ݺߣ

ݺߣShare a Scribd company logo
โครงการเกษตรทฤษฏีใหม่
โครงการเกษตรทฤษฏีใหม่
       โครงการอันเนื่องมาจากพระราชึϸริ
            ในพระบทสมเด็จพระเจ้าอยู่หว
                                     ั
พระราชึϸริ

                           พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู ่หว ได้ทรงมีพระราช
                                                    ั
   ดารัสว่ า “…ถึงบอกว่ าเศรษฐกิจพอเพียง และทฤษฎีใหม่สองอย่างนี้จะทา
                                     ความเจริญแก่ประเทศได้แต่ตองมี
                                                                 ้
ความเพียร แล้วต้องอดทนต้องไม่ ใจร้อน…”                        (
                                      สานักพระราชวัง, ๒๕๔๒: ๓๑)
บทนา
      ปั ญหาหลักของเกษตรกรในอดีตจนถึงปั จจุบนที่สาคัญประการหนึ่ง คือ การขาดแคลนนา
                                                   ั                                         ้
  เพื่อเกษตรกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตพื้นที่ เกษตรที่อาศัยนาฝน ซึ่งเป็ นพื้นที่ ส่วนใหญ่
                                                                  ้
  ของประเทศที่อยู ในเขตที่มีฝนค่อนข้างน้อย และส่วนมากเป็ นนาข้าวและพืชไร่ เกษตรกรยังคง
                     ่
  ทาการเพาะปลูกได้ปีละครังในช่วงฤดูฝนเท่านัน
                             ้                   ้         และมี ความเสี่ยงกับความเสียหายอัน
  เนื่องมาจากความแปรปรวนของดิน ฟ้ า อากาศ และฝนทิ้งช่วง แม้ว่าจะมี การขุดบ่อหรือสระ
  เก็บนาไว้ใช้บางแต่ กไม่ มีขนาดแน่นอน หรือมี ปัจจัยอื่น ๆ ที่เป็ นปั ญหาให้มีนาใช้ไม่ เพียงพอ
          ้      ้       ็                                                      ้
  รวมทังระบบการปลูกพืชไม่ มีหลักเกณฑ์ใด ๆ และส่วนใหญ่ปลูกพืชชนิดเดียว
            ้
      ด้วยเหตุน้ ีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู ่หวจึงได้พระราชทานพระราชึϸริเพื่อเป็ นการช่วยเหลือ
                                            ั
  เกษตรกรที่ประสบความยากลาบากดังกล่าว ให้สามารถผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤติ โดยเฉพาะการ
  ขาดแคลนนาได้โดยไม่ เดือดร้อนและยากลาบากนัก
               ้
       พระราชึϸริน้ ี ทรงเรียกว่า "ทฤษฎีใหม่ " อันเป็ นแนวทางหรือหลักการในการบริหารการ
  จัดการที่ดินและนาเพื่อการเกษตรในที่ดินขนาดเล็กให้เกิดประโยชน์ สูงสุด
                       ้
ทฤษฎีใหม่ : ทาไมใหม่
   มีการบริหารและจัดแบ่งที่ดินแปลงเล็กออกเป็ นสัดส่วนที่ชด เจน เพื่อประโยชน์
                                                          ั
                    ่
 สูงสุดของเกษตรกรซึงไม่เคยมีใครคิดมาก่อน
 มีการคานวณโดยหลักวิ ชาการเกี่ยวกับปริ มาณนาที่จะกัก เก็บให้พอเพียงต่ อ
