ݺߣ

ݺߣShare a Scribd company logo
โครงงาȨาษาไทย
          โดย ครูณฐญา กาลันสีมา
                  ั
ครู ช้านาญการ โรงเรียนถ้าปินวิทยาคม สพม.36
ตัวอย่างโครงงานกลุ่มสาระภาษาไทย
- กาเมียงลับแลแป๋ เป็ นไทย(ภาษาถิ่นลับแลแปลเป็ นภาษาไทยกลาง) โรงเรียน
  เทศบาลวัดคลองโพธิ์
  - คิดสนุกวรรณยุกต์พาเพลิน โรงเรียนเทศบาลท่าอิฐ
  - ปริศนาคาทาย ฉายความหมาย โรงเรียนเทศบาลวัดท้ายตลาด(กวีธรรมสาร)
  - การใช้ภาษาของกลุมบุคคลในวงการเมือง วงการธุรกิจและวงการบันเทิง จาก
                      ่
  หนังสือพิมพ์ โรงเรียนเทศบาลวัดหนองผา
โครงงาȨาษาไทย
ความหมาย
       โครงงานหมายถึง กิจกรรมทีเ่ ปิ ดโอกาสให้ผูเ้ รียนได้ศึกษา
 ค้นคว้าและลงมือปฏิบติดวยตนเองตามความสามารถ ความถนัด และ
                    ั ้
 ความสนใจ โดยอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หรือกระบวนการอื่น
 ใดไปใช้ในการศึกษาหาคาตอบในเรื่องนันๆ ้
ประเภทของโครงงาน
๑.๑ โครงงานประเภทสารวจ
              โครงงานประเภทสารวจ เป็ นโครงงานประเภทเก็บ
  รวบรวมข้อมูลเพื่อหาสาเหตุของปั ญหาหรือสารวจความคิด
               ่                                ่
  เห็น ข้อมูลทีรวบรวมได้บางอย่างอาจเป็ นปั ญหาทีนาไปสูการ
                                                      ่
                                     ่ ้
  ทดลองหรือค้นพบสาเหตุ ของปั ญหาทีตองหาวิธีแก้ไขปรับปรุง
                                   ่ ั
  ร่วมกัน เช่น โครงงานการสารวจคาทีมกเขียนผิด โครงงาน
  สารวจการใช้คาคะนองในหนังสือพิมพ์ เป็ นต้น
 ๑.๒ โครงงานประเภทการทดลอง
            โครงงานประเภทการทดลอง เป็ นโครงงานที่ตองออกแบบ
                                                  ้
 ทดลอง เพื่อการศึกษาผลการทดลองว่าเป็ นไปตามที่ตงสมมติฐานไว้
                                               ั้
 หรือไม่ โครงงานประเภทนี้ตองสรุปความรูหรือผลการทดลองเป็ น
                          ้            ้
 หลักการหรือแนวทางการ ปฏิบติไว้ เช่น โครงงานการทดลองยากันยุง
                             ั
 จากพืชสมุนไพร โครงงานการทดลองปลูกพืชสวนครัวโดยใช้ปุ๋ย
 วิทยาศาสตร์ เป็ นต้น
 ๑.๓                   ่
       โครงงานประเภทสิงประดิษฐ์
            โครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์ เป็ นโครงงานทีประยุกต์
                                                         ่
 หลักการทางวิทยาศาสตร์เข้าสู่กระบวนการปฏิบติ โดยอาศัยเครื่องมือ
                                                  ั
 วัสดุ อุปกรณ์ เพื่อประดิษฐ์ช้ ินงานใหม่ อาจเป็ นของใช้ เครื่องประดับ
 จากวัสดุเหลือใช้ หรือนาวัสดุทองถิ่นทีมีมากมายมาใช้ให้เกิดประโยชน์
                                 ้     ่
 เช่น โครงงานการประดิษฐ์เครื่องจักสานจากผักตบชวา โครงงานการ
 ประดิษฐ์เครื่องช่วยสอนวิชาภาษาอังกฤษ เป็ นต้น
 โครงงานประเภททฤษฎี
                                                   ่ ั
               โครงงานประเภททฤษฎี เป็ นโครงงานทีมีลกษณะเป็ นการ
  หาความรูใ้ หม่ โดยการรวบรวมข้อมูลและนามาวิเคราะห์จากสถิติแล้ว
  อภิปราย หรือเป็ นโครงงานทีศึกษาค้นคว้าข้อมูลทีเ่ กิดจากข้อสงสัย
                               ่
  อาจเป็ นการนาบทเรียนมาขยายเพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมให้ได้ความรู ้
  ในแง่มุม ที่กว้างและลึกกว่าเดิม เช่น โครงงานการศึกษาคาซ้อนใน
  วรรณคดีรอยแก้ว โครงงานการศึกษาข้อคิดจากเรื่องพระมโหสถชาดก
             ้
  เป็ นต้น
ขันตอนการทาโครงงาน
  ้
         การทาโครงงานมีขนตอนการปฏิบติ ดังนี้
                        ั้         ั
