวมกันของเส้ นเลือดฝอยเป็ น เส้ น ั เลือดทีออกจากโบว์ แมนแคปซู ล เรียกว่ า เอฟเฟอเรนต์ อาร์ เทอริ โอล (efferent arteriole) • เอฟเฟอเรนต์ อาร์ เทอริโอล จะแตกแขนงเป็ นกลุ่มเส้ นเลือดฝอยอีก และกลุ่มเส้ นเลือดฝอยนีจะพันเป็ นตาข่ ายอยู่รอบๆ ท่ อหน่ วยไต 5 (renal tubule) แล้ วจึงรวมกันเป็ นเส้ นเลือดดําและออก จากไตทางเส้ นเลือดดํา รีนัล เวน (renal vein)
64.
หน้าทีของไต • ขับถ่ ายของเสี
ย เช่ น ยูเรีย • เก็บสารบางอย่ างทีเป็ นประโยชน์ ต่อร่ างกาย เช่ น กลูโคส กรดอะมิโน โดยการดูดกลับ • ควบคุมสมดุลนําของร่ างกาย โดยการดูดนํากลับทีหลอดไต ทําให้ 5 5 ปัสสาวะข้ นขึน5 • ควบคลุมความเป็ นกรด-เบสของเหลวในร่ างกาย โดยการขับไฮโดรเจน ไอออน (H+-)เข้ าสู่ หลอดไต และดูดไฮโดรเจนคาร์ บอเนตไอออน (HCO -) กลับสู่ เลือด • สร้ างสารบางชนิดทีเป็ นประโยชน์ ต่อร่ างกาย เช่ น ฮอร์ โมนชนิดต่ างๆ
66.
กระบวนการทํางานของไตในการทําให้ เกิดนําปัสสาวะ
5 กระบวนการพืนฐานทีสํ าคัญ 3 ขั5นตอน คือ 5 • 1) Ultrafiltration • 2) Tubular secretion • 3) Tubular reabsorption
67.
1. Ultrafiltration (การกรอง) •
ทําให้ เกิดปัสสาวะขึนที glomerulusโดยกรองเอาพลาสมา 5 พลาสมาจะถูกกรองหมด ยกเว้ น โปรตีนและเม็ดเลือดจาก glomerulus ลงไปยัง Bowman's capsule ของเหลวไหลผ่ านไป ท่ อไตส่ วนต่ างๆ ขณะทีผ่ านไปในท่ อไตของเหลวทีถูกกรองมาจาก glomerulus ซึงเรี ยกว่ า filtrate จะถูกทําให้ องค์ ประกอบ เปลียนแปลงไปโดยกระบวนการอีก 2 อย่ าง คือการดูดกลับและ การขับ ออกของสารบางอย่ างโดยท่ อไต
68.
2. Tubular secretion
(การขับออก) • คือ การขนถ่ ายสารจากเลือด เข้ าไปยังท่ อไต • กระบวนการนีเ5 ป็ น selective process หมายความว่ า ไม่ ใช่ สารทุกตัวในเลือดจะถูกขับออกมาในท่ อไตหมด จะมีเฉพาะบางตัว เท่ านั5น เช่ น PAH ( p-aminohippuric acid ) และ H+ เป็ น ต้ น
69.
3. Tubular reabsorption
(การดูด กลับ) • คือ สารบางตัวทีเป็ นประโยชน์ จะถูกดูดกลับจากท่ อไตกลับ เข้ าเส้ น เลือด เช่ น glucose และ Na+ เป็ นต้ น • ในคน วันๆ หนึงพลาสมาจะถูกกรองที glomerulus ประมาณ 180 ลิตร แต่ ปัสสาวะทีถูกขับออกมาปกติเพียง 1.5 - 2 ลิตรต่ อวัน • การดูดกลับของพลาสมาทีถูกกรองมาในขั5นแรกมากถึง 99 %
70.