                                               ้
 การเพาะปลูกได้อย่างเหมาะสมตลอดปี
 มีการวางแผนที่สมบูรณ์แบบ สาหรับเกษตรกรรายย่อย โดยมีถึง ๓ ขันตอน     ้
ทฤษฎีใหม่ྺȨ้น
          ั้
      การจัดสรรพื้นที่อยู่อาศัยและที่ทากินให้แบ่งพื้นที่ออกเป็ น ๔ ส่วน ตาม
  อัตราส่วน ๓๐:๓๐:๓๐:๑๐ ซึ่งหมายถึง พื้นที่ส่วนหนึง ประมาณ ๓๐% ให้ขุด
                                                          ่
  สระเก็บกักนาเพื่อใช้เก็บกักนาฝนในฤดูฝนและใช้เสริมการปลูกพืชในฤดูแล้ง
                ้              ้
  ตลอดจนการเลี้ยงสัตว์นาและพืชนาต่าง ๆ
                           ้       ้
       พื้นที่ส่วนที่สอง ประมาณ ๓๐% ให้ปลูกข้าวในฤดูฝนเพื่อใช้เป็ นอาหาร
  ประจาวันสาหรับครอบครัวให้เพียงพอตลอดปี              เพื่อตัดค่าใช้จ่ายและสามารถ
  พึ่งตนเองได้
       พื้นที่ส่วนที่สาม ประมาณ ๓๐% ให้ปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชผัก พืชไร่ พืช
  สมุนไพร ฯลฯ เพื่อใช้เป็ นอาหารประจาวัน หากเหลือบริโภคก็นาไปจาหน่าย
       พื้นที่ส่วนที่ส่ี ประมาณ ๑๐% เป็ นที่อยู่อาศัย เลี้ยงสัตว์ ถนนหนทาง และ
               ่
    โรงเรือนอืน ๆ
หลักการและแนวทางสาคัญ
      เป็ นระบบการผลิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงที่เกษตรกรสามารถเลี้ยงตัวเองได้
  ในระดับที่ประหยัดก่อน ทังนี้ชมชนต้องมีความสามัคคี ร่วมมือร่วมใจในการ
                                 ้ ุ
  ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทานองเดียวกับการ "ลงแขก" แบบดังเดิมเพื่อลด     ้
  ค่าใช้จ่าย
          ่
       เนือ งจากข้าวเป็ นปั จจัยหลักที่ทุกครัว เรือนจะต้องบริโภค ดังนัน จึงประมาณ
                                                                      ้
                   ่
  ว่าครอบครัวหนึงทานาประมาณ ๕ ไร่ จะทาให้มีขาวพอกินตลอดปี โดยไม่ตอง
                                                          ้                     ้
  ซื้อหาในราคาแพงเพื่อยึดหลักพึ่งตนเองได้อย่างมีอสรภาพ  ิ
        ต้องมีนาเพื่อการเพาะปลูกสารองไว้ใ ช้ในฤดูแล้ง หรือระยะฝนทิ้งช่ว งได้อย่าง
                ้
                  ้                             ่
  พอเพียง ดังนันจึงจาเป็ นต้องกันที่ดินส่วนหนึงไว้ขุดสระน้า โดยมีหลักว่าต้องมีนา  ้
  เพียงพอที่จะทาการเพาะปลูกได้ตลอดปี              ทังนี้ได้พระราชทานพระราชึϸริเป็ น
                                                    ้
  แนวทางว่า ต้องมีนา ๑,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตรต่อการเพาะปลูก ๑ ไร่ โดยประมาณ
                        ้
  ฉะนัน เมื่อทานา ๕ ไร่ ทาพืชไร่หรือไม้ผลอีก ๕ ไร่ (รวมเป็ น ๑๐ ไร่ ) จะต้องมี
       ้
  นา ๑๐,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตรต่อปี