                                   ่                                  ่
     ๒.๑ การคิดและการเลือกหัวเรือง ผูเ้ รียนจะต้องคิด และเลือกหัวเรืองของ
    โครงงานด้วยตนเองว่าอยากจะศึกษาอะไร ทาไมจึงอยากศึกษา หัวเรืองของ  ่
    โครงงานมักจะได้มาจากปั ญหา คาถามหรือความอยากรูอยากเห็นเกี่ยวกับเรือง
                                                           ้              ่
    ต่างๆ ของผูเ้ รียนเอง หัวเรืองของโครงงานควรเฉพาะเจาะจงและชัดเจน เมื่อใคร
                                ่
         ่ ่ ่                           ่
    ได้อานชือเรืองแล้วควรเข้าใจและรูเ้ รืองว่าโครงงานนี้ทาจากอะไร การกาหนดหัว
       ่                          ่
    เรืองของโครงงานนันมีแหล่งทีจะช่วยกระตุนให้เกิดความคิดและ ความสนใจหลาย
                        ้                      ้
    แหล่งด้วยกัน เช่น จากการอ่านหนังสือ เอกสาร บทความ การเยียมชมสถานที่
                                                                   ่
    ต่างๆ การฟังบรรยายทางวิชาการ การเข้าชมนิทรรศการหรืองานประกวด
    โครงงานทางวิทยาศาสตร์ การสนทนากับบุคคลต่างๆ หรือจาการสังเกต
    ปรากฏการณ์ตางๆ รอบตัว เป็ นต้น
                     ่
นอกจากนี้ ควรคานึงถึงประเด็นต่อไปนี้
          - ความเหมาะสมของระดับความรู ้ ความสามารถของผูเ้ รียน
                               ่
             - วัสดุ อุปกรณ์ ทีใช้
             - งบประมาณ
             - ระยะเวลา
             - ความปลอดภัย
             - แหล่งความรู ้
 ๒.๒     การวางแผน
               การวางแผนการทาโครงงาน จะรวมถึงการเขียนเค้าโครง
 ของโครงงาน ซึงต้องมีการวางแผนไว้ล่วงหน้า เพื่อให้การดาเนินการ
                  ่
 เป็ นไปอย่างรัดกุมและรอบคอบ ไม่สบสน แล้วนาเสนอต่อผูสอนหรือ
                                  ั                    ้
 ครูทปรึกษาเพื่อขอความเห็นชอบก่อนดาเนินการขัน ต่อไป การเขียน
       ี่                                      ้
 เค้าโครงของโครงงาน โดยทัวไป เขียนเพื่อแสดงแนวคิด แผนงาน และ
                           ่
 ขันตอนการทาโครงงาน ซึ่งควรประกอบด้วยหัวข้อต่อไปนี้
   ้
                  ๑) ชือโครงงาน ควรเป็ นข้อความทีกะทัดรัด ชัดเจน สื่อ
                         ่                               ่
    ความหมายได้ตรง
                           ่ ้
                   ๒) ชือผูทาโครงงาน
                        ่ ่
                   ๓) ชือทีปรึกษาโครงงาน
                   ๔) หลักการและเหตุผลของโครงงาน เป็ นการอธิบายว่าเหตุใด
                               ่
    จึงเลือกทาโครงงานเรืองนี้ มีความสาคัญอย่างไร มีหลักการหรือทฤษฎีอะไร
    ทีเ่ กี่ยวข้อง เรืองทีทาเป็ นเรืองใหม่หรือมีผูอนได้ศึกษาค้นคว้าเรืองนี้ไว้บาง
                      ่ ่           ่             ้ ื่                ่         ้
    แล้ว ถ้ามีได้ผลอย่างไร เรืองทีทาได้ขยายเพิ่มเติม ปรับปรุงจากเรื่องทีผูอน
                                  ่ ่                                         ่ ้ ่ื
    ทาไว้อย่างไร หรือเป็ นการทาซาเพื่อตรวจสอบผล
                                       ้
                   ๕) จุดมุงหมายหรือวัตถุประสงค์ควรมีความเฉพาะเจาะจง และ
                             ่
                                                       ่
    สามารถวัดได้ เป็ นการบอกขอบเขตของงานทีจะทาได้ชดเจนขึ้น   ั
                ๖) สมมติฐานของการศึกษาค้นคว้า (ถ้ามี) สมมติฐานเป็ นคาตอบ
                     ่               ่
