ݺߣ

ݺߣShare a Scribd company logo
โครงการเกษตรทฤษฏีใหม่
  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระราชดารัสว่า     ถึงบอกว่า
  เศรษฐกิจพอเพียง และทฤษฎีใหม่ สองอย่างนี้จะทาความเจริญแก่
  ประเทศได้ แต่ต้องมีความเพียร แล้วต้องอดทน ต้องไม่ใจร้อน       (
  สานักพระราชวัง, ๒๕๔๒: ๓๑)
บทนา
   ปัญหาหลักของเกษตรกรในอดีตจนถึงปัจจุบันที่ส้าคัญประการหนึ่ง คือ การขาดแคลนน้้าเพื่อ
    เกษตรกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตพื้นที่เกษตรที่อาศัยน้้าฝน ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของ
    ประเทศที่อยู่ในเขตที่มีฝนค่อนข้างน้อย และส่วนมากเป็นนาข้าวและพืชไร่ เกษตรกรยังคงท้า
    การเพาะปลูกได้ปีละครั้งในช่วงฤดูฝนเท่านัน และมีความเสี่ยงกับความเสียหายอันเนื่องมาจาก
                                            ้
    ความแปรปรวนของดิน ฟ้า อากาศ และฝนทิ้งช่วง แม้ว่าจะมีการขุดบ่อหรือสระเก็บน้้าไว้ใช้บ้าง
    แต่ก็ไม่มีขนาดแน่นอน หรือมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เป็นปัญหาให้มีน้าใช้ไม่เพียงพอ รวมทั้งระบบการ
    ปลูกพืชไม่มีหลักเกณฑ์ใด ๆ และส่วนใหญ่ปลูกพืชชนิดเดียว
 ด้วยเหตุนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงได้พระราชทานพระราชด้าริเพื่อเป็นการ
  ช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบความยากล้าบากดังกล่าว ให้สามารถผ่านพ้น
  ช่วงเวลาวิกฤติ โดยเฉพาะการขาดแคลนน้้าได้โดยไม่เดือดร้อนและยากล้าบากนัก
 พระราชด้ารินี้ ทรงเรียกว่า "ทฤษฎีใหม่" อันเป็นแนวทางหรือหลักการในการ
  บริหารการจัดการที่ดินและน้้าเพื่อการเกษตรในที่ดินขนาดเล็กให้เกิดประโยชน์
  สูงสุด
ทฤษฎีใหม่
๑.  มีการบริหารและจัดแบ่งที่ดินแปลงเล็กออกเป็นสัดส่วนที่
 ชัดเจน เพื่อประโยชน์สูงสุดของเกษตรกรซึ่งไม่เคยมีใครคิดมา
 ก่อน
๒. มีการค้านวณโดยหลักวิชาการเกี่ยวกับปริมาณน้้าที่จะกัก
 เก็บให้พอเพียงต่อการเพาะปลูกได้อย่างเหมาะสมตลอดปี
๓. มีการวางแผนที่สมบูรณ์แบบ ส้าหรับเกษตรกรรายย่อย
 โดยมีถึง ๓ ขั้นตอน
ทฤษฎีใหม่ขั้นต้น
 การจัดสรรพื้นที่อยู่อาศัยและที่ท้ากิน
                                     ให้แบ่งพื้นที่ออกเป็น
  ๔ ส่วน ตามอัตราส่วน ๓๐:๓๐:๓๐:๑๐ ซึ่งหมายถึง พื้นที่
  ส่วนหนึ่ง ประมาณ ๓๐% ให้ขุดสระเก็บกักน้้าเพื่อใช้เก็บกัก
  น้้าฝนในฤดูฝนและใช้เสริมการปลูกพืชในฤดูแล้ง ตลอดจน
  การเลี้ยงสัตว์น้าและพืชน้้าต่าง ๆ
 พื้นที่ส่วนที่สอง ประมาณ ๓๐% ให้ปลูกข้าวในฤดูฝนเพื่อใช้
  เป็นอาหารประจ้าวันส้าหรับครอบครัวให้เพียงพอตลอดปี
