ݺߣ

ݺߣShare a Scribd company logo
4



      ระบบนิ เวศ หมายถึง หน่ วยของความสัมพันธ์ของสิงมีชวตในแหล่งทีอยูแหล่งใดแหล่งหนึง มา
                                                         ีิ              ่
จากรากศัพท์ในภาษากรีก 2 คํา คือO ikos แปลว่า บ้าน, ทีอยูอาศัย,แหล่งทีอยูของสิงมีชวต Logos
                                                       ่               ่         ีิ
แปลว่า เหตุผล, ความคิด

  •   สิงมีชวต (Organism)หมายถึง สิงทีต้องใช้พลังงานในการดํารงชีวต
            ีิ                                                      ิ
  •   ประชากร (Population)หมายถึง สิงมีชวตทังหมดทีเป็ นชนิดเดียวกัน อาศัยอยูในแหล่งทีอยู่
                                           ีิ                                   ่
      เดียวกัน ณ ช่วงเวลาเดียวกัน
  •   กลุ่มสิงมีชวต (Community) หมายถึง สิงมีชวตต่างๆ หลายชนิด มาอาศัยอยูรวมกันในบริเวณใด
                 ีิ                             ีิ                            ่
      บริเวณหนึง โดยสิงมีชวตนันๆ มีความสัมพันธ์กนโดยตรงหรือโดยทางอ้อม
                            ีิ                     ั
  •   โลกของสิงมีชวต (Biosphere) หมายถึง ระบบนิเวศหลายๆ ระบบนิเวศมารวมกัน
                    ีิ
  •   แหล่งทีอยู่ (Habitat)หมายถึง แหล่งทีอยูอาศัยของกลุ่มสิงมีชวตต่างๆ ทังบนบกและในนํ า
                                              ่                 ีิ
  •   สิงแวดล้อม (Environment)หมายถึง สิงทีมีผลต่อการดํารงชีวตของสิงมีชวต
                                                                ิ          ีิ




          4                    9 .3/4            2555                                 หน้า 1
4.1



           What about in?




      4   9 .3/4      2555   หน้า 2
( ecosystem structure)



     โครงสร้างของระบบȨ๶วศȨ ประกอบด้วย ส่วนทีมีชวต และ ส่วนทีไม่มชวต ซึงในการศึกษาจะ
                                                       ีิ                 ี ีิ
วิเคราะห์ขอมูลเกียวกับ ชนิด ปริมาณ สัดส่วน การกระจาย
          ้
      ส่วนที มีชีวิต( Bioptic component) ได้แก่ พืช สัตว์ และมนุ ษย์ ซึงแบ่งตามลําดับขันในการ
บริโภค ( trophic level) ได้เป็ น 3 ระดับ คือ
        1.ผูผลิต ( producers) ส่วนมากคือพืชทีสังเคราะห์แสงได้ และสิงมีชวตทีผลิตอาหารเองได้ (
            ้                                                             ีิ
autotroph) เช่น แบคทีเรีย

        2.ผูบริโภค (consumers) คือสิงมีชวตทีไม่สามารถสร้างอาหารเองได้ดวยตนเอง
            ้                                   ีิ                        ้
(heterotroph) ดํารงชีวตอยู่ดวยการกิน สิงมีชวตอืน ได้แก่สตว์ต่าง ๆ ซึงแบ่งเป็ นขัน ๆ
                       ิ      ้                    ีิ         ั
         ดังนี ผูบริโภคขันที 1 : สัตว์กนพืช (herbivores)
                 ้                      ิ
                                    : สัตว์กนสัตว์ (carnivores)
                                            ิ
                                    : สัตว์กนทังสัตว์และพืช (omnivores)
                                              ิ

       3. ผูยอยสลาย ( decomposers) ได้แก่ รา แบคทีเรีย/จุลนทรีย์ อาศัยอาหารจากสิงมีชวตอืนที
            ้่                                            ิ                         ีิ
       ตายไปแล้ว โดยการย่อยสลาย สารประกอบเชิงซ้อนเหล่านัน (อินทรียสาร) เสียก่อนแล้ว จึงดูด
                                                                      ์
       ซึมส่วนทีย่อยสลายได้ไปใช้เป็ นสารอาหารบางส่วน ส่วนทีเหลือ จะปลดปล่อยออกไปสู่ดนเป็ น
                                                                                       ิ
       ประโยชน์แก่ผผลิตต่อไป
                    ู้

   ส่วนทีไม่มีชีวิต ( Abiotic component) ได้แก่ ส่วนทีไม่มชวต แบ่งออกเป็ น
                                                          ี ีิ
               1. อนินทรียสาร เช่น คาร์บอน คาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม
                           ์
   นําและออกซิเจน เป็ นต้น
               2. อินทรียสาร เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน ฮิวมัส เป็ นต้น สารอินทรียเหล่านี เป็ น
                         ์                                                            ์
   สิงจําเป็ นต่อชีวต
                    ิ
               3. สภาพแวดล้อมทางกายภาพ เช่น แสง อุณหภูม ิ ความชืน อากาศ ความเป็ นกรด-เบส
   ความเค็ม ความชืน ทีอยูอาศัย เป็ นต้น
                             ่




           4                      9 .3/4              2555                                    หน้า 3
4.2


         What about in?




  4   9 .3/4      2555    หน้า 4
สิงมีชวตในระดับต่างๆมีความสําคัญแบบเป็ นอาหารซึงกันและกัน [food relationship] เริมจาก
           ีิ
ผูผลิตเป็ นอาหารผูบริโภค และผูบริโภคเป็ นอาหารซึงกันและกัน ผูยอสลายได้รบพลังงานจากอาหาร
  ้                ้             ้                             ้่        ั
เป็ นอันดับสุดท้าย นันคือ สิงมีชวตในระยะต่างๆต่างมีการกินไปเป็ นทอดๆ เรียกว่า ห่วงโซ่อาหาร
                                ีิ
[food chain ] หัวลูกศรจะชีไปยังผูกนเสมอโดย
                                   ้ ิ
    ผูบริโภคอันดับที 1 คือ กินพืชโดยตรง
      ้
    ผูบริโภคอันดับที 2 คือ กินพืชเป็ นอาหาร
      ้
                             ผูบริโภคอันดับที 3 คือ กินสัตว์เป็ นอาหาร
                               ้




                                 สายใยอาหาร (Food Web)
           หมายถึง ห่วงโซ่อาหารหลาย ๆ ห่วงโซ่ ทีมีความคาบเกียวหรือสัมพันธ์กน นันคือ ใน
                                                                           ั
ธรรมชาติการกินต่อกันเป็ นทอด ๆ ในโซ่อาหาร จะมีความซับซ้อนกันมากขึน คือ มีการกินกันอย่าง
ไม่เป็ นระเบียบ
ตัวอย่าง เช่ น




        4                     9 .3/4             2555                               หน้า 5
จากแผนภาพสายใยอาหารด้านบน จะสังเกตเห็นได้ว่า ต้นข้าวทีเป็ น ผูผลิตในระบบ
                                                                                   ้
นิเวศน์นน สามารถถูกสัตว์หลายประเภทบริโภคได้ คือ มีทง วัว ตักแตน ไก่ และ ผึง และ สัตว์ที
          ั                                             ั
เป็ นผูบริโภคลําดับที 1 เหล่านัน ก็สามารถจะเป็ นเหยือของสัตว์อน และ ยังเป็ นผูบริโภคสัตว์อน ได้
       ้                                                      ื               ้           ื
เช่นกัน อาทิเช่น ไก่ สามารถจะบริโภคตักแตนได้ และในขณะเดียวกัน ไก่กมโอกาสทีจะถูกงู
                                                                         ็ ี
บริโภคได้เช่นกัน




       4                      9 .3/4              2555                                    หน้า 6
4.3


    What about in?