    ้
        ดังนัน หากตังสมมุติฐานว่ามีพ้ ืนที่ ๑๕ ไร่ ก็จะสามารถกาหนดสูตรคร่ าว ๆ
              ้       ้
  ว่า แต่ละแปลงประกอบด้วย- นา ๕ ไร่ - พืชไร่พืชสวน ๕ ไร่ - สระนา ๓ ไร่ ลึก
                                                                        ้
                                                         ่
  ๔ เมตร จุประมาณ ๑๙,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร ซึงเป็ นปริมาณน้าที่เพียงพอที่จะ
                                             ่
  สารองไว้ใช้ยามฤดูแล้ง- ที่อยู่อาศัยและอืน ๆ ๒ ไร่รวมทังหมด ๑๕ ไร่
                                                               ้
    แต่ทงนี้ ขนาดของสระเก็บกักนาขึ้นอยู่กบสภาพภูมิประเทศและสภาพแวดล้อม
             ั้                     ้      ั
    ดังนี้
-       ถ้าเป็ นพื้นที่ทาการเกษตรอาศัยนาฝน สระน้าควรมีลกษณะลึกเพื่อปองกันไม่ให้
                                       ้               ั           ้
      ้                         ่
    นาระเหยได้ มากเกินไป ซึงจะทาให้มีนาใช้ตลอดทังปี
                                         ้        ้
-       ถ้าเป็ นพื้นที่ทาการเกษตรในเขตชลประทาน สระนาอาจมีลกษณะลึกหรือตื้นและ
                                                    ้     ั
    แคบหรือกว้างก็ได้ โดยพิจารณาตามความเหมาะสมเพราะสามารถมีนามาเติมอยู่
                                                                     ้
    เรื่อย ๆ
          การมี สระเก็บกักนาก็ เพื่อให้เกษตรกรได้มีนาใช้อย่างสม่าเสมอทังปี
                            ้                          ้                ้           (ทรงเรียกว่า
                              หมายถึงการควบคุมให้ดีมีระบบนาหมุ นเวี ยนใช้เพื่อการเกษตรได้โดย
                                                               ้
    ตลอดเวลาอย่างต่ อเนื่อง)           โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน้าแล้งและระยะฝนทิ้งช่วง      แต่มิได้
    หมายความว่าเกษตรกรจะสามารถปลูกข้าวนาปรับได้ เพราะหากนาในสระเก็บกักนาไม่พอ ใน
                                                                      ้              ้
    กรณีมีเขื่อนอยู บริเวณใกล้เคียงก็อาจจะต้องสูบนามาจากเขื่อน ซึ่งจะทาให้นาในเขื่อนหมดได้
                    ่                                ้                          ้
    แต่เกษตรกรควรทานาในหน้าฝน และเมื่ อถึงฤดูแล้งหรือฝนทิ้งช่วงให้เกษตรกรใช้นาที่ได้เก็บ
                                                                                       ้
    ตุนนัน ให้เกิดประโยชน์ทางการเกษตรอย่างสูงสุด โดยพิจารณาปลูกพืชให้เหมาะสมกับฤดูกาล
         ้
    เช่น

