ݺߣ

ݺߣShare a Scribd company logo
ึϸงอาทิตย์
ึϸงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ที่เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะของเรา ดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์แคระ
ดาวเคราะห์น้อย และดาวหาง ล้วนแล้วแต่โคจรรอบึϸงอาทิตย์ทั้งสิ้น ึϸงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ที่
สาคัญยิ่งต่อโลก เช่น ให้พลังงานแก่พืชในรูปของแสง และพืชก็เปลี่ยนแสงให้เป็นพลังงานใน
การตรึงแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นน้าตาล ตลอดจนทาให้โลกมีสภาวะอากาศหลากหลาย
เอื้อต่อการดารงชีวิต
ึϸงอาทิตย์ประกอบด้วยไฮโดรเจนอยู่ร้อยละ 74 โดยมวล ฮีเลียมร้อยละ 25 โดยมวล และธาตุ
อื่น ๆ ในปริมาณเล็กน้อย ึϸงอาทิตย์จัดอยู่ในสเปกตรัม G2V ซึ่ง G2 หมายความว่าึϸงอาทิตย์มี
อุณหภูมิพื้นผิวประมาณ 5,780 เคลวิน (ประมาณ 5,515 องศาเซลเซียส หรือ 9,940 องศาฟาเรน
ไฮ) ึϸงอาทิตย์จึงมีสีขาว แต่เห็นบนโลกเป็นสีเหลือง เนื่องจากการกระเจิงของแสง ส่วน V
(เลข 5) บ่งบอกว่าึϸงอาทิตย์อยู่ในลาดับหลัก ผลิตพลังงานโดยการหลอมไฮโดรเจนให้เป็น
ฮีเลียม และอยู่ในสภาพสมดุล ไม่ยุบตัวหรือขยายตัว
ึϸงอาทิตย์อยู่ห่างจากศูนย์กลางดาราจักรทางช้างเผือกเป็นระยะทางโดยประมาณ 26,000 ปีแสง
ใช้เวลาโคจรครบรอบดาราจักรประมาณ 225-250 ล้านปี มีอัตราเร็วในวงโคจร 215 กิโลเมตรต่อ
วินาที หรือ 1 ปีแสง ทุก ๆ 1,400 ปี
ปัจจุบันและอนาคตของึϸงอาทิตย์
เมื่อไฮโดรเจนซึ่งเป็นเชื้อเพลิงของึϸงอาทิตย์หมดลง วาระสุดท้ายของึϸงอาทิตย์ก็มาถึง (คือ
การพ้นไปจากลาดับหลัก) โดยึϸงอาทิตย์จะเริ่มพบกับจุดจบคือการแปรเปลี่ยนไปเป็นดาวยักษ์
แดงภายใน 4-5 พันล้านปี ผิวนอกของึϸงอาทิตย์ขยายตัวออกไป ส่วนแกนนั้นยุบตัวลงและ
ร้อนขึ้นสลับกับเย็นลง มีการหลอมฮีเลียมเป็นคาร์บอนและออกซิเจนที่อุณหภูมิราว 100 ล้านเคล
วิน จากสถานการณ์ข้างต้นดูเหมือนว่าึϸงอาทิตย์จะกลืนกินโลกให้หลอมลงไปเป็นเนื้อเดียวกัน
แต่จากรายงานวิจัยฉบับหนึ่ง[8]ได้ศึกษาพบว่าวงโคจรของโลกจะตีตัวออกห่างึϸงอาทิตย์เพราะ
มวลของึϸงอาทิตย์ได้สูญเสียไป จนแรงดึงดูระหว่างมวลมีค่าลดลง แต่ถึงกระนั้น น้าทะเลก็ถูก
ความร้อนจากึϸงอาทิตย์เผาผลาญจนระเหยสิ้นไปในอวกาศ และบรรยากาศโลกก็อันตรธานไป
จนไม่เอื้อแก่ชีวิตต่อมาได้มีการค้นพบ ว่าึϸงอาทิตย์นั้นจะสว่างขึ้น 10 เปอร์เซนต์ทุก ๆ 1000
ล้านปี ถึงตอนนั้นโลกก็ไม่อาจจะเอื้อ ต่อสิ่งมีชีวิตไปก่อนแล้ว เวลาของสิ่งมีชีวิตบนโลก จึง
เหลือแค่ 500 ล้านปีเท่านั้น
หลังจากที่ึϸงอาทิตย์ได้ผ่านสภาพการเป็นดาวยักษ์แดงแล้ว อุณหภูมิจากปฏิกิริยาการหลอม
ฮีเลียมที่เพิ่มสลับกับลงภายในแกน ก็จะเป็นตัวการให้ผิวึϸงอาทิตย์ด้านนอกผละตัวออกจาก
แกน เกิดเป็นเนบิวลาดาวเคราะห์ แล้วอันตรธานไปในความมืดมิดของอวกาศ และเป็นวัสดุ
สาหรับสร้างดาวฤกษ์และระบบสุริยะรุ่นถัดไป ส่วนแกนที่เหลืออยู่ก็จะกลายเป็นดาวแคระขาว