4          9 .3/4    2555   หน้า 7
ความสัมพันธ์ระหว่างสิ งมีชีวิต

ความสัมพันธ์ระหว่างสิงมีชวตในระบบนิเวศ แบ่งออกเป็ น 2 ลักษณะคือ
                         ีิ

1. ความสัมพันธ์ระหว่างสิงมีชวตชนิดเดียวกัน
                            ีิ
2. ความสัมพันธ์ระหว่างสิงมีชวตต่างชนิดกัน
                            ีิ

  เพือให้งายต่อความเข้าใจ จึงมีการใช้เครืองหมายต่อไปนีแสดงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มสิงมีชวตที
          ่                                                                             ีิ
                                           อาศัยรวมกัน
                                                            ่
                          + หมายถึง การได้ประโยชน์จากอีกฝายหนึง
                                                          ี ่
                            - หมายถึง การเสียประโยชน์ให้อกฝายหนึง
                        0 หมายถึง การไม่ได้ประโยชน์ แต่กไม่เสียประโยชน์
                                                        ็

ความสัมพันธ์ระหว่างสิ งมีชีวิตในระบบนิ เวศแบ่งได้เป็ น 3 ประเภทใหญ่ คือ

       1. การได้รบประโยชน์ ร่วมกัน (mutualism) เป็ นการอยูรวมกันของสิงมีชวต 2 ชนิดทีได้
                 ั                                       ่่              ีิ
ประโยชน์ดวยกันทังสองชนิดใช้ สัญลักษณ์ +, + เช่น
          ้
  • แมลงกับดอกไม้ แมลงดูดนําหวานจากดอกไม้เป็ นอาหาร และดอกไม้กมแมลงช่วยผสมเกสร
                                                                 ็ ี

          2. ภาวะอิ งอาศัยหรือภาวะเกือกูล (commensalism) เป็ นการอยูรวมกันของสิงมีชวตโดย
                                                                     ่่            ีิ
    ่                         ่
ทีฝายหนึงได้ประโยชน์ส่วนอีกฝายหนึง ไม่ได้ประโยชน์แต่กไม่เสียประโยชน์ (+,0) เช่น
                                                     ็
   • ปลาฉลามกับเหาฉลาม เหาฉลามอาศัยอยูใกล้ตวปลาฉลามและกินเศษอาหารจากปลาฉลาม ซึงปลา
                                        ่    ั
ฉลามจะไม่ได้ประโยชน์ แต่กไม่เสียประโยชน์
                            ็

          3. ฝ่ ายหนึ งได้ประโยชน์ และอีกฝ่ ายหนึ งเสียประโยชน์ ใช้สญลักษณ์ +, - ซึงแบ่งเป็ น 2
                                                                    ั
แบบ คือ
                                                              ่
           1) การล่าเหยือ (predation) เป็ นความสัมพันธ์ โดยมีฝายหนึงเป็ นผูล่า (predator) และอีก
                                                                             ้
               ่                                                ่
              ฝายหนึงเป็ นเหยือ (prey) หรือเป็ นอาหารของอีกฝาย เช่น งูกบกบ ั
                                                                         ่
           2) ภาวะปรสิต (parasitism) เป็ นความสัมพันธ์ของสิงมีชวตทีมีฝายหนึงเป็ นผู้
                                                                  ีิ
                                                         ่
              เบียดเบียน เรียกว่า ปรสิต(parasite)และอีกฝายหนึงเป็ นเจ้าของบ้าน (host)


           4                     9 .3/4             2555                                   หน้า 8
• ต้นกาฝากเช่น ฝอยทองทีขึนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ จะดูดนําและอาหารจากต้นไม้ใหญ่
                 • หมัด เห็บ ไร พยาธิต่าง ๆ ทีอาศัยอยูกบร่างกายคนและสัตว์
                                                      ่ ั
                 • เชือโรคต่าง ๆ ทีทําให้เกิดโรคกับคนและสัตว์

        นอกจากนียังมีความสัมพันธ์แบบภาวะมีการย่อยสลาย (saprophytism) ใช้สญญลักษณ์ +, 0
                                                                               ั
เป็ นการดํารงชีพของกลุ่มผูยอย - สลายสารอินทรีย์ เช่น เห็ด รา แบคทีเรีย และจุลนทรีย์
                          ้ ่                                                ิ




          4                    9 .3/4            2555                                หน้า 9
4.4
What in it ?




       4       9 .3/4   2555   หน้า 10
วัฏจักรของนํา หมายถึง การหมุนเวียนเปลียนแปลงของนําซึงเป็ นปรากฎการณ์ทเกิดขึนเองตามธรรมชาติ
                                                                                ี
      โดยเริมต้นจากนําในแหล่งนํ าต่าง ๆ เช่น ทะเล มหาสมุทร แม่นํา ลําคลองหนอง บึง ทะเลสาบ
      จากการคายนําของพืช จากการขับถ่ายของเสียของสิงมีชวต และจากกิจกรรมต่าง ๆ ทีใช้ในการดํารงชีวตของ
                                                           ีิ                                  ิ
      มนุ ษย์ ระเหยขึนไปในบรรยากาศ กระทบความเย็นควบแน่ นเป็ นละอองนําเล็ก ๆ เป็ นก้อนเมฆ ตกลงมาเป็ น
      ฝนหรือลูกเห็บสู่พนดินไหลลงสู่แหล่งนําต่าง ๆ หมุนเวียนอยูเช่นนีเรือยไป
                       ื                                      ่




       ตัวการทีทําให้เกิ ดการหมุนเวียนของนํา
1. ความร้อนจากดวงอาทิ ตย์ ทําให้เกิดการระเหยของนําจากแหล่งนําต่าง ๆ กลายเป็ นไอนํ าขึนสู่บรรยากาศ
2. กระแสลม ช่วยทําให้นําระเหยกลายเป็ นไอได้เร็วขึน
                                                      ั
3. มนุษย์และสัตว์ ขับถ่ายของเสียออกมาในรูปของเหงือ ปสสาวะ และลมหายใจออกกลายเป็ นไอนํ าสู่
บรรยากาศ
4. พืช รากต้นไม้เปรียบเหมือนฟองนํา มีความสามารถในการดูดนํ าจากดินจํานวนมากขึนไปเก็บไว้ในส่วต่าง ๆ
ทังยอด กิง ใบ ดอก ผล และลําต้น แล้วคายนํ าสู่บรรยากาศ ไอเหล่านีจะควบแต่นและรวมกันเป็ นเมฆและตกลงมา
เป็ นฝนต่อไป




             4                    9 .3/4           2555                               หน้า 11
วัฏจักรคาร์บอน (Carbon cycle)

       คาร์บอน (Carbon) เป็ นธาตุทมีอยูในสารประกอบอินทรียเคมีทุกชนิด ดังนันวัฏจักรคาร์บอนมัก
                                   ี ่                     ์
ไปสัมพันธ์กบวัฏจักรอืน ๆในระบบนิเวศ คาร์บอน เป็ นองค์ประกอบสําคัญอย่างหนึงของ
            ั
สารอินทรียสารในสิงมีชวต เช่น คาร์โบไฮเดรด โปรตีน ไขมัน วิตามิน
          ์           ีิ