    หรือคาอธิบายทีคาดไว้ล่วงหน้า ซึงอาจจะถูกหรือไม่ก็ได้ การเขียนสมมติฐานควร
                                             ่                        ่
    มีเหตุมผลมีทฤษฎีหรือหลักการรองรับ และทีสาคัญ คือ เป็ นข้อความทีมองเห็น
           ี
    แนวทางในการดาเนินการทดสอบได้ นอกจากนี้ควรมีความสัมพันธ์ระหว่างตัว
    แปรอิสระและตัวแปรตามด้วย
                ๗) วิธดาเนินงานและขันตอนการดาเนินงาน จะต้องอธิบายว่า จะ
                       ี               ้
    ออกแบบการทดลองอะไรอย่างไร จะเก็บข้อมูลอะไรบ้างรวมทังระบุวสดุอุปกรณ์ท่ี
                                                             ้    ั
    จาเป็ นต้องใช้ มีอะไรบ้าง
                ๘) แผนปฏิบตงาน อธิบายเกี่ยวกับกาหนดเวลาตังแต่เริมต้นจนเสร็จ
                              ัิ                               ้    ่
    สิ้นการดาเนินงานในแต่ละขันตอน้
                         ่
                ๙) ผลทีคาดว่าจะได้รบ
                                   ั
                ๑๐) เอกสารอ้างอิง
 ๒.๓    การดาเนินงาน เมื่อทีปรึกษาโครงงานให้ความเห็นชอบเค้าโครง
                             ่
                                 ้        ั          ้     ่
 ของโครงงานแล้ว ต่อไปก็เป็ นขันลงมือปฏิบติงานตามขันตอนทีระบุไว้
 ผูเ้ รียนต้องพยายามทาตามแผนงานที่วางไว้ เตรียมวัสดุอุปกรณ์และ
          ่
 สถานทีให้พร้อมปฏิบติงานด้วยความละเอียดรอบคอบ คานึงถึงความ
                      ั
 ประหยัดและปลอดภัยในการทางาน ตลอดจนการบันทึกข้อมูลต่างๆ
 ว่าได้ทาอะไรไปบ้าง ได้ผลอย่างไร มีปัญหาและข้อคิดเห็นอย่างไร
 พยายามบันทึกให้เป็ นระเบียบและครบถ้วน
 ๒.๔  การเขียนรายงาน
               การเขียนรายงานเกี่ยวกับโครงงาน เป็ นวิธีสื่อความหมาย
 วิธีหนึ่งทีจะให้ผูอื่นได้เข้าใจถึงแนวคิด วิธีการดาเนินงาน ผลทีได้
            ่      ้                                           ่
 ตลอดจนข้อสรุปและข้อเสนอแนะต่างๆ ทีเ่ กี่ยวกับโครงงานนัน การ ้
                                 ่่
 เขียนโครงงานควรใช้ภาษาทีอานแล้วเข้าใจง่าย ชัดเจนและครอบคลุม
 ประเด็นสาคัญๆ ทังหมดของโครงงาน
                        ้
 ๒.๕ การนาเสนอผลงาน
              การนาเสนอผลงาน เป็ นขันตอนสุดท้ายของการทา
                                    ้
 โครงงานและเข้าใจถึงผลงานนัน การนาเสนอผลงานอาจทาได้หลาย
                              ้
 รูปแบบ ขึ้นอยูกบความเหมาะสมต่อประเภทของโครงงาน เนื้อหา เวลา
                 ่ ั
 ระดับของผูเ้ รียน เช่น การแสดงบทบาทสมมติ การเล่าเรื่อง การเขียน
                                                        ่
 รายงาน สถานการณ์จาลอง การสาธิต การจัดนิทรรศการ ซึงอาจมีทง      ั้
 การจัดแสดงและการอธิบายด้วยคาพูด หรือการรายงานปากเปล่า การ
 บรรยาย สิ่งสาคัญคือ พยายามทาให้การแสดงผลงานนันดึงดูดความ
                                                  ้
 สนใจของผูชม มีความชัดเจน เข้าใจง่าย และมีความถูกต้องของเนื้อหา
            ้
๓. การเขียนรายงานโครงงาน
     การเขียนรายงานโครงงาน เป็ นรูปแบบหนึ่งของการนาเสนอ
                   ่
 ผลงานของโครงงานทีผูเ้ รียนได้ศึกษาค้นคว้า ตังแต่ตนจนจบ การ
                                             ้ ้
 กาหนดหัวข้อในการเขียนรายงานโครงงานอาจไม่ระบุตายตัวเหมือนกัน
 ทุกโครงงาน ส่วนประกอบของหัวข้อในรายงานต้องเหมาะสมกับ
 ประเภทของโครงงานและระดับชันของ ผูเ้ รียน องค์ประกอบของการ
                              ้
 เขียนรายงานโครงงาน แบ่งกว้างๆ เป็ น ๓ ส่วน ดังนี้
๑. ส่วนปกและส่วนต้น ส่วนปกและส่วนต้น ประกอบด้วย