    - หน้าฝนจะมี นามากพอที่จะปลูกข้าวและพืชชนิดอื่น ๆ ได้
                  ้
    - หน้าแล้งหรือฝนทิ้งช่วง ควรปลูกพืชที่ใช้นาน้อย เช่น ถัวต่ าง ๆ
                                              ้            ่
      การจัดแบ่งแปลงที่ดินเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดนี้ พระบาทสมเด็จพระ
                                                                 ่
  เจ้าอยู่หวทรงคานวณ และคานึงจากอัตราการถือครองที่ดินถัวเฉลียครัวเรือนละ
           ั
  ๑๕ ไร่ อย่างไรก็ตามหากเกษตรกรมีพ้ ืนที่ถือครองน้อยกว่า หรือมากกว่านี้ก็
  สามารถใช้อตราส่วน ๓๐:๓๐:๓๐:๑๐ ไปเป็ นเกณฑ์ปรับใช้ได้ กล่าวคือ
                ั
- ๓๐% ส่วนแรก ขุดสระนา (สามารถเลี้ยงปลา ปลูกพืชนา เช่น ผักบุง ผักกะเฉด
                           ้                              ้        ้
  ฯลฯ ได้ดวย) และบนสระอาจจะสร้างเล้าไก่ได้ดวย
              ้                                   ้
- ๓๐% ส่วนที่สอง ทานา
- ๓๐% ส่วนที่สาม ปลูกพืชไร่ พืชสวน (ไม้ผล ไม้ยนต้น ไม้ใช้สอย ไม้เพื่อเป็ นเชื้อ
                                                    ื
  ฟื น ไม้สร้างบ้าน พืชไร่ พืชผัก สมุนไพร เป็ นต้น)
- ๑๐% สุดท้าย เป็ นที่อยู่อาศัยและอืน ๆ (ถนน คันดิน กองฟาง ลานตาก กองปุ๋ ย
                                     ่
  หมัก โรงเรือน โรงเพาะเห็ด คอกสัตว์ ไม้ดอกไม้ประดับ พืชผักสวนครัวหลังบ้าน
  เป็ นต้น)
ทฤษฎีใหม่ྺȨี่สอง
          ั้
      เมื่อเกษตรกรเข้าใจในหลักการและได้ปฏิบติในที่ดินของตนจนได้ผลแล้ว ก็
                                            ั
 ต้องเริ่มขันที่สอง คือให้เกษตรกรรวมพลังกันในรูป กลุ่ม หรือ สหกรณ์ ร่วมแรง
              ้
 ร่วมใจกันดาเนินการในด้าน
 การผลิต (พันธุ ์พืช เตรียมดิน ชลประทาน ฯลฯ)

   - เกษตรกรจะต้องร่วมมือในการผลิต โดยเริ่ม ตังแต่ขนเตรียมดิน การหาพันธุ์
                                                ้ ั้
 พืช ปุ๋ ย การจัดหานา และอืน ๆ เพื่อการเพาะปลูก
                      ้      ่
 การตลาด (ลานตากข้าว ยุง เครื่องสีขาว การจาหน่ายผลผลิต)
                               ้      ้
  - เมื่อมีผลผลิตแล้ว จะต้องเตรียมการต่างๆเพื่อการขายผลผลิตให้ได้ประโยชน์
 สูงสุด เช่น การเตรียมลานตากข้าวร่วมกัน การจัดหายุงรวบรวมข้าว เตรียมหา
                                                      ้
 เครื่องสีขาวตลอดจนการรวมกันขายผลผลิตให้ได้ราคาดีและลดค่าใช้จ่ายลงด้วย
            ้
 การเป็ นอยู่  (กะปิ นาปลา อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ฯลฯ)
                       ้
     -        ในขณะเดียวกันเกษตรกรต้องมีความเป็ นอยู่ท่ีดีพอสมควร       โดยมี
  ปั จจัยพื้นฐานในการดารงชีวิต เช่นอาหารการกินต่าง ๆ กะปิ นาปลา เสื้อผ้า ที่
                                                               ้