  เพื่อตัดค่าใช้จ่ายและสามารถพึ่งตนเองได้
 พื้นที่ส่วนที่สาม   ประมาณ ๓๐% ให้ปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชผัก พืชไร่
  พืชสมุนไพร ฯลฯ เพื่อใช้เป็นอาหารประจ้าวัน หากเหลือบริโภคก็น้าไป
  จ้าหน่าย
 พื้นที่ส่วนที่สี่ ประมาณ ๑๐% เป็นที่อยู่อาศัย เลี้ยงสัตว์ ถนนหนทาง
  และโรงเรือนอื่น ๆ
หลักการและแนวทางสาคัญ
 ๑. เป็นระบบการผลิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงที่เกษตรกรสามารถเลี้ยง
  ตัวเองได้ในระดับที่ประหยัดก่อน ทั้งนี้ชุมชนต้องมีความสามัคคี
  ร่วมมือร่วมใจในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ท้านองเดียวกับการ "ลง
  แขก" แบบดั้งเดิมเพื่อลดค่าใช้จ่าย
 ๒. เนื่องจากข้าวเป็นปัจจัยหลักที่ทุกครัวเรือนจะต้องบริโภค ดังนั้น จึง
  ประมาณว่าครอบครัวหนึ่งท้านาประมาณ ๕ ไร่ จะท้าให้มีข้าวพอกิน
  ตลอดปี โดยไม่ต้องซื้อหาในราคาแพงเพื่อยึดหลักพึ่งตนเองได้อย่างมี
  อิสรภาพ
 ๓.  ต้องมีน้าเพื่อการเพาะปลูกส้ารองไว้ใช้ในฤดูแล้ง หรือระยะฝนทิ้งช่วงได้อย่าง
  พอเพียง ดังนั้นจึงจ้าเป็นต้องกันที่ดินส่วนหนึ่งไว้ขุดสระน้้า โดยมีหลักว่าต้องมีน้า
  เพียงพอที่จะท้าการเพาะปลูกได้ตลอดปี ทั้งนี้ได้พระราชทานพระราชด้าริเป็น
  แนวทางว่า ต้องมีน้า ๑,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตรต่อการเพาะปลูก ๑ ไร่ โดยประมาณ
  ฉะนั้น เมื่อท้านา ๕ ไร่ ท้าพืชไร่หรือไม้ผลอีก ๕ ไร่ (รวมเป็น ๑๐ ไร่) จะต้องมีน้า
  ๑๐,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตรต่อปี
 ดังนั้นหากตั้งสมมุติฐานว่ามีพื้นที่ ๑๕ ไร่ ก็จะสามารถก้าหนด
  สูตรคร่าว ๆ ว่า แต่ละแปลงประกอบด้วย - นา ๕ ไร่ - พืชไร่
  พืชสวน ๕ ไร่ - สระน้้า ๓ ไร่ ลึก ๔ เมตร จุประมาณ
  ๑๙,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นปริมาณน้้าที่เพียงพอที่จะ
  ส้ารองไว้ใช้ยามฤดูแล้ง - ที่อยู่อาศัยและอื่น ๆ ๒ ไร่ รวม
  ทั้งหมด ๑๕ ไร่
 การมีสระเก็บกักน้้าก็เพื่อให้เกษตรกรได้มีน้าใช้อย่างสม่้าเสมอทั้งปี
                                                                    (ทรง
  เรียกว่า Regulator หมายถึงการควบคุมให้ดีมีระบบน้้าหมุนเวียนใช้เพื่อ
  การเกษตรได้โดยตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง) โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน
  หน้าแล้งและระยะฝนทิ้งช่วง แต่มิได้หมายความว่าเกษตรกรจะสามารถ
  ปลูกข้าวนาปรับได้ เพราะหากน้้าในสระเก็บกักน้้าไม่พอ ในกรณีมีเขื่อน
  อยู่บริเวณใกล้เคียงก็อาจจะต้องสูบน้้ามาจากเขื่อน ซึ่งจะท้าให้น้าในเขื่อน