ไตกับการรักษาสมดุล 1. Antidiuretic hormone
: ADH • ผลิตจากต่ อมใต้ สมองส่ วนหลัง • เมือร่ างกายขาดนํา แรงดันออสโมติกในเลือดสู ง คือนําในเลือดตํา ต่ อมใต้ 5 5 สมอง hypothalamus หลัง ADH เข้ าสู่ กระแสเลือด • กระตุ้นหน่ วยไตและท่ อรวมดูดนํากลับคืนสู่ หลอดเลือดปริมาณนําในเลือดสู งขึน 5 5 5 • กรณีทเกิดภาวะขาดนําhypothalamus กระตุ้นให้ ร่างกายกระหายนํา ี 5 5 • เมือดืมนํา แรงดันออสโมติกในเลือดจะตําลง สู่ ภาวะปกติ 5
71.
2. Aldosterone • ผลิตจากต่
อมหมวกไต • ทําหน้ าที ควบคุมสมดุลนําและแร่ ธาตุ 5 หรือการดูดกลับของโซเดียมและกลูโคส
73.
การดูดกลับของสารทีไตอาศัย 2 กระบวนการ
คือ • ACTIVE TRANSPORT – การดูดกลับของสารทีมีความจําเป็ นต่ อร่ างกาย เช่ น กลูโคส วิตามิน กรดอะมิโน ฮอร์ โมน และไอออนต่ างๆ • OSMOSIS – เป็ นการดูดกลับของนํา 5
75.
ความผิึϸกติทกิึϸับไต
ี • โรคนิว – อาจเกียวข้ องกับกรรมพันธุ์สาเหตุทแท้ จริงยังไม่ ทราบแน่ นอน ี – อาการ ปวดท้ อง ปวดหลัง ปัสสาวะขัด ปัสสาวะเป็ นเลือด ปัสสาวะทีมีก้อนนิวหลุดออกมาเหมือนเศษทรายเล็กๆ – โรคแทรกซ้ อน เช่ น กรวยไตอักเสบจากการติดเชื5อ ท่ อไต หรือท่ อ ปัสสาวะอุดตันจากนิว อุดตันนานๆ ทําให้ เกิดไตวายได้
76.
• ภาวะไตวาย
– สาเหตุโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสู ง ต้ องรักษาโดยการล้ าง ไต หรือผ่ าตัดเปลียนไต หากรักษาโรคทั5งสองนีได้ กจะทําให้ โรคไต 5 ็ ทีเกิดขึนทุเลา หรือชะลอการเปลียนแปลงได้ 5 – โรคไตอักเสบ ซึงจะทําให้ เกิดการทําลายของหน่ วยกรองไต บาง รายไม่ ทราบสาเหตุ บางรายถ่ ายทอดทางพันธุกรรม และบางรายมี การติดเชื5อเป็ นสาเหตุเสริม
77.
การรักษาอุณหภูมภายในร่ างกาย
ิ 1. โครงสร้ างของร่ างกาย เช่ น สั ตว์ ในเขตหนาวมีขนยาว 2. กลไกทางสรีรวิทยา HYPOTHALAMUS ไวต่ ออากาศหนาว เช่ น • ทําให้ เส้ นเลือดทีนําเลือดมาเลียงผิวหนังหดตัว ทําให้ เลือดทีมาเลียงผิวหนังลด 5 5 ปริมาณลง ร่ างกายจะสู ญเสี ยความร้ อนน้ อยลง • กระตุ้นเส้ นประสาทควบคุมการหดตัวของกล้ ามเนือโคนขน ทําให้ ขนลุกชัน 5 และกล้ ามเนือให้ หดตัวจนเกิดอาการสั น 5 • กระตุ้นให้ ต่อมไร้ ท่อหลังฮอร์ โมน กระตุ้นปฏิกริยาการสลายอาหารให้ ปล่ อย ิ พลังงานออกมาเพิม เพือชดเชยความร้ อนทีร่ างกายสู ญเสี ยไป
78.
การปรับพฤติกรรม • สุ นัข
จะระบายความร้ อนทางลินและเพดานปาก เรียกว่ า หอบ 5 • แมว ระบายความร้ อนโดยการเลียอุ้งเท้ า • ควาย นอนแช่ ปลักโคลนเพือระบายความร้ อนไปสู่ นํา 5 • การจําศีลของกบ คือ การอยู่นิงๆไม่ เคลือนไหว มีอตราเมแทบอลิ ั ซึมตํา • การหนีหนาวของ หนู กระรอก และค้ างคาวบางชนิด คือ การนิงๆ ไม่ เคลือนไหว
79.