        วัฏจักรคาร์บอน หมายถึง การทีแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากกอากาศถูกนําเข้าสู่สงมีชวต
                                                                                ิ ีิ
หรือออกจากสิงมีชวตคืนสู่บรรยากาศ และนํ าอีกหมุนเวียนกันไปเช่นนีไม่มทสินสุดโดย
                 ีิ                                                ี ี
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในบรรยากาศและนํ าถูกนําเข้าสู่สงมีชวต
                                                          ิ ีิ
ผ่านกระบวนการสังเคราะห์ดวยแสงของพืช (CO2) จะถูกเปลียนเป็ นอินทรียสารทีมีพลังงานสะสมอยู่
                          ้
ต่อมาสารอินทรียสารทีพืชสะสมไว้บางส่วนถูกถ่ายทอดไปยังผูบริโภคในระบบต่าง ๆ โดยการกิน
                                                       ้
CO2 ออกจากสิงมีชวตคืนสู่บรรยากาศและนํ าได้หลายทาง ได้แก่
                    ีิ

         1.การหายใจของพืชและสัตว์ เพือให้ได้พลังงานออกมาใช้ ทําให้คาร์บอนทีอยูในรูปของอินทรีย
                                                                              ่
สารถูกปลดปล่อยออกมาเป็ นอิสระในรูปของ CO2
         2.การย่อยสลายสิงขับถ่ายของสัตว์และซากพืชซากสัตว์ ทําให้คาร์บอนทีอยูในรูปของ
                                                                            ่
อาหารถูกปลดปล่อยออกมาเป็ นอิสระในรูปของ CO2
         3.การเผ่าไหม้ของถ่านหิน นํ ามัน และคาร์บอเนต เกิดจากการทับถมของ
ซากพืชซากสัตว์เป็ นเวลานาน
วัฏจักรของคาร์บอนสัมพันธ์กบวัฏจักรนํ าเสมอ ความสมดุลของ CO2 ในอากาศ
                          ั
เกิดจากการแลกเปลียนของ CO2 ในอากาศกับนํา ถ้าในอากาศ CO2มากเกินไป
ก็จะมีการละลายอยูในรูปของ H2CO3
                  ่
(กรดคาร์บอนิก) ดังสมาการต่อไปนี
CO2+H2O                         H2CO3




             4                   9 .3/4            2555                                หน้า 12
ปัจจัยต่างๆ ที มีความสัมพันธ์ต่อระบบนิ เวศ

    แสง ยังมีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการออกหากินของสัตว์ต่างๆ สัตว์ส่วนใหญ่จะออกหากินเวลา
กลางวัน แต่กมสตว์อกหลายชนิดทีออกหากินเวลากลางคืน เช่น ค้างคาว นกฮูก เป็ นต้น
            ็ ีั ี

       อุณหภูมิ สิงมีชวตแต่ละชนิดจะดํารงชีวตอยูได้ในอุณหภูมประมาณ 10 – 30 องศาเซลเซียส ใน
                      ีิ                   ิ ่             ิ
ทีมีอุณหภูมสงมากหรือ - อุณหภูมตํามากจะมีสงมีชวตอาศัยอยูน้อยทังชนิดและจํานวน หรืออาจไม่ม ี
            ิู                    ิ          ิ ีิ            ่
สิงมีชวตอยูได้เลย เช่นแถบขัวโลก และบริเวณทะเลทราย ในแหล่งนําทีอุณหภูมไม่ค่อยเปลียนแปลง
       ีิ ่                                                           ิ

       แต่สงมีชวตก็มการปรับตัว เช่น ในบางฤดูกาลมีสตว์และพืชหลายชนิดต้องพักตัวหรือจําศีล เพือ
           ิ ีิ ี                                 ั
หลีกเลียงการเปลียนแปลง ดังกล่าว สัตว์ประเภทอพยพไปสู่ถนใหม่ทมีอุณหภูมเิ หมาะสมเป็ นการ
                                                        ิ     ี
ชัวคราวในบางฤดู เช่น นกนางแอ่นอพยพจากประเทศจีน มาหากินในประเทศไทยในช่วงฤดูหนาว
และอาจเลยไปถึงมาเลเซียราวเดือนกันยายนทุกปี

        สิงมีชวตจะมีรปร่างลักษณะหรือสีทสัมพันธ์กบอุณหภูมของแหล่งทีอยูเฉพาะแตกต่างกันไปด้วย
              ีิ      ู                ี         ั      ิ           ่
เช่น สุนขในประเทศทีมีอากาศหนาว จะเป็ นพันธุทมีขนยาวปุกปุย แต่ในแถบร้อนจะเป็ นพันธุขนเกรียน
         ั                                   ์ ี                                  ์
ต้นไม้เมืองหนาวก็มเี ฉพาะ เช่น ปาสน จะอยูในเขตหนาวแตกต่างจากพืชในป่าดิบชืนในเขตร้อน
                                ่        ่

          แร่ธาตุต่างๆ จะมีอยูในอากาศทีห่อหุมโลก อยูในดินและละลายอยูในนํ า แร่ธาตุทสําคัญ
                              ่             ้      ่               ่               ี
ได้แก่ ออกซิเจน คาร์บอน ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และแร่ธาตุอนๆ เป็ นสิงจําเป็ นที
                                                                       ื
ทุกชีวตต้องการในกระบวนการดํารงชีพ แต่สงมีชวตแต่ละชนิดต้องการแร่ธาตุเหล่านีในปริมาณที
      ิ                                 ิ ีิ
แตกต่างกัน และระบบนิเวศแต่ละระบบจะมีแร่ธาตุต่างๆ เป็ นองค์ประกอบในปริมาณทีแตกต่างกัน

      ความชืนในบรรยากาศจะแตกต่างกันไปในแต่ละภูมภาคของโลก และยังเปลียนเแปลงไปตาม
                                                   ิ
ฤดูกาล ความชืนมีผลต่อการระเหยของนํ าออกจากร่างกายของสิงมีชวต ทําให้จากัดชนิดและการ
                                                          ีิ        ํ
กระจายของสิงมีชวตในแหล่งทีอยูดวย
               ีิ           ่ ้




          4                     9 .3/4            2555                                หน้า 13
4.5




      4   9 .3/4   2555   หน้า 14
ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) หมายถึง การมีสงมีชวตนานาชนิด นานาพันธุใน
                                                                ิ ีิ                       ์
ระบบนิเวศอันเป็ นแหล่งทีอยูอาศัย ซึงมีมากมายและแตกต่างกันทัวโลก หรือง่ายๆ คือ การทีมีชนิดพันธุ์
                           ่
(Species) สายพันธุ์ (Genetic) และระบบนิเวศ (Ecosystem) ทีแตกต่างหลากหลายบนโลก

       ความหลากหลายทางชีวภาพสามารถพิจารณาได้จากความหลากหลายระหว่างสายพันธุ์
ระหว่างชนิดพันธุ์ และระหว่างระบบนิเวศ