  หมดได้ แต่เกษตรกรควรท้านาในหน้าฝน และเมื่อถึงฤดูแล้งหรือฝนทิ้ง
  ช่วงให้เกษตรกรใช้น้าที่ได้เก็บตุนนั้น ให้เกิดประโยชน์ทางการเกษตร
  อย่างสูงสุด โดยพิจารณาปลูกพืชให้เหมาะสมกับฤดูกาล เช่น
 หน้าฝนจะมีน้ามากพอที่จะปลูกข้าวและพืชชนิดอื่น      ๆ ได้ - หน้าแล้ง
  หรือฝนทิ้งช่วง ควรปลูกพืชที่ใช้น้าน้อย เช่น ถั่วต่าง ๆ ๔. การจัดแบ่ง
  แปลงที่ดินเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
  ทรงค้านวณ และค้านึงจากอัตราการถือครองที่ดินถัวเฉลี่ยครัวเรือนละ
  ๑๕ ไร่ อย่างไรก็ตามหากเกษตรกรมีพื้นที่ถือครองน้อยกว่า หรือ
  มากกว่านี้ก็สามารถใช้อัตราส่วน ๓๐:๓๐:๓๐:๑๐ ไปเป็นเกณฑ์ปรับ
  ใช้ได้ กล่าวคือ
 ๓๐%     ส่วนแรก ขุดสระน้้า (สามารถเลี้ยงปลา ปลูกพืชน้้า เช่น ผักบุ้ง ผักกะเฉด ฯลฯ ได้
    ด้วย) และบนสระอาจจะสร้างเล้าไก่ได้ด้วย - ๓๐% ส่วนที่สอง ท้านา - ๓๐% ส่วนที่สาม
    ปลูกพืชไร่ พืชสวน (ไม้ผล ไม้ยืนต้น ไม้ใช้สอย ไม้เพื่อเป็นเชื้อฟืน ไม้สร้างบ้าน พืชไร่
    พืชผัก สมุนไพร เป็นต้น) - ๑๐% สุดท้าย เป็นที่อยู่อาศัยและอืน ๆ (ถนน คันดิน กอง
                                                                   ่
    ฟาง ลานตาก กองปุ๋ยหมัก โรงเรือน โรงเพาะเห็ด คอกสัตว์ ไม้ดอกไม้ประดับ พืชผักสวน
    ครัวหลังบ้าน เป็นต้น)




   ที่มา
                                               นางสาวบุษยรังสี หาสุทธิใจ ม4/6 เลขที่ 43

More Related Content

โครงการเกษตรทฤษฏีใหม่

  • 1. โครงการเกษตรทฤษฏีใหม่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระราชดารัสว่า ถึงบอกว่า เศรษฐกิจพอเพียง และทฤษฎีใหม่ สองอย่างนี้จะทาความเจริญแก่ ประเทศได้ แต่ต้องมีความเพียร แล้วต้องอดทน ต้องไม่ใจร้อน ( สานักพระราชวัง, ๒๕๔๒: ๓๑)
  • 2. บทนา  ปัญหาหลักของเกษตรกรในอดีตจนถึงปัจจุบันที่ส้าคัญประการหนึ่ง คือ การขาดแคลนน้้าเพื่อ เกษตรกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตพื้นที่เกษตรที่อาศัยน้้าฝน ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของ ประเทศที่อยู่ในเขตที่มีฝนค่อนข้างน้อย และส่วนมากเป็นนาข้าวและพืชไร่ เกษตรกรยังคงท้า การเพาะปลูกได้ปีละครั้งในช่วงฤดูฝนเท่านัน และมีความเสี่ยงกับความเสียหายอันเนื่องมาจาก ้ ความแปรปรวนของดิน ฟ้า อากาศ และฝนทิ้งช่วง แม้ว่าจะมีการขุดบ่อหรือสระเก็บน้้าไว้ใช้บ้าง แต่ก็ไม่มีขนาดแน่นอน หรือมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เป็นปัญหาให้มีน้าใช้ไม่เพียงพอ รวมทั้งระบบการ ปลูกพืชไม่มีหลักเกณฑ์ใด ๆ และส่วนใหญ่ปลูกพืชชนิดเดียว