การรักษาสมดุลของกรด-เบสในร่ างกาย • รักษาสมดุลของกรด-เบสมีอยู่
3 แบบ คือ 1. ระบบหายใจ โดยการควบคุมปริมาณ CO2 ของสมองส่ วน MEDULLA OBLONGATA 2. ระบบบัฟเฟอร์ เลือดจะมี pH อยู่ระหว่ าง 7.35 – 7.45 3. ระบบขับถ่ าย โดยการขับออกทางปัสสาวะมีประสิ ทธิภาพในการ รักษาสมดุลสู ง แต่ ทางานได้ ช้ากว่ าระบบอืนๆ ํ
80.
การรักษาสมดุลของแร่ ธาตุ ปลานําจืด เลือดทีเข้
มข้ นกว่ านําทีอยู่รอบตัว 5 5 ลําตัวปลาจะถูกปก คลุมด้ วยหนังและเกล็ด • ปลานําจืดกินเฉพาะอาหารเท่ านั5น ไม่ ยอมกินนําเลย 5 5 • เหงือกปลานําจืดมีกลุ่มซลล์ พเิ ศษคอยดูดซึมเกลือแร่ ชนิดต่ างทีจําเป็ น 5 โดยกระบวนการแอกทีฟทรานสปอร์ ต • ขับถ่ ายปัสสาวะบ่ อย และค่ อนข้ างเจือจาง
81.
ปลาทะเล ปลากระดูกแข็ง เช่ น
ปลาอินทรี • เลือดมีความ เข้ มข้ นน้ อยกว่ านําทะเลทีอยู่รอบตัว 5 • ร่ างกายจะมีผวหนังและเกล็ดเป็ นตัวปองกันไม่ ใช้ แร่ ธาตุจากนําทะเล ิ ้ 5 ซึมผ่ านเข้ าสู่ ร่างกาย • เหงือกจะมีกลุ่มซลล์ ทาหน้ าทีขับแร่ ธาตุทมีมากเกิน ํ ี โดยวิธีแอก ทีฟทรานสปอร์ ต • แร่ ธาตุทเข้ าไปพร้ อมกับอาหาร จะผ่ านทางเดินอาหารเดินอาหารไป ไม่ ี มีการดูดซึมเข้ าสู่ ซลล์ กําจัดออกทางทวารหนัก
82.
ปลากระดูกอ่ อน เช่
น ปลาฉลาม ปลากระเบน • ความเข้ มข้ นของเลือดสู งกว่ านําทะเลเล็กน้ อย 5 • ไตมีโกลเมอรู ลสขนาดใหญ่ ทําให้ กรองของเหลวได้ มาก ั ปัสสาวะทีขับออกมากเจือจางกว่ าเลือด • มีต่อมเรกทัล (rectal gland) ช่ วยดูดเกลือแร่ ทมากเกินออก ี จากเลือด แล้ วขับถ่ ายออกมากับอุจจาระ
84.
สั ตว์ ทะเลชั5นตํา
เช่ น ดอกไม้ ทะเล แมงกะพรุ น • มีการควบคุมสมดุลของเกลือแร่ โดยของเหลวในตัวจะมี ความ เข้ มข้ นเท่ ากับหรือใกล้ เคียงกับนําทะเล ทําให้ สัตว์ รักษา เกลือแร่ ไว้ ใน 5 ร่ างกายได้ ไม่ สูญเสี ยเกลือแร่ ให้ แก่ นําทะเลทีอยู่รอบตัว 5 นกทะเล • มีต่อมพิเศษ เรียกว่ า ต่ อมนาสิ ก (nasalgland) อยู่ไกลตา ทั5งสอง ข้ าง เหมือนจมูก มีท่อทอดมายังจมูก • ขณะกินปลาทะเล หรือนําทะเลเข้ าไป เกลือจะถูกกําจัดโดย 5 กระบวนการแอกทีฟทรานสปอร์ ต ทีต่ อมขับเกลือ
86.
Reference • http://www.mhhe.com/biosci/ap/dynamichu
man2/content/gifs/0176.gif • http://www.lcusd.net/lchs/mewoldsen/Excr etion.htm • http://www.smd.qmul.ac.uk/biomed/kb/micr oanatomy/senior/metabolism/renal/
Download