         ความหลากหลายทางชีวภาพระหว่างสายพันธุ์ ทีเห็นได้ชดเจนทีสุด คือ ความแตกต่างระหว่าง
                                                              ั
พันธุพชและสัตว์ต่างๆ ทีใช้ในการเกษตร ความแตกต่างหลากหลายระหว่างสายพันธุ์ ทําให้สามารถ
     ์ ื
เลือกบริโภคข้าวเจ้า หรือข้าวเหนียว ตามทีต้องการได้ หากไม่มความหลากหลายของสายพันธุต่างๆ
                                                            ี                           ์
แล้ว อาจจะต้องรับประทานส้มตําปูเค็มกับข้าวจ้าวก็เป็ นได้ ความแตกต่างทีมีอยูในสายพันธุต่างๆ ยัง
                                                                          ่          ์
ช่วยให้เกษตรกรสามารถเลือกสายพันธุปศุสตว์ เพือให้เหมาะสมตามความต้องการของตลาดได้ เช่น ไก่
                                     ์ ั
พันธุเนือ ไก่พนธุไข่ดก วัวพันธุนม และวัวพันธุเนือ เป็ นต้น
      ์       ั ์              ์             ์

         ความหลากหลายระหว่างชนิดพันธุ์ สามารถพบเห็นได้โดยทัวไปถึงความแตกต่างระหว่างพืช
และสัตว์แต่ละชนิด ไม่ว่าจะเป็ นสัตว์ทอยูใกล้ตว เช่น สุนข แมว จิงจก ตุ๊กแก กา นกพิราบ และ
                                       ี ่    ั        ั
                                        ่ ่
นกกระจอก เป็ นต้น หรือสิงมีชวตทีอยูในปาเขาลําเนาไพร เช่น เสือ ช้าง กวาง กระจง เก้ง ลิง ชะนี หมี
                              ีิ
และวัวแดง เป็ นต้น พืนทีธรรมชาติเป็ นแหล่งทีอยูอาศัยของสิงมีชวตทีแตกต่างหลากหลาย แต่ว่ามนุ ษย์
                                                ่             ีิ
ได้นําเอาสิงมีชวตมาใช้ประโยชน์ทางการเกษตร และอุตสาหกรรม น้อยกว่าร้อยละ 5 ของสิงมีชวต
               ีิ                                                                          ีิ
ทังหมด ในความเป็ นจริงพบว่ามนุ ษย์ได้ใช้พชเป็ นอาหารเพียง 3,000 ชนิด จากพืชมีท่อลําเลียง
                                            ื
(อังกฤษ: vascular plant) ทีมีอยูทงหมดในโลกถึง 320,000 ชนิด ทังๆ ทีประมาณร้อยละ 25 ของพืชทีมี
                                 ่ ั
ท่อลําเลียงนีสามารถนํ ามาบริโภคได้ สําหรับชนิดพันธุสตว์นน มนุ ษย์ได้นําเอาสัตว์เลียงมาเพือใช้
                                                    ์ ั ั
ประโยชน์เพียง 30 ชนิด จากสัตว์มกระดูกสันหลังทังหมดทีมีในโลกประมาณ 50,000 ชนิด (UNEP
                                     ี
1995)

       ความหลากหลายระหว่างระบบนิเวศเป็ นความหลากหลายทางชีวภาพซึงซับซ้อน สามารถเห็น
                                                   ่                 ่
ได้จากความแตกต่างระหว่างระบบนิเวศประเภทต่างๆ เช่น ปาดงดิบ ทุ่งหญ้า ปาชายเลน ทะเลสาบ บึง
หนอง ชายหาด แนวปะการัง ตลอดจนระบบนิเวศทีมนุ ษย์สร้างขึน เช่น ทุ่งนา อ่างเก็บนํา หรือ



           4                     9 .3/4            2555                                 หน้า 15
แม้กระทังชุมชนเมืองของเราเอง ในระบบนิเวศเหล่านี สิงมีชวตก็ต่างชนิดกัน และมีสภาพการอยูอาศัย
                                                      ีิ                            ่
แตกต่างกัน

          ความแตกต่างหลากหลายระหว่างระบบนิเวศ ทําให้โลกมีถนทีอยูอาศัยเหมาะสมสําหรับ
                                                               ิ      ่
สิงมีชวตชนิดต่างๆ ระบบนิเวศแต่ละประเภทให้ประโยชน์แก่การดํารงชีวตของมนุ ษย์แตกต่างกัน หรือ
       ีิ                                                           ิ
                                                                                  ่
อีกนัยหนึงให้ 'บริการทางสิงแวดล้อม' (environmental service) ต่างกันด้วย อาทิเช่น ปาไม้ทําหน้าทีดูด
ซับนํ า ไม่ให้เกิดนํ าท่วมและการพังทลายของดิน ส่วนป่าชายเลนทําหน้าทีเก็บตะกอนไม่ให้ไปทบถมจน
บริเวณปากอ่าวตืนเขิน ตลอดจนป้องกันการกัดเซาะบริเวณชายฝงจากกระแสลมและคลืนด้วย เป็ นต้น
                                                             ั




           4                      9 .3/4             2555                                  หน้า 16
4.6




 4    9 .3/4   2555   หน้า 17
ประชากร (population) หมายถึง กลุ่มของสิงมีชวตทีเป็ นชนิดเดียวกัน อาศัยอยูในบริเวณ
                                               ีิ                       ่
เดียวกัน ในช่วงเวลาหนึง ซึงในแต่ละบริเวณจะมีจานวนประชากรทีแตกต่างกัน
                                             ํ

ขนาดของประชากร
       ในแหล่งทีอยูแต่ละแห่งจะมีจานวนกลุ่มสิงมีชวต หรือจํานวนประชากรแตกต่างกันไป
                  ่              ํ              ีิ
                                                                       ั
การศึกษาขนาด หรือลักษณะ ความหนาแน่ นของประชากรในแหล่งทีอยูหนึงๆ มีปจจัยดังภาพ
                                                                ่




ประชากรที มีขนาดคงที

อัตราการเกิ ด + อัตรการอพยพเข้า = อัตราการตาย + อัตราการตาย


ประชากรที มีขนาดเพิ มขึน



อัตราการเกิ ด + อัตรการอพยพเข้า > อัตราการตาย + อัตราการตาย


          4                    9 .3/4           2555                                หน้า 18
ประชากรที มีขนาดลดลง

อัตราการเกิ ด + อัตรการอพยพเข้า < อัตราการตาย + อัตราการตาย



ปัญหาที เกิ ดจากการเพิ มจํานวนประชากร

      การเพิมขึนของจํานวนประชากร ในขณะทีพืนทีของประเทศยังคงเท่าเดิม ทําให้สดส่วนจํานวน
                                                                           ั
                                         ั
ประชากรต่อหน่ วยพืนที เพิมขึน ทําให้เกิดปญหาต่าง ๆ ได้แก่

การขาดแคลนพืนทีอยูอาศัย จึงเกิดการขยายชุมชนเมืองออกไปสู่ชนบท ซึงเป็ นแหล่งเพาะปลูกทางการ
                        ่
เกษตร อันอุดมสมบูรณ์ พืนทีทางการเกษตรลดลง เพาะพืนทีชนบททีอุดมสมบูรณ์ เป็ นแหล่งอู่ขาวอู่นํา
                                                                                      ้
                                          ั
แหล่งผลิตทางการเกษตร ความต้องการปจจัยสีเพิมขึน ได้แก่ อาหาร ทีอยูอาศัย ยารักษาโรค และ
                                                                     ่
                ั
เครืองนุ่ งห่ม ปจจัยสีเหล่านีได้มาจากทรัพยากรธรรมชาติ เมือประชากรเพิมมากขึนต้องเสาะหา
ทรัพยากรธรรมชาติให้ได้มากขึน เพิมการผลิตผล ผลิตให้ได้มากและรวดเร็วโดยอาศัยกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผลของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทําให้ประดิษฐ์คดค้นเครืองมือ
                                                                        ิ
เครืองจักร และกรรมวิธการ ทําการเกษตรกรรม สมัยใหม่ ตลอดจนการแปรรูปผลิตภัณฑ์ โดย
                          ี
เปลียนแปลงกระบวนการผลิต ทีทํากันในครอบครัวเป็ นการผลิตในระดับ อุตสาหกรรมผลจาก
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทําให้ทรัพยากรธรรมชาติถูกนํามาใช้อย่างมากมาย และรวดเร็วจนทําให้
ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ป่าไม้ แร่ธาตุ นํามันเชือเพลิง มีปริมาณลดน้องลงไปมาก ผลกระทบต่อ
สิงแวดล้อม ทําให้สภาพแวดล้อมเสือมโทรมและเป็ นพิษ เกินกว่าธรรมชาติ จะแก้ไขและบําบัดให้
กลับคืนมาเหมือนเดิมได้