  • 3.  ด้วยเหตุนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงได้พระราชทานพระราชด้าริเพื่อเป็นการ ช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบความยากล้าบากดังกล่าว ให้สามารถผ่านพ้น ช่วงเวลาวิกฤติ โดยเฉพาะการขาดแคลนน้้าได้โดยไม่เดือดร้อนและยากล้าบากนัก  พระราชด้ารินี้ ทรงเรียกว่า "ทฤษฎีใหม่" อันเป็นแนวทางหรือหลักการในการ บริหารการจัดการที่ดินและน้้าเพื่อการเกษตรในที่ดินขนาดเล็กให้เกิดประโยชน์ สูงสุด
  • 4. ทฤษฎีใหม่ ๑. มีการบริหารและจัดแบ่งที่ดินแปลงเล็กออกเป็นสัดส่วนที่ ชัดเจน เพื่อประโยชน์สูงสุดของเกษตรกรซึ่งไม่เคยมีใครคิดมา ก่อน ๒. มีการค้านวณโดยหลักวิชาการเกี่ยวกับปริมาณน้้าที่จะกัก เก็บให้พอเพียงต่อการเพาะปลูกได้อย่างเหมาะสมตลอดปี ๓. มีการวางแผนที่สมบูรณ์แบบ ส้าหรับเกษตรกรรายย่อย โดยมีถึง ๓ ขั้นตอน
  • 5. ทฤษฎีใหม่ขั้นต้น  การจัดสรรพื้นที่อยู่อาศัยและที่ท้ากิน ให้แบ่งพื้นที่ออกเป็น ๔ ส่วน ตามอัตราส่วน ๓๐:๓๐:๓๐:๑๐ ซึ่งหมายถึง พื้นที่ ส่วนหนึ่ง ประมาณ ๓๐% ให้ขุดสระเก็บกักน้้าเพื่อใช้เก็บกัก น้้าฝนในฤดูฝนและใช้เสริมการปลูกพืชในฤดูแล้ง ตลอดจน การเลี้ยงสัตว์น้าและพืชน้้าต่าง ๆ  พื้นที่ส่วนที่สอง ประมาณ ๓๐% ให้ปลูกข้าวในฤดูฝนเพื่อใช้ เป็นอาหารประจ้าวันส้าหรับครอบครัวให้เพียงพอตลอดปี เพื่อตัดค่าใช้จ่ายและสามารถพึ่งตนเองได้
  • 6.  พื้นที่ส่วนที่สาม ประมาณ ๓๐% ให้ปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชผัก พืชไร่ พืชสมุนไพร ฯลฯ เพื่อใช้เป็นอาหารประจ้าวัน หากเหลือบริโภคก็น้าไป จ้าหน่าย  พื้นที่ส่วนที่สี่ ประมาณ ๑๐% เป็นที่อยู่อาศัย เลี้ยงสัตว์ ถนนหนทาง และโรงเรือนอื่น ๆ
  • 7. หลักการและแนวทางสาคัญ  ๑. เป็นระบบการผลิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงที่เกษตรกรสามารถเลี้ยง ตัวเองได้ในระดับที่ประหยัดก่อน ทั้งนี้ชุมชนต้องมีความสามัคคี ร่วมมือร่วมใจในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ท้านองเดียวกับการ "ลง แขก" แบบดั้งเดิมเพื่อลดค่าใช้จ่าย  ๒. เนื่องจากข้าวเป็นปัจจัยหลักที่ทุกครัวเรือนจะต้องบริโภค ดังนั้น จึง ประมาณว่าครอบครัวหนึ่งท้านาประมาณ ๕ ไร่ จะท้าให้มีข้าวพอกิน ตลอดปี โดยไม่ต้องซื้อหาในราคาแพงเพื่อยึดหลักพึ่งตนเองได้อย่างมี อิสรภาพ