  พอเพียง
 สวัสดิการ (สาธารณสุข เงินกู ) ้
      - แต่ละชุมชนควรมีสวัสดิภาพและบริการที่จาเป็ น เช่น มีสถานีอนามัยเมื่อยาม
  ป่ วยไข้ หรือมีกองทุนไว้กูยมเพื่อประโยชน์ในกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชน
                            ้ื
 การศึกษา  (โรงเรียน ทุนการศึกษา)
  - ชุมชนควรมีบทบาทในการส่งเสริมการศึกษา เช่น มีกองทุ นเพื่อการศึกษาเล่า
 เรียน ให้แก่เยาวชนของชุมชนเอง
 สังคมและศาสนา

   - ชุมชนควรเป็ นที่รวมในการพัฒนาสังคมและจิตใจ โดยมีศาสนาเป็ นที่ยด  ึ
      ่
 เหนียว
   - กิจกรรมทังหมดดังกล่าวข้าวต้น จะต้องได้รบความร่วมมือจากทุกฝ่ ายที่
                   ้                         ั
 เกี่ยวข้อง ไม่ว่ าส่วนราชการ องค์กรเอกชน ตลอดจนสมาชิกในชุมชนนันเป็ น
                                                                  ้
 สาคัญ
ประโยชน์ของทฤษฎีใหม่
   จากพระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู ่หวที่ได้พระราชทานในโอกาสต่ าง ๆ นัน พอจะ
                                              ั                                ้
    สรุปถึงประโยชน์ของทฤษฎีใหม่ ได้ ดังนี้
 ๑.     ให้ประชาชนพออยู่พอกิจสมควรแก่อตภาพ ในระดับที่ประหยัด ไม่อดอยาก
                                           ั
  และเลี้ยงตนเองได้ตามหลักปรัชญาของ "เศรษฐกิจพอเพียง“
 ๒. ในหน้าแล้งมีน ้าน้อย ก็สามารถเอานาที่ เก็บไว้ในสระมาปลูกพืชผักต่ าง ๆ ที่
                                             ้
  ใช้นาน้อยได้ โดยไม่ตองเบียดเบียนชลประทาน
       ้               ้
 ๓. ในปี ที่ฝนตกตามฤดูกาลโดยมีนาดีตลอดปี ทฤษฎีใหม่ น้ ก็ สามารถสร้างรายได้
                                  ้                          ี
  ให้ร่ารวนขึ้นได้
 ๔. ในกรณีท่ีเกิดอุทกภัยก็ส ามารถที่จะฟื้ นตัวและช่ว ยตัวเองได้ในระดับหนึง โดย
                                                                          ่
  ทางราชการไม่ตองช่วยเหลือมากเกินไป อันเป็ นการประหยัดงบประมาณด้วย
                   ้
ผูจดทา
             ้ั




   นาวสาวบุษยรังสี หาสุทธิใจ
        ม.4/6 เลขที่ 43

More Related Content

โครงการเกษตรทฤษฏีใหม่

  • 2. โครงการเกษตรทฤษฏีใหม่ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชึϸริ ในพระบทสมเด็จพระเจ้าอยู่หว ั
  • 3. พระราชึϸริ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู ่หว ได้ทรงมีพระราช ั ดารัสว่ า “…ถึงบอกว่ าเศรษฐกิจพอเพียง และทฤษฎีใหม่สองอย่างนี้จะทา ความเจริญแก่ประเทศได้แต่ตองมี ้ ความเพียร แล้วต้องอดทนต้องไม่ ใจร้อน…” ( สานักพระราชวัง, ๒๕๔๒: ๓๑)