           4                     9 .3/4            2555                              หน้า 19

More Related Content

ระบบȨ๶วศȨ

  • 1. 4 ระบบนิ เวศ หมายถึง หน่ วยของความสัมพันธ์ของสิงมีชวตในแหล่งทีอยูแหล่งใดแหล่งหนึง มา ีิ ่ จากรากศัพท์ในภาษากรีก 2 คํา คือO ikos แปลว่า บ้าน, ทีอยูอาศัย,แหล่งทีอยูของสิงมีชวต Logos ่ ่ ีิ แปลว่า เหตุผล, ความคิด • สิงมีชวต (Organism)หมายถึง สิงทีต้องใช้พลังงานในการดํารงชีวต ีิ ิ • ประชากร (Population)หมายถึง สิงมีชวตทังหมดทีเป็ นชนิดเดียวกัน อาศัยอยูในแหล่งทีอยู่ ีิ ่ เดียวกัน ณ ช่วงเวลาเดียวกัน • กลุ่มสิงมีชวต (Community) หมายถึง สิงมีชวตต่างๆ หลายชนิด มาอาศัยอยูรวมกันในบริเวณใด ีิ ีิ ่ บริเวณหนึง โดยสิงมีชวตนันๆ มีความสัมพันธ์กนโดยตรงหรือโดยทางอ้อม ีิ ั • โลกของสิงมีชวต (Biosphere) หมายถึง ระบบนิเวศหลายๆ ระบบนิเวศมารวมกัน ีิ • แหล่งทีอยู่ (Habitat)หมายถึง แหล่งทีอยูอาศัยของกลุ่มสิงมีชวตต่างๆ ทังบนบกและในนํ า ่ ีิ • สิงแวดล้อม (Environment)หมายถึง สิงทีมีผลต่อการดํารงชีวตของสิงมีชวต ิ ีิ 4 9 .3/4 2555 หน้า 1
  • 2. 4.1 What about in? 4 9 .3/4 2555 หน้า 2
  • 3. ( ecosystem structure) โครงสร้างของระบบȨ๶วศȨ ประกอบด้วย ส่วนทีมีชวต และ ส่วนทีไม่มชวต ซึงในการศึกษาจะ ีิ ี ีิ วิเคราะห์ขอมูลเกียวกับ ชนิด ปริมาณ สัดส่วน การกระจาย ้ ส่วนที มีชีวิต( Bioptic component) ได้แก่ พืช สัตว์ และมนุ ษย์ ซึงแบ่งตามลําดับขันในการ บริโภค ( trophic level) ได้เป็ น 3 ระดับ คือ 1.ผูผลิต ( producers) ส่วนมากคือพืชทีสังเคราะห์แสงได้ และสิงมีชวตทีผลิตอาหารเองได้ ( ้ ีิ autotroph) เช่น แบคทีเรีย 2.ผูบริโภค (consumers) คือสิงมีชวตทีไม่สามารถสร้างอาหารเองได้ดวยตนเอง ้ ีิ ้ (heterotroph) ดํารงชีวตอยู่ดวยการกิน สิงมีชวตอืน ได้แก่สตว์ต่าง ๆ ซึงแบ่งเป็ นขัน ๆ ิ ้ ีิ ั ดังนี ผูบริโภคขันที 1 : สัตว์กนพืช (herbivores) ้ ิ : สัตว์กนสัตว์ (carnivores) ิ : สัตว์กนทังสัตว์และพืช (omnivores) ิ 3. ผูยอยสลาย ( decomposers) ได้แก่ รา แบคทีเรีย/จุลนทรีย์ อาศัยอาหารจากสิงมีชวตอืนที ้่ ิ ีิ ตายไปแล้ว โดยการย่อยสลาย สารประกอบเชิงซ้อนเหล่านัน (อินทรียสาร) เสียก่อนแล้ว จึงดูด ์ ซึมส่วนทีย่อยสลายได้ไปใช้เป็ นสารอาหารบางส่วน ส่วนทีเหลือ จะปลดปล่อยออกไปสู่ดนเป็ น ิ ประโยชน์แก่ผผลิตต่อไป ู้ ส่วนทีไม่มีชีวิต ( Abiotic component) ได้แก่ ส่วนทีไม่มชวต แบ่งออกเป็ น ี ีิ 1. อนินทรียสาร เช่น คาร์บอน คาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม ์ นําและออกซิเจน เป็ นต้น 2. อินทรียสาร เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน ฮิวมัส เป็ นต้น สารอินทรียเหล่านี เป็ น ์ ์ สิงจําเป็ นต่อชีวต ิ 3. สภาพแวดล้อมทางกายภาพ เช่น แสง อุณหภูม ิ ความชืน อากาศ ความเป็ นกรด-เบส ความเค็ม ความชืน ทีอยูอาศัย เป็ นต้น ่ 4 9 .3/4 2555 หน้า 3
  • 4. 4.2 What about in? 4 9 .3/4 2555 หน้า 4
  • 5. สิงมีชวตในระดับต่างๆมีความสําคัญแบบเป็ นอาหารซึงกันและกัน [food relationship] เริมจาก ีิ ผูผลิตเป็ นอาหารผูบริโภค และผูบริโภคเป็ นอาหารซึงกันและกัน ผูยอสลายได้รบพลังงานจากอาหาร ้ ้ ้ ้่ ั เป็ นอันดับสุดท้าย นันคือ สิงมีชวตในระยะต่างๆต่างมีการกินไปเป็ นทอดๆ เรียกว่า ห่วงโซ่อาหาร ีิ [food chain ] หัวลูกศรจะชีไปยังผูกนเสมอโดย ้ ิ ผูบริโภคอันดับที 1 คือ กินพืชโดยตรง ้ ผูบริโภคอันดับที 2 คือ กินพืชเป็ นอาหาร ้ ผูบริโภคอันดับที 3 คือ กินสัตว์เป็ นอาหาร ้ สายใยอาหาร (Food Web) หมายถึง ห่วงโซ่อาหารหลาย ๆ ห่วงโซ่ ทีมีความคาบเกียวหรือสัมพันธ์กน นันคือ ใน ั ธรรมชาติการกินต่อกันเป็ นทอด ๆ ในโซ่อาหาร จะมีความซับซ้อนกันมากขึน คือ มีการกินกันอย่าง ไม่เป็ นระเบียบ ตัวอย่าง เช่ น 4 9 .3/4 2555 หน้า 5
  • 6. จากแผนภาพสายใยอาหารด้านบน จะสังเกตเห็นได้ว่า ต้นข้าวทีเป็ น ผูผลิตในระบบ ้ นิเวศน์นน สามารถถูกสัตว์หลายประเภทบริโภคได้ คือ มีทง วัว ตักแตน ไก่ และ ผึง และ สัตว์ที ั ั เป็ นผูบริโภคลําดับที 1 เหล่านัน ก็สามารถจะเป็ นเหยือของสัตว์อน และ ยังเป็ นผูบริโภคสัตว์อน ได้ ้ ื ้ ื เช่นกัน อาทิเช่น ไก่ สามารถจะบริโภคตักแตนได้ และในขณะเดียวกัน ไก่กมโอกาสทีจะถูกงู ็ ี บริโภคได้เช่นกัน 4 9 .3/4 2555 หน้า 6