  • 8.  ๓. ต้องมีน้าเพื่อการเพาะปลูกส้ารองไว้ใช้ในฤดูแล้ง หรือระยะฝนทิ้งช่วงได้อย่าง พอเพียง ดังนั้นจึงจ้าเป็นต้องกันที่ดินส่วนหนึ่งไว้ขุดสระน้้า โดยมีหลักว่าต้องมีน้า เพียงพอที่จะท้าการเพาะปลูกได้ตลอดปี ทั้งนี้ได้พระราชทานพระราชด้าริเป็น แนวทางว่า ต้องมีน้า ๑,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตรต่อการเพาะปลูก ๑ ไร่ โดยประมาณ ฉะนั้น เมื่อท้านา ๕ ไร่ ท้าพืชไร่หรือไม้ผลอีก ๕ ไร่ (รวมเป็น ๑๐ ไร่) จะต้องมีน้า ๑๐,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตรต่อปี
  • 9.  ดังนั้นหากตั้งสมมุติฐานว่ามีพื้นที่ ๑๕ ไร่ ก็จะสามารถก้าหนด สูตรคร่าว ๆ ว่า แต่ละแปลงประกอบด้วย - นา ๕ ไร่ - พืชไร่ พืชสวน ๕ ไร่ - สระน้้า ๓ ไร่ ลึก ๔ เมตร จุประมาณ ๑๙,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นปริมาณน้้าที่เพียงพอที่จะ ส้ารองไว้ใช้ยามฤดูแล้ง - ที่อยู่อาศัยและอื่น ๆ ๒ ไร่ รวม ทั้งหมด ๑๕ ไร่
  • 10.  การมีสระเก็บกักน้้าก็เพื่อให้เกษตรกรได้มีน้าใช้อย่างสม่้าเสมอทั้งปี (ทรง เรียกว่า Regulator หมายถึงการควบคุมให้ดีมีระบบน้้าหมุนเวียนใช้เพื่อ การเกษตรได้โดยตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง) โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน หน้าแล้งและระยะฝนทิ้งช่วง แต่มิได้หมายความว่าเกษตรกรจะสามารถ ปลูกข้าวนาปรับได้ เพราะหากน้้าในสระเก็บกักน้้าไม่พอ ในกรณีมีเขื่อน อยู่บริเวณใกล้เคียงก็อาจจะต้องสูบน้้ามาจากเขื่อน ซึ่งจะท้าให้น้าในเขื่อน หมดได้ แต่เกษตรกรควรท้านาในหน้าฝน และเมื่อถึงฤดูแล้งหรือฝนทิ้ง ช่วงให้เกษตรกรใช้น้าที่ได้เก็บตุนนั้น ให้เกิดประโยชน์ทางการเกษตร อย่างสูงสุด โดยพิจารณาปลูกพืชให้เหมาะสมกับฤดูกาล เช่น
  • 11.  หน้าฝนจะมีน้ามากพอที่จะปลูกข้าวและพืชชนิดอื่น ๆ ได้ - หน้าแล้ง หรือฝนทิ้งช่วง ควรปลูกพืชที่ใช้น้าน้อย เช่น ถั่วต่าง ๆ ๔. การจัดแบ่ง แปลงที่ดินเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงค้านวณ และค้านึงจากอัตราการถือครองที่ดินถัวเฉลี่ยครัวเรือนละ ๑๕ ไร่ อย่างไรก็ตามหากเกษตรกรมีพื้นที่ถือครองน้อยกว่า หรือ มากกว่านี้ก็สามารถใช้อัตราส่วน ๓๐:๓๐:๓๐:๑๐ ไปเป็นเกณฑ์ปรับ ใช้ได้ กล่าวคือ
  • 12.  ๓๐% ส่วนแรก ขุดสระน้้า (สามารถเลี้ยงปลา ปลูกพืชน้้า เช่น ผักบุ้ง ผักกะเฉด ฯลฯ ได้ ด้วย) และบนสระอาจจะสร้างเล้าไก่ได้ด้วย - ๓๐% ส่วนที่สอง ท้านา - ๓๐% ส่วนที่สาม ปลูกพืชไร่ พืชสวน (ไม้ผล ไม้ยืนต้น ไม้ใช้สอย ไม้เพื่อเป็นเชื้อฟืน ไม้สร้างบ้าน พืชไร่ พืชผัก สมุนไพร เป็นต้น) - ๑๐% สุดท้าย เป็นที่อยู่อาศัยและอืน ๆ (ถนน คันดิน กอง ่ ฟาง ลานตาก กองปุ๋ยหมัก โรงเรือน โรงเพาะเห็ด คอกสัตว์ ไม้ดอกไม้ประดับ พืชผักสวน ครัวหลังบ้าน เป็นต้น)  ที่มา นางสาวบุษยรังสี หาสุทธิใจ ม4/6 เลขที่ 43