                    ่
             ๑) ชือโครงงาน
                        ่ ้                                ี่ ั
             ๒) ชือผูทาโครงงาน ชัน โรงเรียน และวันเดือนปี ทจดทา
                                  ้
                      ่        ี่
             ๓) ชืออาจารย์ทปรึกษา
             ๔) คานา
             ๕) สารบัญ
             ๖) สารบัญตาราง หรือภาพประกอบ (ถ้ามี)
                            ้ ่                        ่             ่
             ๗) บทคัดย่อสันๆ ทีบอกเค้าโครงอย่างย่อๆ ซึงประกอบด้วย เรือง
  วัตถุประสงค์ วิธการศึกษา ระยะเวลา และสรุปผล
                  ี
             ๘) กิตติกรรมประกาศ เพื่อแสดงความขอบคุณบุคคล หรือหน่วยงาน
    ่
  ทีให้ความช่วยเหลือหรือมีสวนเกี่ยวข้อง
                             ่
่
 ๒. ส่วนเนื้อเรือง
          ส่วนเนื้อเรื่อง ประกอบด้วย
          ๑) บทนา บอกความเป็ นมา ความสาคัญของโครงงาน
บอกเหตุผล หรือเหตุจูงใจในการเลือกหัวข้อโครงงาน
          ๒) วัตถุประสงค์ของโครงงาน
          ๓) สมมติฐานของการศึกษาค้นคว้า
๔) การดาเนินงาน อาจเขียนเป็ นตาราง แผนผังโครงงานเพื่อให้การ
                              ่
 ดาเนินงานเป็ นไปตามหัวข้อเรือง ตรงตามวัตถุประสงค์ของโครงงาน และ
                                           ่
 พิสูจน์คาตอบ (สมมติฐาน) ตามประเด็นทีกาหนด ดังตัวอย่างการเขียน
 แผนผังโครงงานต่อไปนี้
            ในแผนผังโครงงานทาให้เห็นระบบการทางานอย่างมีเป้ าหมาย
                                   ่ ่ ่ ้
 มีการวางแผนการทางาน จะเห็นได้วาสิงทีตองการทราบ คือ หัวข้อย่อย
 หรือคาถามย่อยของหัวข้อโครงงาน ถ้ามีมาก ๑ ข้อ ก็จะเรียงลาดับทีละ
 หัวข้อ พร้อมทังบอกสมมติฐาน วิธีศึกษา และแหล่งศึกษาค้นคว้าตาม
               ้
                        ่ ่ ้
 แผนผังให้ครบทุกข้อ สิงทีตองการทราบ สมมติฐาน วิธีการศึกษา แหล่ง
                                         ่             ่ ้
 ศึกษา/แหล่งข้อมูล หัวข้อย่อยจากหัวข้อเรืองของโครงงานทีตองการหา
 คาตอบ การตอบคาถามล่วงหน้า ค้นคว้า สอบถาม สัมภาษณ์ สังเกต
 ศึกษาโดยการดู-ฟั ง จากสือชนิดต่างๆ - เอกสาร หนังสือ - สถานที่ บุคคล
                          ่
๕) สรุปผลการศึกษา เป็ นการอธิบายคาตอบทีได้จาก
                                               ่
การศึกษาค้นคว้า ตามหัวข้อย่อยที่ตองการทราบ ว่าเป็ นไปตาม
                                 ้
สมมติฐานหรือไม่
         ๖) อภิปรายผล บอกประโยชน์ หรือคุณค่าของผลงานทีได้่
และบอกข้อจากัดหรือปั ญหา อุปสรรค (ถ้ามี) พร้อมทังบอก
                                                ้
ข้อเสนอแนะในการศึกษาค้นคว้า โครงงานลักษณะใกล้เคียงกัน
๓. ส่วนท้าย

              ส่วนท้าย ประกอบด้วย
                ๑) บรรณานุกรม หรือ เอกสารอ้างอิง หรือเอกสารทีใช้คนคว้า ซึ่งมีหลาย
                                                                   ่ ้
                                                        ่
   ประเภท เช่น หนังสือ ตารา บทความ หรือคอลัมน์ ซึงจะมีวธีการเขียนบรรณานุกรม
                                                              ิ
   ต่างกัน เช่น
                           ่              ่                 ่                     ่
                หนังสือ ชือ นามสกุล. ชือหนังสือ. สถานทีพิมพ์ : สานักพิมพ์, ปี ทีพิมพ์
                บทความในวารสาร ชือผูเ้ ขียน "ชือบทความ," ชือวารสาร. ปี ทีหรือเล่มที่
                                        ่           ่           ่               ่
   : หน้า ;วัน เดือน ปี .