  • 4. บทนา  ปั ญหาหลักของเกษตรกรในอดีตจนถึงปั จจุบนที่สาคัญประการหนึ่ง คือ การขาดแคลนนา ั ้ เพื่อเกษตรกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตพื้นที่ เกษตรที่อาศัยนาฝน ซึ่งเป็ นพื้นที่ ส่วนใหญ่ ้ ของประเทศที่อยู ในเขตที่มีฝนค่อนข้างน้อย และส่วนมากเป็ นนาข้าวและพืชไร่ เกษตรกรยังคง ่ ทาการเพาะปลูกได้ปีละครังในช่วงฤดูฝนเท่านัน ้ ้ และมี ความเสี่ยงกับความเสียหายอัน เนื่องมาจากความแปรปรวนของดิน ฟ้ า อากาศ และฝนทิ้งช่วง แม้ว่าจะมี การขุดบ่อหรือสระ เก็บนาไว้ใช้บางแต่ กไม่ มีขนาดแน่นอน หรือมี ปัจจัยอื่น ๆ ที่เป็ นปั ญหาให้มีนาใช้ไม่ เพียงพอ ้ ้ ็ ้ รวมทังระบบการปลูกพืชไม่ มีหลักเกณฑ์ใด ๆ และส่วนใหญ่ปลูกพืชชนิดเดียว ้  ด้วยเหตุน้ ีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู ่หวจึงได้พระราชทานพระราชึϸริเพื่อเป็ นการช่วยเหลือ ั เกษตรกรที่ประสบความยากลาบากดังกล่าว ให้สามารถผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤติ โดยเฉพาะการ ขาดแคลนนาได้โดยไม่ เดือดร้อนและยากลาบากนัก ้  พระราชึϸริน้ ี ทรงเรียกว่า "ทฤษฎีใหม่ " อันเป็ นแนวทางหรือหลักการในการบริหารการ จัดการที่ดินและนาเพื่อการเกษตรในที่ดินขนาดเล็กให้เกิดประโยชน์ สูงสุด ้
  • 5. ทฤษฎีใหม่ : ทาไมใหม่  มีการบริหารและจัดแบ่งที่ดินแปลงเล็กออกเป็ นสัดส่วนที่ชด เจน เพื่อประโยชน์ ั ่ สูงสุดของเกษตรกรซึงไม่เคยมีใครคิดมาก่อน  มีการคานวณโดยหลักวิ ชาการเกี่ยวกับปริ มาณนาที่จะกัก เก็บให้พอเพียงต่ อ ้ การเพาะปลูกได้อย่างเหมาะสมตลอดปี  มีการวางแผนที่สมบูรณ์แบบ สาหรับเกษตรกรรายย่อย โดยมีถึง ๓ ขันตอน ้
  • 6. ทฤษฎีใหม่ྺȨ้น ั้  การจัดสรรพื้นที่อยู่อาศัยและที่ทากินให้แบ่งพื้นที่ออกเป็ น ๔ ส่วน ตาม อัตราส่วน ๓๐:๓๐:๓๐:๑๐ ซึ่งหมายถึง พื้นที่ส่วนหนึง ประมาณ ๓๐% ให้ขุด ่ สระเก็บกักนาเพื่อใช้เก็บกักนาฝนในฤดูฝนและใช้เสริมการปลูกพืชในฤดูแล้ง ้ ้ ตลอดจนการเลี้ยงสัตว์นาและพืชนาต่าง ๆ ้ ้  พื้นที่ส่วนที่สอง ประมาณ ๓๐% ให้ปลูกข้าวในฤดูฝนเพื่อใช้เป็ นอาหาร ประจาวันสาหรับครอบครัวให้เพียงพอตลอดปี เพื่อตัดค่าใช้จ่ายและสามารถ พึ่งตนเองได้  พื้นที่ส่วนที่สาม ประมาณ ๓๐% ให้ปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชผัก พืชไร่ พืช สมุนไพร ฯลฯ เพื่อใช้เป็ นอาหารประจาวัน หากเหลือบริโภคก็นาไปจาหน่าย
  • 7. พื้นที่ส่วนที่ส่ี ประมาณ ๑๐% เป็ นที่อยู่อาศัย เลี้ยงสัตว์ ถนนหนทาง และ ่ โรงเรือนอืน ๆ
  • 8. หลักการและแนวทางสาคัญ  เป็ นระบบการผลิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงที่เกษตรกรสามารถเลี้ยงตัวเองได้ ในระดับที่ประหยัดก่อน ทังนี้ชมชนต้องมีความสามัคคี ร่วมมือร่วมใจในการ ้ ุ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทานองเดียวกับการ "ลงแขก" แบบดังเดิมเพื่อลด ้ ค่าใช้จ่าย  ่ เนือ งจากข้าวเป็ นปั จจัยหลักที่ทุกครัว เรือนจะต้องบริโภค ดังนัน จึงประมาณ ้ ่ ว่าครอบครัวหนึงทานาประมาณ ๕ ไร่ จะทาให้มีขาวพอกินตลอดปี โดยไม่ตอง ้ ้ ซื้อหาในราคาแพงเพื่อยึดหลักพึ่งตนเองได้อย่างมีอสรภาพ ิ