  • 7. 4.3 What about in? 4 9 .3/4 2555 หน้า 7
  • 8. ความสัมพันธ์ระหว่างสิ งมีชีวิต ความสัมพันธ์ระหว่างสิงมีชวตในระบบนิเวศ แบ่งออกเป็ น 2 ลักษณะคือ ีิ 1. ความสัมพันธ์ระหว่างสิงมีชวตชนิดเดียวกัน ีิ 2. ความสัมพันธ์ระหว่างสิงมีชวตต่างชนิดกัน ีิ เพือให้งายต่อความเข้าใจ จึงมีการใช้เครืองหมายต่อไปนีแสดงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มสิงมีชวตที ่ ีิ อาศัยรวมกัน ่ + หมายถึง การได้ประโยชน์จากอีกฝายหนึง ี ่ - หมายถึง การเสียประโยชน์ให้อกฝายหนึง 0 หมายถึง การไม่ได้ประโยชน์ แต่กไม่เสียประโยชน์ ็ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ งมีชีวิตในระบบนิ เวศแบ่งได้เป็ น 3 ประเภทใหญ่ คือ 1. การได้รบประโยชน์ ร่วมกัน (mutualism) เป็ นการอยูรวมกันของสิงมีชวต 2 ชนิดทีได้ ั ่่ ีิ ประโยชน์ดวยกันทังสองชนิดใช้ สัญลักษณ์ +, + เช่น ้ • แมลงกับดอกไม้ แมลงดูดนําหวานจากดอกไม้เป็ นอาหาร และดอกไม้กมแมลงช่วยผสมเกสร ็ ี 2. ภาวะอิ งอาศัยหรือภาวะเกือกูล (commensalism) เป็ นการอยูรวมกันของสิงมีชวตโดย ่่ ีิ ่ ่ ทีฝายหนึงได้ประโยชน์ส่วนอีกฝายหนึง ไม่ได้ประโยชน์แต่กไม่เสียประโยชน์ (+,0) เช่น ็ • ปลาฉลามกับเหาฉลาม เหาฉลามอาศัยอยูใกล้ตวปลาฉลามและกินเศษอาหารจากปลาฉลาม ซึงปลา ่ ั ฉลามจะไม่ได้ประโยชน์ แต่กไม่เสียประโยชน์ ็ 3. ฝ่ ายหนึ งได้ประโยชน์ และอีกฝ่ ายหนึ งเสียประโยชน์ ใช้สญลักษณ์ +, - ซึงแบ่งเป็ น 2 ั แบบ คือ ่ 1) การล่าเหยือ (predation) เป็ นความสัมพันธ์ โดยมีฝายหนึงเป็ นผูล่า (predator) และอีก ้ ่ ่ ฝายหนึงเป็ นเหยือ (prey) หรือเป็ นอาหารของอีกฝาย เช่น งูกบกบ ั ่ 2) ภาวะปรสิต (parasitism) เป็ นความสัมพันธ์ของสิงมีชวตทีมีฝายหนึงเป็ นผู้ ีิ ่ เบียดเบียน เรียกว่า ปรสิต(parasite)และอีกฝายหนึงเป็ นเจ้าของบ้าน (host) 4 9 .3/4 2555 หน้า 8
  • 9. • ต้นกาฝากเช่น ฝอยทองทีขึนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ จะดูดนําและอาหารจากต้นไม้ใหญ่ • หมัด เห็บ ไร พยาธิต่าง ๆ ทีอาศัยอยูกบร่างกายคนและสัตว์ ่ ั • เชือโรคต่าง ๆ ทีทําให้เกิดโรคกับคนและสัตว์ นอกจากนียังมีความสัมพันธ์แบบภาวะมีการย่อยสลาย (saprophytism) ใช้สญญลักษณ์ +, 0 ั เป็ นการดํารงชีพของกลุ่มผูยอย - สลายสารอินทรีย์ เช่น เห็ด รา แบคทีเรีย และจุลนทรีย์ ้ ่ ิ 4 9 .3/4 2555 หน้า 9
  • 10. 4.4 What in it ? 4 9 .3/4 2555 หน้า 10
  • 11. วัฏจักรของนํา หมายถึง การหมุนเวียนเปลียนแปลงของนําซึงเป็ นปรากฎการณ์ทเกิดขึนเองตามธรรมชาติ ี โดยเริมต้นจากนําในแหล่งนํ าต่าง ๆ เช่น ทะเล มหาสมุทร แม่นํา ลําคลองหนอง บึง ทะเลสาบ จากการคายนําของพืช จากการขับถ่ายของเสียของสิงมีชวต และจากกิจกรรมต่าง ๆ ทีใช้ในการดํารงชีวตของ ีิ ิ มนุ ษย์ ระเหยขึนไปในบรรยากาศ กระทบความเย็นควบแน่ นเป็ นละอองนําเล็ก ๆ เป็ นก้อนเมฆ ตกลงมาเป็ น ฝนหรือลูกเห็บสู่พนดินไหลลงสู่แหล่งนําต่าง ๆ หมุนเวียนอยูเช่นนีเรือยไป ื ่ ตัวการทีทําให้เกิ ดการหมุนเวียนของนํา 1. ความร้อนจากดวงอาทิ ตย์ ทําให้เกิดการระเหยของนําจากแหล่งนําต่าง ๆ กลายเป็ นไอนํ าขึนสู่บรรยากาศ 2. กระแสลม ช่วยทําให้นําระเหยกลายเป็ นไอได้เร็วขึน ั 3. มนุษย์และสัตว์ ขับถ่ายของเสียออกมาในรูปของเหงือ ปสสาวะ และลมหายใจออกกลายเป็ นไอนํ าสู่ บรรยากาศ 4. พืช รากต้นไม้เปรียบเหมือนฟองนํา มีความสามารถในการดูดนํ าจากดินจํานวนมากขึนไปเก็บไว้ในส่วต่าง ๆ ทังยอด กิง ใบ ดอก ผล และลําต้น แล้วคายนํ าสู่บรรยากาศ ไอเหล่านีจะควบแต่นและรวมกันเป็ นเมฆและตกลงมา เป็ นฝนต่อไป 4 9 .3/4 2555 หน้า 11
  • 12. วัฏจักรคาร์บอน (Carbon cycle) คาร์บอน (Carbon) เป็ นธาตุทมีอยูในสารประกอบอินทรียเคมีทุกชนิด ดังนันวัฏจักรคาร์บอนมัก ี ่ ์ ไปสัมพันธ์กบวัฏจักรอืน ๆในระบบนิเวศ คาร์บอน เป็ นองค์ประกอบสําคัญอย่างหนึงของ ั สารอินทรียสารในสิงมีชวต เช่น คาร์โบไฮเดรด โปรตีน ไขมัน วิตามิน ์ ีิ วัฏจักรคาร์บอน หมายถึง การทีแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากกอากาศถูกนําเข้าสู่สงมีชวต ิ ีิ หรือออกจากสิงมีชวตคืนสู่บรรยากาศ และนํ าอีกหมุนเวียนกันไปเช่นนีไม่มทสินสุดโดย ีิ ี ี แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในบรรยากาศและนํ าถูกนําเข้าสู่สงมีชวต ิ ีิ ผ่านกระบวนการสังเคราะห์ดวยแสงของพืช (CO2) จะถูกเปลียนเป็ นอินทรียสารทีมีพลังงานสะสมอยู่ ้ ต่อมาสารอินทรียสารทีพืชสะสมไว้บางส่วนถูกถ่ายทอดไปยังผูบริโภคในระบบต่าง ๆ โดยการกิน ้ CO2 ออกจากสิงมีชวตคืนสู่บรรยากาศและนํ าได้หลายทาง ได้แก่ ีิ 1.