                คอลัมน์จากหนังสือพิมพ์ ์์ ชือผูเ้ ขียน "ชือคอลัมน์ : ชือเรื่องในคอลัมน์"
                                            ่             ่            ่
     ่
   ชือหนังสือพิมพ์.วัน เดือน ปี . หน้า.
                ๒) ภาคผนวก เช่น โครงร่างโครงงาน ภาพกิจกรรม แบบสอบถาม บท
   สัมภาษณ์
เข้าใจแล้ว ก็ลงมือทาโครงงาȨาษาไทยได้เลยจ้า

More Related Content

โครงงาȨาษาไทย

  • 1. โครงงาȨาษาไทย โดย ครูณฐญา กาลันสีมา ั ครู ช้านาญการ โรงเรียนถ้าปินวิทยาคม สพม.36
  • 2. ตัวอย่างโครงงานกลุ่มสาระภาษาไทย - กาเมียงลับแลแป๋ เป็ นไทย(ภาษาถิ่นลับแลแปลเป็ นภาษาไทยกลาง) โรงเรียน เทศบาลวัดคลองโพธิ์ - คิดสนุกวรรณยุกต์พาเพลิน โรงเรียนเทศบาลท่าอิฐ - ปริศนาคาทาย ฉายความหมาย โรงเรียนเทศบาลวัดท้ายตลาด(กวีธรรมสาร) - การใช้ภาษาของกลุมบุคคลในวงการเมือง วงการธุรกิจและวงการบันเทิง จาก ่ หนังสือพิมพ์ โรงเรียนเทศบาลวัดหนองผา
  • 4. ความหมาย โครงงานหมายถึง กิจกรรมทีเ่ ปิ ดโอกาสให้ผูเ้ รียนได้ศึกษา ค้นคว้าและลงมือปฏิบติดวยตนเองตามความสามารถ ความถนัด และ ั ้ ความสนใจ โดยอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หรือกระบวนการอื่น ใดไปใช้ในการศึกษาหาคาตอบในเรื่องนันๆ ้
  • 5. ประเภทของโครงงาน ๑.๑ โครงงานประเภทสารวจ โครงงานประเภทสารวจ เป็ นโครงงานประเภทเก็บ รวบรวมข้อมูลเพื่อหาสาเหตุของปั ญหาหรือสารวจความคิด ่ ่ เห็น ข้อมูลทีรวบรวมได้บางอย่างอาจเป็ นปั ญหาทีนาไปสูการ ่ ่ ้ ทดลองหรือค้นพบสาเหตุ ของปั ญหาทีตองหาวิธีแก้ไขปรับปรุง ่ ั ร่วมกัน เช่น โครงงานการสารวจคาทีมกเขียนผิด โครงงาน สารวจการใช้คาคะนองในหนังสือพิมพ์ เป็ นต้น
  • 6.  ๑.๒ โครงงานประเภทการทดลอง โครงงานประเภทการทดลอง เป็ นโครงงานที่ตองออกแบบ ้ ทดลอง เพื่อการศึกษาผลการทดลองว่าเป็ นไปตามที่ตงสมมติฐานไว้ ั้ หรือไม่ โครงงานประเภทนี้ตองสรุปความรูหรือผลการทดลองเป็ น ้ ้ หลักการหรือแนวทางการ ปฏิบติไว้ เช่น โครงงานการทดลองยากันยุง ั จากพืชสมุนไพร โครงงานการทดลองปลูกพืชสวนครัวโดยใช้ปุ๋ย วิทยาศาสตร์ เป็ นต้น
  • 7.  ๑.๓ ่ โครงงานประเภทสิงประดิษฐ์ โครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์ เป็ นโครงงานทีประยุกต์ ่ หลักการทางวิทยาศาสตร์เข้าสู่กระบวนการปฏิบติ โดยอาศัยเครื่องมือ ั วัสดุ อุปกรณ์ เพื่อประดิษฐ์ช้ ินงานใหม่ อาจเป็ นของใช้ เครื่องประดับ จากวัสดุเหลือใช้ หรือนาวัสดุทองถิ่นทีมีมากมายมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ้ ่ เช่น โครงงานการประดิษฐ์เครื่องจักสานจากผักตบชวา โครงงานการ ประดิษฐ์เครื่องช่วยสอนวิชาภาษาอังกฤษ เป็ นต้น