ที่ร้อนจัดและมีแสงจางมาก ก่อนจะดับลงกลายเป็นดาวแคระดา จากทั้งหมดที่กล่าวมานี้คือชีวิต
ของดาวฤกษ์ที่มีมวลน้อยถึงปานกลาง
ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการสังเกตึϸงอาทิตย์
ความเข้าใจในอดีต
มนุษย์ในอดีตรู้เกี่ยวกับึϸงอาทิตย์เพียงเป็นลูกไฟกลม ขึ้นจากท้องฟ้าในทิศตะวันออก ทาให้
เกิดกลางวันและตกลงไปทางทิศตะวันตก ทาให้เกิดกลางคืน ึϸงอาทิตย์ให้ทั้งแสงสว่าง ความ
ร้อน ตลอดจนความหวังในจิตใจ จนมีการนับถือึϸงอาทิตย์ให้เป็นเทพเจ้า มีการบูชายัญถวาย
เทพพระอาทิตย์ของชาวอัซเตก (Aztec) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศเม็กซิโก นอกเหนือจากนี้
มนุษย์ในสมัยโบราณยังได้สร้างสิ่งประดิษฐ์สาหรับบอกตาแหน่งของึϸงอาทิตย์ในวันอุตรายัน
(Summer solstice) ซึ่งเป็นวันที่กลางวันยาวที่สุดในรอบปี คือประมาณวันที่ 24 มิถุนายน เช่นที่
เสาหินสโตนเฮนจ์ในประเทศอังกฤษ และพีระมิดเอลกัสตีโย (El Castillo) ประเทศเม็กซิโก
การพัฒนาแนวความคิดสมัยใหม่
ต่อมานักปราชญ์ชาวกรีกชื่อ อะนักซากอรัส (Anaxagoras) ได้เสนอว่า ึϸงอาทิตย์เป็นลูกไฟ
กลม ไม่ได้เป็นพระอาทิตย์ทรงพาหนะ ทาให้เขาต้องโทษประหารชีวิตในเวลาต่อมา ต่อมามีการ
สันนิษฐานว่าเอราโตสเทเนส ได้วัดระยะห่างจากโลกไปึϸงอาทิตย์ได้เที่ยงตรงเป็นคนแรก
ในช่วงศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล ซึ่งวัดได้149 ล้านกิโลเมตร ใกล้เคียงกับที่ยอมรับในปัจจุบัน
โครงสร้าง
ึϸงอาทิตย์เป็นวัตถุที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ มีมวลคิดเป็นร้อยละ 99 ของระบบสุริยะ ดวง
อาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ที่มีรูปทรงเกือบเป็นทรงกลม โดยมีความแบนที่ขั้วเพียงหนึ่งในเก้าล้าน ซึ่ง
หมายความว่าความแตกต่างของเส้นผ่านศูนย์กลางที่ขั้วกับเส้นผ่านศูนย์กลางที่เส้นศูนย์สูตรมี
เพียง 10 กิโลเมตร จากการที่ึϸงอาทิตย์มีเฉพาะส่วนที่เป็นพลาสมา ไม่มีส่วนที่เป็นของแข็ง ทา
ให้อัตราเร็วของการหมุนรอบตัวเองในแต่ละส่วนมีความต่างกัน เช่นที่เส้นศูนย์สูตรจะหมุนเร็ว
กว่าที่ขั้ว ที่เส้นศูนย์สูตรของึϸงอาทิตย์มีคาบการหมุนรอบตัวเอง 25 วัน ส่วนที่ขั้วมีคาบ 35 วัน
แต่เมื่อสังเกตบนโลกแล้วจะพบว่าคาบของการหมุนรอบตัวเองที่เส้นศูนย์สูตรของึϸงอาทิตย์
คือ 28 วัน
ึϸงอาทิตย์มีความหนาแน่นมากที่สุดบริเวณแกน ซึ่งเป็นแหล่งผลิตพลังงาน และมีค่าน้อยลง
เกือบเป็นรูปเอ็กโพเนนเชียลตามระยะทางที่ห่างออกมาจากแกน และแม้ว่าภายในึϸงอาทิตย์นั้น
จะไม่สามารถมองเห็นได้แต่นักวิทยาศาสตร์ก็สามารถศึกษาภายในได้ผ่านทางการใช้คลื่น
สะเทือนในึϸงอาทิตย์
แกน
ส่วนแกนของึϸงอาทิตย์สันนิษฐานว่ามีรัศมีเป็น 0.2 เท่าของรัศมีึϸงอาทิตย์ความหนาแน่น
ประมาณ 150,000 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร หรือ 150 เท่าของความหนาแน่นของน้าบนโลก