การหายใจของพืชและสัตว์ เพือให้ได้พลังงานออกมาใช้ ทําให้คาร์บอนทีอยูในรูปของอินทรีย ่ สารถูกปลดปล่อยออกมาเป็ นอิสระในรูปของ CO2 2.การย่อยสลายสิงขับถ่ายของสัตว์และซากพืชซากสัตว์ ทําให้คาร์บอนทีอยูในรูปของ ่ อาหารถูกปลดปล่อยออกมาเป็ นอิสระในรูปของ CO2 3.การเผ่าไหม้ของถ่านหิน นํ ามัน และคาร์บอเนต เกิดจากการทับถมของ ซากพืชซากสัตว์เป็ นเวลานาน วัฏจักรของคาร์บอนสัมพันธ์กบวัฏจักรนํ าเสมอ ความสมดุลของ CO2 ในอากาศ ั เกิดจากการแลกเปลียนของ CO2 ในอากาศกับนํา ถ้าในอากาศ CO2มากเกินไป ก็จะมีการละลายอยูในรูปของ H2CO3 ่ (กรดคาร์บอนิก) ดังสมาการต่อไปนี CO2+H2O H2CO3 4 9 .3/4 2555 หน้า 12
  • 13. ปัจจัยต่างๆ ที มีความสัมพันธ์ต่อระบบนิ เวศ แสง ยังมีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการออกหากินของสัตว์ต่างๆ สัตว์ส่วนใหญ่จะออกหากินเวลา กลางวัน แต่กมสตว์อกหลายชนิดทีออกหากินเวลากลางคืน เช่น ค้างคาว นกฮูก เป็ นต้น ็ ีั ี อุณหภูมิ สิงมีชวตแต่ละชนิดจะดํารงชีวตอยูได้ในอุณหภูมประมาณ 10 – 30 องศาเซลเซียส ใน ีิ ิ ่ ิ ทีมีอุณหภูมสงมากหรือ - อุณหภูมตํามากจะมีสงมีชวตอาศัยอยูน้อยทังชนิดและจํานวน หรืออาจไม่ม ี ิู ิ ิ ีิ ่ สิงมีชวตอยูได้เลย เช่นแถบขัวโลก และบริเวณทะเลทราย ในแหล่งนําทีอุณหภูมไม่ค่อยเปลียนแปลง ีิ ่ ิ แต่สงมีชวตก็มการปรับตัว เช่น ในบางฤดูกาลมีสตว์และพืชหลายชนิดต้องพักตัวหรือจําศีล เพือ ิ ีิ ี ั หลีกเลียงการเปลียนแปลง ดังกล่าว สัตว์ประเภทอพยพไปสู่ถนใหม่ทมีอุณหภูมเิ หมาะสมเป็ นการ ิ ี ชัวคราวในบางฤดู เช่น นกนางแอ่นอพยพจากประเทศจีน มาหากินในประเทศไทยในช่วงฤดูหนาว และอาจเลยไปถึงมาเลเซียราวเดือนกันยายนทุกปี สิงมีชวตจะมีรปร่างลักษณะหรือสีทสัมพันธ์กบอุณหภูมของแหล่งทีอยูเฉพาะแตกต่างกันไปด้วย ีิ ู ี ั ิ ่ เช่น สุนขในประเทศทีมีอากาศหนาว จะเป็ นพันธุทมีขนยาวปุกปุย แต่ในแถบร้อนจะเป็ นพันธุขนเกรียน ั ์ ี ์ ต้นไม้เมืองหนาวก็มเี ฉพาะ เช่น ปาสน จะอยูในเขตหนาวแตกต่างจากพืชในป่าดิบชืนในเขตร้อน ่ ่ แร่ธาตุต่างๆ จะมีอยูในอากาศทีห่อหุมโลก อยูในดินและละลายอยูในนํ า แร่ธาตุทสําคัญ ่ ้ ่ ่ ี ได้แก่ ออกซิเจน คาร์บอน ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และแร่ธาตุอนๆ เป็ นสิงจําเป็ นที ื ทุกชีวตต้องการในกระบวนการดํารงชีพ แต่สงมีชวตแต่ละชนิดต้องการแร่ธาตุเหล่านีในปริมาณที ิ ิ ีิ แตกต่างกัน และระบบนิเวศแต่ละระบบจะมีแร่ธาตุต่างๆ เป็ นองค์ประกอบในปริมาณทีแตกต่างกัน ความชืนในบรรยากาศจะแตกต่างกันไปในแต่ละภูมภาคของโลก และยังเปลียนเแปลงไปตาม ิ ฤดูกาล ความชืนมีผลต่อการระเหยของนํ าออกจากร่างกายของสิงมีชวต ทําให้จากัดชนิดและการ ีิ ํ กระจายของสิงมีชวตในแหล่งทีอยูดวย ีิ ่ ้ 4 9 .3/4 2555 หน้า 13
  • 14. 4.5 4 9 .3/4 2555 หน้า 14
  • 15. ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) หมายถึง การมีสงมีชวตนานาชนิด นานาพันธุใน ิ ีิ ์ ระบบนิเวศอันเป็ นแหล่งทีอยูอาศัย ซึงมีมากมายและแตกต่างกันทัวโลก หรือง่ายๆ คือ การทีมีชนิดพันธุ์ ่ (Species) สายพันธุ์ (Genetic) และระบบนิเวศ (Ecosystem) ทีแตกต่างหลากหลายบนโลก ความหลากหลายทางชีวภาพสามารถพิจารณาได้จากความหลากหลายระหว่างสายพันธุ์ ระหว่างชนิดพันธุ์ และระหว่างระบบนิเวศ ความหลากหลายทางชีวภาพระหว่างสายพันธุ์ ทีเห็นได้ชดเจนทีสุด คือ ความแตกต่างระหว่าง ั พันธุพชและสัตว์ต่างๆ ทีใช้ในการเกษตร ความแตกต่างหลากหลายระหว่างสายพันธุ์ ทําให้สามารถ ์ ื เลือกบริโภคข้าวเจ้า หรือข้าวเหนียว ตามทีต้องการได้ หากไม่มความหลากหลายของสายพันธุต่างๆ ี ์ แล้ว อาจจะต้องรับประทานส้มตําปูเค็มกับข้าวจ้าวก็เป็ นได้ ความแตกต่างทีมีอยูในสายพันธุต่างๆ ยัง ่ ์ ช่วยให้เกษตรกรสามารถเลือกสายพันธุปศุสตว์ เพือให้เหมาะสมตามความต้องการของตลาดได้ เช่น ไก่ ์ ั พันธุเนือ ไก่พนธุไข่ดก วัวพันธุนม และวัวพันธุเนือ เป็ นต้น ์ ั ์ ์ ์ ความหลากหลายระหว่างชนิดพันธุ์ สามารถพบเห็นได้โดยทัวไปถึงความแตกต่างระหว่างพืช