  • 8.  โครงงานประเภททฤษฎี ่ ั โครงงานประเภททฤษฎี เป็ นโครงงานทีมีลกษณะเป็ นการ หาความรูใ้ หม่ โดยการรวบรวมข้อมูลและนามาวิเคราะห์จากสถิติแล้ว อภิปราย หรือเป็ นโครงงานทีศึกษาค้นคว้าข้อมูลทีเ่ กิดจากข้อสงสัย ่ อาจเป็ นการนาบทเรียนมาขยายเพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมให้ได้ความรู ้ ในแง่มุม ที่กว้างและลึกกว่าเดิม เช่น โครงงานการศึกษาคาซ้อนใน วรรณคดีรอยแก้ว โครงงานการศึกษาข้อคิดจากเรื่องพระมโหสถชาดก ้ เป็ นต้น
  • 9. ขันตอนการทาโครงงาน ้ การทาโครงงานมีขนตอนการปฏิบติ ดังนี้ ั้ ั  ่ ่ ๒.๑ การคิดและการเลือกหัวเรือง ผูเ้ รียนจะต้องคิด และเลือกหัวเรืองของ โครงงานด้วยตนเองว่าอยากจะศึกษาอะไร ทาไมจึงอยากศึกษา หัวเรืองของ ่ โครงงานมักจะได้มาจากปั ญหา คาถามหรือความอยากรูอยากเห็นเกี่ยวกับเรือง ้ ่ ต่างๆ ของผูเ้ รียนเอง หัวเรืองของโครงงานควรเฉพาะเจาะจงและชัดเจน เมื่อใคร ่ ่ ่ ่ ่ ได้อานชือเรืองแล้วควรเข้าใจและรูเ้ รืองว่าโครงงานนี้ทาจากอะไร การกาหนดหัว ่ ่ เรืองของโครงงานนันมีแหล่งทีจะช่วยกระตุนให้เกิดความคิดและ ความสนใจหลาย ้ ้ แหล่งด้วยกัน เช่น จากการอ่านหนังสือ เอกสาร บทความ การเยียมชมสถานที่ ่ ต่างๆ การฟังบรรยายทางวิชาการ การเข้าชมนิทรรศการหรืองานประกวด โครงงานทางวิทยาศาสตร์ การสนทนากับบุคคลต่างๆ หรือจาการสังเกต ปรากฏการณ์ตางๆ รอบตัว เป็ นต้น ่
  • 10. นอกจากนี้ ควรคานึงถึงประเด็นต่อไปนี้  - ความเหมาะสมของระดับความรู ้ ความสามารถของผูเ้ รียน ่ - วัสดุ อุปกรณ์ ทีใช้ - งบประมาณ - ระยะเวลา - ความปลอดภัย - แหล่งความรู ้
  • 11.  ๒.๒ การวางแผน การวางแผนการทาโครงงาน จะรวมถึงการเขียนเค้าโครง ของโครงงาน ซึงต้องมีการวางแผนไว้ล่วงหน้า เพื่อให้การดาเนินการ ่ เป็ นไปอย่างรัดกุมและรอบคอบ ไม่สบสน แล้วนาเสนอต่อผูสอนหรือ ั ้ ครูทปรึกษาเพื่อขอความเห็นชอบก่อนดาเนินการขัน ต่อไป การเขียน ี่ ้ เค้าโครงของโครงงาน โดยทัวไป เขียนเพื่อแสดงแนวคิด แผนงาน และ ่ ขันตอนการทาโครงงาน ซึ่งควรประกอบด้วยหัวข้อต่อไปนี้ ้
  • 12. ๑) ชือโครงงาน ควรเป็ นข้อความทีกะทัดรัด ชัดเจน สื่อ ่ ่ ความหมายได้ตรง ่ ้ ๒) ชือผูทาโครงงาน ่ ่ ๓) ชือทีปรึกษาโครงงาน ๔) หลักการและเหตุผลของโครงงาน เป็ นการอธิบายว่าเหตุใด ่ จึงเลือกทาโครงงานเรืองนี้ มีความสาคัญอย่างไร มีหลักการหรือทฤษฎีอะไร ทีเ่ กี่ยวข้อง เรืองทีทาเป็ นเรืองใหม่หรือมีผูอนได้ศึกษาค้นคว้าเรืองนี้ไว้บาง ่ ่ ่ ้ ื่ ่ ้ แล้ว ถ้ามีได้ผลอย่างไร เรืองทีทาได้ขยายเพิ่มเติม ปรับปรุงจากเรื่องทีผูอน ่ ่ ่ ้ ่ื ทาไว้อย่างไร หรือเป็ นการทาซาเพื่อตรวจสอบผล ้ ๕) จุดมุงหมายหรือวัตถุประสงค์ควรมีความเฉพาะเจาะจง และ ่ ่ สามารถวัดได้ เป็ นการบอกขอบเขตของงานทีจะทาได้ชดเจนขึ้น ั