  • 9. ต้องมีนาเพื่อการเพาะปลูกสารองไว้ใ ช้ในฤดูแล้ง หรือระยะฝนทิ้งช่ว งได้อย่าง ้ ้ ่ พอเพียง ดังนันจึงจาเป็ นต้องกันที่ดินส่วนหนึงไว้ขุดสระน้า โดยมีหลักว่าต้องมีนา ้ เพียงพอที่จะทาการเพาะปลูกได้ตลอดปี ทังนี้ได้พระราชทานพระราชึϸริเป็ น ้ แนวทางว่า ต้องมีนา ๑,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตรต่อการเพาะปลูก ๑ ไร่ โดยประมาณ ้ ฉะนัน เมื่อทานา ๕ ไร่ ทาพืชไร่หรือไม้ผลอีก ๕ ไร่ (รวมเป็ น ๑๐ ไร่ ) จะต้องมี ้ นา ๑๐,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตรต่อปี ้  ดังนัน หากตังสมมุติฐานว่ามีพ้ ืนที่ ๑๕ ไร่ ก็จะสามารถกาหนดสูตรคร่ าว ๆ ้ ้ ว่า แต่ละแปลงประกอบด้วย- นา ๕ ไร่ - พืชไร่พืชสวน ๕ ไร่ - สระนา ๓ ไร่ ลึก ้ ่ ๔ เมตร จุประมาณ ๑๙,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร ซึงเป็ นปริมาณน้าที่เพียงพอที่จะ ่ สารองไว้ใช้ยามฤดูแล้ง- ที่อยู่อาศัยและอืน ๆ ๒ ไร่รวมทังหมด ๑๕ ไร่ ้
  • 10. แต่ทงนี้ ขนาดของสระเก็บกักนาขึ้นอยู่กบสภาพภูมิประเทศและสภาพแวดล้อม ั้ ้ ั ดังนี้ - ถ้าเป็ นพื้นที่ทาการเกษตรอาศัยนาฝน สระน้าควรมีลกษณะลึกเพื่อปองกันไม่ให้ ้ ั ้ ้ ่ นาระเหยได้ มากเกินไป ซึงจะทาให้มีนาใช้ตลอดทังปี ้ ้ - ถ้าเป็ นพื้นที่ทาการเกษตรในเขตชลประทาน สระนาอาจมีลกษณะลึกหรือตื้นและ ้ ั แคบหรือกว้างก็ได้ โดยพิจารณาตามความเหมาะสมเพราะสามารถมีนามาเติมอยู่ ้ เรื่อย ๆ
  • 11. การมี สระเก็บกักนาก็ เพื่อให้เกษตรกรได้มีนาใช้อย่างสม่าเสมอทังปี ้ ้ ้ (ทรงเรียกว่า หมายถึงการควบคุมให้ดีมีระบบนาหมุ นเวี ยนใช้เพื่อการเกษตรได้โดย ้ ตลอดเวลาอย่างต่ อเนื่อง) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน้าแล้งและระยะฝนทิ้งช่วง แต่มิได้ หมายความว่าเกษตรกรจะสามารถปลูกข้าวนาปรับได้ เพราะหากนาในสระเก็บกักนาไม่พอ ใน ้ ้ กรณีมีเขื่อนอยู บริเวณใกล้เคียงก็อาจจะต้องสูบนามาจากเขื่อน ซึ่งจะทาให้นาในเขื่อนหมดได้ ่ ้ ้ แต่เกษตรกรควรทานาในหน้าฝน และเมื่ อถึงฤดูแล้งหรือฝนทิ้งช่วงให้เกษตรกรใช้นาที่ได้เก็บ ้ ตุนนัน ให้เกิดประโยชน์ทางการเกษตรอย่างสูงสุด โดยพิจารณาปลูกพืชให้เหมาะสมกับฤดูกาล ้ เช่น - หน้าฝนจะมี นามากพอที่จะปลูกข้าวและพืชชนิดอื่น ๆ ได้ ้ - หน้าแล้งหรือฝนทิ้งช่วง ควรปลูกพืชที่ใช้นาน้อย เช่น ถัวต่ าง ๆ ้ ่
  • 12. การจัดแบ่งแปลงที่ดินเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดนี้ พระบาทสมเด็จพระ ่ เจ้าอยู่หวทรงคานวณ และคานึงจากอัตราการถือครองที่ดินถัวเฉลียครัวเรือนละ ั ๑๕ ไร่ อย่างไรก็ตามหากเกษตรกรมีพ้ ืนที่ถือครองน้อยกว่า หรือมากกว่านี้ก็ สามารถใช้อตราส่วน ๓๐:๓๐:๓๐:๑๐ ไปเป็ นเกณฑ์ปรับใช้ได้ กล่าวคือ ั - ๓๐% ส่วนแรก ขุดสระนา (สามารถเลี้ยงปลา ปลูกพืชนา เช่น ผักบุง ผักกะเฉด ้ ้ ้ ฯลฯ ได้ดวย) และบนสระอาจจะสร้างเล้าไก่ได้ดวย ้ ้ - ๓๐% ส่วนที่สอง ทานา - ๓๐% ส่วนที่สาม ปลูกพืชไร่ พืชสวน (ไม้ผล ไม้ยนต้น ไม้ใช้สอย ไม้เพื่อเป็ นเชื้อ ื ฟื น ไม้สร้างบ้าน พืชไร่ พืชผัก สมุนไพร เป็ นต้น) - ๑๐% สุดท้าย เป็ นที่อยู่อาศัยและอืน ๆ (ถนน คันดิน กองฟาง ลานตาก กองปุ๋ ย ่ หมัก โรงเรือน โรงเพาะเห็ด คอกสัตว์ ไม้ดอกไม้ประดับ พืชผักสวนครัวหลังบ้าน เป็ นต้น)