และสัตว์แต่ละชนิด ไม่ว่าจะเป็ นสัตว์ทอยูใกล้ตว เช่น สุนข แมว จิงจก ตุ๊กแก กา นกพิราบ และ ี ่ ั ั ่ ่ นกกระจอก เป็ นต้น หรือสิงมีชวตทีอยูในปาเขาลําเนาไพร เช่น เสือ ช้าง กวาง กระจง เก้ง ลิง ชะนี หมี ีิ และวัวแดง เป็ นต้น พืนทีธรรมชาติเป็ นแหล่งทีอยูอาศัยของสิงมีชวตทีแตกต่างหลากหลาย แต่ว่ามนุ ษย์ ่ ีิ ได้นําเอาสิงมีชวตมาใช้ประโยชน์ทางการเกษตร และอุตสาหกรรม น้อยกว่าร้อยละ 5 ของสิงมีชวต ีิ ีิ ทังหมด ในความเป็ นจริงพบว่ามนุ ษย์ได้ใช้พชเป็ นอาหารเพียง 3,000 ชนิด จากพืชมีท่อลําเลียง ื (อังกฤษ: vascular plant) ทีมีอยูทงหมดในโลกถึง 320,000 ชนิด ทังๆ ทีประมาณร้อยละ 25 ของพืชทีมี ่ ั ท่อลําเลียงนีสามารถนํ ามาบริโภคได้ สําหรับชนิดพันธุสตว์นน มนุ ษย์ได้นําเอาสัตว์เลียงมาเพือใช้ ์ ั ั ประโยชน์เพียง 30 ชนิด จากสัตว์มกระดูกสันหลังทังหมดทีมีในโลกประมาณ 50,000 ชนิด (UNEP ี 1995) ความหลากหลายระหว่างระบบนิเวศเป็ นความหลากหลายทางชีวภาพซึงซับซ้อน สามารถเห็น ่ ่ ได้จากความแตกต่างระหว่างระบบนิเวศประเภทต่างๆ เช่น ปาดงดิบ ทุ่งหญ้า ปาชายเลน ทะเลสาบ บึง หนอง ชายหาด แนวปะการัง ตลอดจนระบบนิเวศทีมนุ ษย์สร้างขึน เช่น ทุ่งนา อ่างเก็บนํา หรือ 4 9 .3/4 2555 หน้า 15
  • 16. แม้กระทังชุมชนเมืองของเราเอง ในระบบนิเวศเหล่านี สิงมีชวตก็ต่างชนิดกัน และมีสภาพการอยูอาศัย ีิ ่ แตกต่างกัน ความแตกต่างหลากหลายระหว่างระบบนิเวศ ทําให้โลกมีถนทีอยูอาศัยเหมาะสมสําหรับ ิ ่ สิงมีชวตชนิดต่างๆ ระบบนิเวศแต่ละประเภทให้ประโยชน์แก่การดํารงชีวตของมนุ ษย์แตกต่างกัน หรือ ีิ ิ ่ อีกนัยหนึงให้ 'บริการทางสิงแวดล้อม' (environmental service) ต่างกันด้วย อาทิเช่น ปาไม้ทําหน้าทีดูด ซับนํ า ไม่ให้เกิดนํ าท่วมและการพังทลายของดิน ส่วนป่าชายเลนทําหน้าทีเก็บตะกอนไม่ให้ไปทบถมจน บริเวณปากอ่าวตืนเขิน ตลอดจนป้องกันการกัดเซาะบริเวณชายฝงจากกระแสลมและคลืนด้วย เป็ นต้น ั 4 9 .3/4 2555 หน้า 16
  • 17. 4.6 4 9 .3/4 2555 หน้า 17
  • 18. ประชากร (population) หมายถึง กลุ่มของสิงมีชวตทีเป็ นชนิดเดียวกัน อาศัยอยูในบริเวณ ีิ ่ เดียวกัน ในช่วงเวลาหนึง ซึงในแต่ละบริเวณจะมีจานวนประชากรทีแตกต่างกัน ํ ขนาดของประชากร ในแหล่งทีอยูแต่ละแห่งจะมีจานวนกลุ่มสิงมีชวต หรือจํานวนประชากรแตกต่างกันไป ่ ํ ีิ ั การศึกษาขนาด หรือลักษณะ ความหนาแน่ นของประชากรในแหล่งทีอยูหนึงๆ มีปจจัยดังภาพ ่ ประชากรที มีขนาดคงที อัตราการเกิ ด + อัตรการอพยพเข้า = อัตราการตาย + อัตราการตาย ประชากรที มีขนาดเพิ มขึน อัตราการเกิ ด + อัตรการอพยพเข้า > อัตราการตาย + อัตราการตาย 4 9 .3/4 2555 หน้า 18
  • 19. ประชากรที มีขนาดลดลง อัตราการเกิ ด + อัตรการอพยพเข้า < อัตราการตาย + อัตราการตาย ปัญหาที เกิ ดจากการเพิ มจํานวนประชากร การเพิมขึนของจํานวนประชากร ในขณะทีพืนทีของประเทศยังคงเท่าเดิม ทําให้สดส่วนจํานวน ั ั ประชากรต่อหน่ วยพืนที เพิมขึน ทําให้เกิดปญหาต่าง ๆ ได้แก่ การขาดแคลนพืนทีอยูอาศัย จึงเกิดการขยายชุมชนเมืองออกไปสู่ชนบท ซึงเป็ นแหล่งเพาะปลูกทางการ ่ เกษตร อันอุดมสมบูรณ์ พืนทีทางการเกษตรลดลง เพาะพืนทีชนบททีอุดมสมบูรณ์ เป็ นแหล่งอู่ขาวอู่นํา ้ ั แหล่งผลิตทางการเกษตร ความต้องการปจจัยสีเพิมขึน ได้แก่ อาหาร ทีอยูอาศัย ยารักษาโรค และ ่ ั เครืองนุ่ งห่ม ปจจัยสีเหล่านีได้มาจากทรัพยากรธรรมชาติ เมือประชากรเพิมมากขึนต้องเสาะหา ทรัพยากรธรรมชาติให้ได้มากขึน เพิมการผลิตผล ผลิตให้ได้มากและรวดเร็วโดยอาศัยกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผลของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทําให้ประดิษฐ์คดค้นเครืองมือ ิ เครืองจักร และกรรมวิธการ ทําการเกษตรกรรม สมัยใหม่ ตลอดจนการแปรรูปผลิตภัณฑ์ โดย ี เปลียนแปลงกระบวนการผลิต ทีทํากันในครอบครัวเป็ นการผลิตในระดับ อุตสาหกรรมผลจาก วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทําให้ทรัพยากรธรรมชาติถูกนํามาใช้อย่างมากมาย และรวดเร็วจนทําให้ ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ป่าไม้ แร่ธาตุ นํามันเชือเพลิง มีปริมาณลดน้องลงไปมาก ผลกระทบต่อ สิงแวดล้อม ทําให้สภาพแวดล้อมเสือมโทรมและเป็ นพิษ เกินกว่าธรรมชาติ จะแก้ไขและบําบัดให้ กลับคืนมาเหมือนเดิมได้ 4 9 .3/4 2555 หน้า 19