  • 13. ๖) สมมติฐานของการศึกษาค้นคว้า (ถ้ามี) สมมติฐานเป็ นคาตอบ ่ ่ หรือคาอธิบายทีคาดไว้ล่วงหน้า ซึงอาจจะถูกหรือไม่ก็ได้ การเขียนสมมติฐานควร ่ ่ มีเหตุมผลมีทฤษฎีหรือหลักการรองรับ และทีสาคัญ คือ เป็ นข้อความทีมองเห็น ี แนวทางในการดาเนินการทดสอบได้ นอกจากนี้ควรมีความสัมพันธ์ระหว่างตัว แปรอิสระและตัวแปรตามด้วย ๗) วิธดาเนินงานและขันตอนการดาเนินงาน จะต้องอธิบายว่า จะ ี ้ ออกแบบการทดลองอะไรอย่างไร จะเก็บข้อมูลอะไรบ้างรวมทังระบุวสดุอุปกรณ์ท่ี ้ ั จาเป็ นต้องใช้ มีอะไรบ้าง ๘) แผนปฏิบตงาน อธิบายเกี่ยวกับกาหนดเวลาตังแต่เริมต้นจนเสร็จ ัิ ้ ่ สิ้นการดาเนินงานในแต่ละขันตอน้ ่ ๙) ผลทีคาดว่าจะได้รบ ั ๑๐) เอกสารอ้างอิง
  • 14.  ๒.๓ การดาเนินงาน เมื่อทีปรึกษาโครงงานให้ความเห็นชอบเค้าโครง ่ ้ ั ้ ่ ของโครงงานแล้ว ต่อไปก็เป็ นขันลงมือปฏิบติงานตามขันตอนทีระบุไว้ ผูเ้ รียนต้องพยายามทาตามแผนงานที่วางไว้ เตรียมวัสดุอุปกรณ์และ ่ สถานทีให้พร้อมปฏิบติงานด้วยความละเอียดรอบคอบ คานึงถึงความ ั ประหยัดและปลอดภัยในการทางาน ตลอดจนการบันทึกข้อมูลต่างๆ ว่าได้ทาอะไรไปบ้าง ได้ผลอย่างไร มีปัญหาและข้อคิดเห็นอย่างไร พยายามบันทึกให้เป็ นระเบียบและครบถ้วน
  • 15.  ๒.๔ การเขียนรายงาน การเขียนรายงานเกี่ยวกับโครงงาน เป็ นวิธีสื่อความหมาย วิธีหนึ่งทีจะให้ผูอื่นได้เข้าใจถึงแนวคิด วิธีการดาเนินงาน ผลทีได้ ่ ้ ่ ตลอดจนข้อสรุปและข้อเสนอแนะต่างๆ ทีเ่ กี่ยวกับโครงงานนัน การ ้ ่่ เขียนโครงงานควรใช้ภาษาทีอานแล้วเข้าใจง่าย ชัดเจนและครอบคลุม ประเด็นสาคัญๆ ทังหมดของโครงงาน ้
  • 16.  ๒.๕ การนาเสนอผลงาน การนาเสนอผลงาน เป็ นขันตอนสุดท้ายของการทา ้ โครงงานและเข้าใจถึงผลงานนัน การนาเสนอผลงานอาจทาได้หลาย ้ รูปแบบ ขึ้นอยูกบความเหมาะสมต่อประเภทของโครงงาน เนื้อหา เวลา ่ ั ระดับของผูเ้ รียน เช่น การแสดงบทบาทสมมติ การเล่าเรื่อง การเขียน ่ รายงาน สถานการณ์จาลอง การสาธิต การจัดนิทรรศการ ซึงอาจมีทง ั้ การจัดแสดงและการอธิบายด้วยคาพูด หรือการรายงานปากเปล่า การ บรรยาย สิ่งสาคัญคือ พยายามทาให้การแสดงผลงานนันดึงดูดความ ้ สนใจของผูชม มีความชัดเจน เข้าใจง่าย และมีความถูกต้องของเนื้อหา ้
  • 17. ๓. การเขียนรายงานโครงงาน การเขียนรายงานโครงงาน เป็ นรูปแบบหนึ่งของการนาเสนอ ่ ผลงานของโครงงานทีผูเ้ รียนได้ศึกษาค้นคว้า ตังแต่ตนจนจบ การ ้ ้ กาหนดหัวข้อในการเขียนรายงานโครงงานอาจไม่ระบุตายตัวเหมือนกัน ทุกโครงงาน ส่วนประกอบของหัวข้อในรายงานต้องเหมาะสมกับ ประเภทของโครงงานและระดับชันของ ผูเ้ รียน องค์ประกอบของการ ้ เขียนรายงานโครงงาน แบ่งกว้างๆ เป็ น ๓ ส่วน ดังนี้