  • 13. ทฤษฎีใหม่ྺȨี่สอง ั้ เมื่อเกษตรกรเข้าใจในหลักการและได้ปฏิบติในที่ดินของตนจนได้ผลแล้ว ก็ ั ต้องเริ่มขันที่สอง คือให้เกษตรกรรวมพลังกันในรูป กลุ่ม หรือ สหกรณ์ ร่วมแรง ้ ร่วมใจกันดาเนินการในด้าน  การผลิต (พันธุ ์พืช เตรียมดิน ชลประทาน ฯลฯ) - เกษตรกรจะต้องร่วมมือในการผลิต โดยเริ่ม ตังแต่ขนเตรียมดิน การหาพันธุ์ ้ ั้ พืช ปุ๋ ย การจัดหานา และอืน ๆ เพื่อการเพาะปลูก ้ ่  การตลาด (ลานตากข้าว ยุง เครื่องสีขาว การจาหน่ายผลผลิต) ้ ้ - เมื่อมีผลผลิตแล้ว จะต้องเตรียมการต่างๆเพื่อการขายผลผลิตให้ได้ประโยชน์ สูงสุด เช่น การเตรียมลานตากข้าวร่วมกัน การจัดหายุงรวบรวมข้าว เตรียมหา ้ เครื่องสีขาวตลอดจนการรวมกันขายผลผลิตให้ได้ราคาดีและลดค่าใช้จ่ายลงด้วย ้
  • 14.  การเป็ นอยู่ (กะปิ นาปลา อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ฯลฯ) ้ - ในขณะเดียวกันเกษตรกรต้องมีความเป็ นอยู่ท่ีดีพอสมควร โดยมี ปั จจัยพื้นฐานในการดารงชีวิต เช่นอาหารการกินต่าง ๆ กะปิ นาปลา เสื้อผ้า ที่ ้ พอเพียง  สวัสดิการ (สาธารณสุข เงินกู ) ้ - แต่ละชุมชนควรมีสวัสดิภาพและบริการที่จาเป็ น เช่น มีสถานีอนามัยเมื่อยาม ป่ วยไข้ หรือมีกองทุนไว้กูยมเพื่อประโยชน์ในกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชน ้ื
  • 15.  การศึกษา (โรงเรียน ทุนการศึกษา) - ชุมชนควรมีบทบาทในการส่งเสริมการศึกษา เช่น มีกองทุ นเพื่อการศึกษาเล่า เรียน ให้แก่เยาวชนของชุมชนเอง  สังคมและศาสนา - ชุมชนควรเป็ นที่รวมในการพัฒนาสังคมและจิตใจ โดยมีศาสนาเป็ นที่ยด ึ ่ เหนียว - กิจกรรมทังหมดดังกล่าวข้าวต้น จะต้องได้รบความร่วมมือจากทุกฝ่ ายที่ ้ ั เกี่ยวข้อง ไม่ว่ าส่วนราชการ องค์กรเอกชน ตลอดจนสมาชิกในชุมชนนันเป็ น ้ สาคัญ
  • 16. ประโยชน์ของทฤษฎีใหม่  จากพระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู ่หวที่ได้พระราชทานในโอกาสต่ าง ๆ นัน พอจะ ั ้ สรุปถึงประโยชน์ของทฤษฎีใหม่ ได้ ดังนี้  ๑. ให้ประชาชนพออยู่พอกิจสมควรแก่อตภาพ ในระดับที่ประหยัด ไม่อดอยาก ั และเลี้ยงตนเองได้ตามหลักปรัชญาของ "เศรษฐกิจพอเพียง“  ๒. ในหน้าแล้งมีน ้าน้อย ก็สามารถเอานาที่ เก็บไว้ในสระมาปลูกพืชผักต่ าง ๆ ที่ ้ ใช้นาน้อยได้ โดยไม่ตองเบียดเบียนชลประทาน ้ ้  ๓. ในปี ที่ฝนตกตามฤดูกาลโดยมีนาดีตลอดปี ทฤษฎีใหม่ น้ ก็ สามารถสร้างรายได้ ้ ี ให้ร่ารวนขึ้นได้  ๔. ในกรณีท่ีเกิดอุทกภัยก็ส ามารถที่จะฟื้ นตัวและช่ว ยตัวเองได้ในระดับหนึง โดย ่ ทางราชการไม่ตองช่วยเหลือมากเกินไป อันเป็ นการประหยัดงบประมาณด้วย ้
  • 17. ผูจดทา ้ั  นาวสาวบุษยรังสี หาสุทธิใจ ม.4/6 เลขที่ 43