  • 18. ๑. ส่วนปกและส่วนต้น ส่วนปกและส่วนต้น ประกอบด้วย ่ ๑) ชือโครงงาน ่ ้ ี่ ั ๒) ชือผูทาโครงงาน ชัน โรงเรียน และวันเดือนปี ทจดทา ้ ่ ี่ ๓) ชืออาจารย์ทปรึกษา ๔) คานา ๕) สารบัญ ๖) สารบัญตาราง หรือภาพประกอบ (ถ้ามี) ้ ่ ่ ่ ๗) บทคัดย่อสันๆ ทีบอกเค้าโครงอย่างย่อๆ ซึงประกอบด้วย เรือง วัตถุประสงค์ วิธการศึกษา ระยะเวลา และสรุปผล ี ๘) กิตติกรรมประกาศ เพื่อแสดงความขอบคุณบุคคล หรือหน่วยงาน ่ ทีให้ความช่วยเหลือหรือมีสวนเกี่ยวข้อง ่
  • 19. ่ ๒. ส่วนเนื้อเรือง ส่วนเนื้อเรื่อง ประกอบด้วย ๑) บทนา บอกความเป็ นมา ความสาคัญของโครงงาน บอกเหตุผล หรือเหตุจูงใจในการเลือกหัวข้อโครงงาน ๒) วัตถุประสงค์ของโครงงาน ๓) สมมติฐานของการศึกษาค้นคว้า
  • 20. ๔) การดาเนินงาน อาจเขียนเป็ นตาราง แผนผังโครงงานเพื่อให้การ ่ ดาเนินงานเป็ นไปตามหัวข้อเรือง ตรงตามวัตถุประสงค์ของโครงงาน และ ่ พิสูจน์คาตอบ (สมมติฐาน) ตามประเด็นทีกาหนด ดังตัวอย่างการเขียน แผนผังโครงงานต่อไปนี้ ในแผนผังโครงงานทาให้เห็นระบบการทางานอย่างมีเป้ าหมาย ่ ่ ่ ้ มีการวางแผนการทางาน จะเห็นได้วาสิงทีตองการทราบ คือ หัวข้อย่อย หรือคาถามย่อยของหัวข้อโครงงาน ถ้ามีมาก ๑ ข้อ ก็จะเรียงลาดับทีละ หัวข้อ พร้อมทังบอกสมมติฐาน วิธีศึกษา และแหล่งศึกษาค้นคว้าตาม ้ ่ ่ ้ แผนผังให้ครบทุกข้อ สิงทีตองการทราบ สมมติฐาน วิธีการศึกษา แหล่ง ่ ่ ้ ศึกษา/แหล่งข้อมูล หัวข้อย่อยจากหัวข้อเรืองของโครงงานทีตองการหา คาตอบ การตอบคาถามล่วงหน้า ค้นคว้า สอบถาม สัมภาษณ์ สังเกต ศึกษาโดยการดู-ฟั ง จากสือชนิดต่างๆ - เอกสาร หนังสือ - สถานที่ บุคคล ่
  • 21. ๕) สรุปผลการศึกษา เป็ นการอธิบายคาตอบทีได้จาก ่ การศึกษาค้นคว้า ตามหัวข้อย่อยที่ตองการทราบ ว่าเป็ นไปตาม ้ สมมติฐานหรือไม่ ๖) อภิปรายผล บอกประโยชน์ หรือคุณค่าของผลงานทีได้่ และบอกข้อจากัดหรือปั ญหา อุปสรรค (ถ้ามี) พร้อมทังบอก ้ ข้อเสนอแนะในการศึกษาค้นคว้า โครงงานลักษณะใกล้เคียงกัน
  • 22. ๓. ส่วนท้าย ส่วนท้าย ประกอบด้วย ๑) บรรณานุกรม หรือ เอกสารอ้างอิง หรือเอกสารทีใช้คนคว้า ซึ่งมีหลาย ่ ้ ่ ประเภท เช่น หนังสือ ตารา บทความ หรือคอลัมน์ ซึงจะมีวธีการเขียนบรรณานุกรม ิ ต่างกัน เช่น ่ ่ ่ ่ หนังสือ ชือ นามสกุล. ชือหนังสือ. สถานทีพิมพ์ : สานักพิมพ์, ปี ทีพิมพ์ บทความในวารสาร ชือผูเ้ ขียน "ชือบทความ," ชือวารสาร. ปี ทีหรือเล่มที่ ่ ่ ่ ่ : หน้า ;วัน เดือน ปี . คอลัมน์จากหนังสือพิมพ์ ์์ ชือผูเ้ ขียน "ชือคอลัมน์ : ชือเรื่องในคอลัมน์" ่ ่ ่ ่ ชือหนังสือพิมพ์.วัน เดือน ปี . หน้า. ๒) ภาคผนวก เช่น โครงร่างโครงงาน ภาพกิจกรรม แบบสอบถาม บท สัมภาษณ์