อุณหภูมิประมาณ 13,600,000 เคลวิน ตลอดชีวิตส่วนใหญ่ของึϸงอาทิตย์ภายในแกนจะมี
ปฏิกิริยาฟิวชันลูกโซ่ โปรตอน-โปรตอน ซึ่งเปลี่ยนไฮโดรเจนเป็นฮีเลียม พลังงานที่ได้นี้ทาให้
ส่วนที่เหลือของึϸงอาทิตย์สุกสว่างและเปล่งแสง
ทุก ๆ วินาที จะมีนิวเคลียสของไฮโดรเจน 3.4×1038 ตัว ถูกแปรรูปเป็นฮีเลียม ผลิตพลังงานได้
383×1024 จูล หรือเทียบได้กับระเบิดไตรไนโตรโทลูอีน (TNT) ถึง 9.15×1019 กิโลกรัม
พลังงานจากแกนของึϸงอาทิตย์ใช้เวลานานมากในการขึ้นสู่พื้นผิว อย่างมากเป็น 50 ล้านปี[11]
อย่างน้อยเป็น 17,000 ปี[12]เพราะโฟตอนพลังงานสูง (รังสีเอกซ์และรังสีแกมมา) ถูกดูดกลืนไป
ในพลาสมา แล้วเปล่งพลังงานออกมาสลับกันเรื่อย ๆ ทุก ๆ ระยะไม่กี่มิลลิเมตร
เขตแผ่รังสีความร้อน
ในส่วนของเขตแผ่รังสีความร้อน (radiation zone) ซึ่งอยู่ในช่วง 0.2 ถึง 0.7 ส่วนของรัศมีดวง
อาทิตย์ในชั้นนี้ไม่มีการพาความร้อน (convection) เพราะอัตราความแตกต่างของอุณหภูมิเทียบ
กับระยะความสูงน้อยกว่าอัตราการเปลี่ยนอุณหภูมิตามความสูงแบบอะเดียแบติก (adiabatic
lapse rate) พลังงานในส่วนนี้ถูกนาออกมาภายนอกช้ามากดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนแล้ว
เขตพาความร้อน
ในส่วนของเขตพาความร้อน (convection zone) ซึ่งอยู่บริเวณผิวนอกที่เหลือ เป็นส่วนที่พลังงาน
ถูกถ่ายเทผ่านแท่งความร้อน (heat column) โดยเนื้อสารที่ร้อนและมีพลังงานเริ่มต้นจากด้านล่าง
แล้วไหลขึ้นด้านบนจนถึงผิว จากนั้นถ่ายเทความร้อนและกลับลงไปใหม่ แท่งความร้อน
สามารถสังเกตได้จาก “เกล็ด” บนภาพถ่ายผิวึϸงอาทิตย์
โฟโตสเฟียร์
ในส่วนของโฟโตสเฟียร์ (photosphere) แปลว่า ทรงกลมแห่งแสง ซึ่งเป็นส่วนที่เรามองเห็นดวง
อาทิตย์แสงสว่างที่เปล่งในึϸงอาทิตย์นั้นเกิดจากอิเล็กตรอนชนกับอะตอมไฮโดรเจนเกิดเป็น
H-เหนือชั้นนี้ แสงอาทิตย์ก็จะถูกปลดปล่อยออกมา และมีอุณหภูมิต่าลงตามความสูงที่มากขึ้น
จนทาให้สังเกตเห็นรอยมัวตรงขอบึϸงอาทิตย์ในภาพถ่าย (ดังภาพถ่ายด้านบน)
บรรยากาศ
บรรยากาศของึϸงอาทิตย์ประกอบด้วย 5 ชั้น ได้แก่ ชั้นอุณหภูมิต่าสุด (temperature minimum)
โครโมสเฟียร์ (chromosphere) เขตเปลี่ยนผ่าน (transition region) โคโรนา (corona) และเฮลิ
โอสเฟียร์ (heliosphere) ตามลาดับจากต่าไปสูง
ชั้นแรก ชั้นอุณหภูมิต่าสุด มีอุณหภูมิประมาณ 4,000 เคลวิน และหนา 500 กิโลเมตร ชั้นถัดไป
คือโครโมสเฟียร์ ซึ่งแปลว่ารงคมณฑล หรือทรงกลมแห่งสี เหตุที่เรียกชื่อนี้ก็เพราะเห็นเป็นแสง
สีแวบขณะเกิดสุริยุปราคา ชั้นนี้หนา 2,000 กิโลเมตร มีอุณหภูมิสูงถึง 100,000 เคลวิน ชั้นต่อไป
เป็นเขตเปลี่ยนผ่านซึ่งอุณหภูมิอาจสูงถึงล้านเคลวิน และยิ่งสูงขึ้นไปอีกในชั้นโคโรนา ทาให้สิ่ง
นี้เป็นปัญหาคาใจนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งก็สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากการต่อเชื่อมทางแม่เหล็ก
(magnetic connection) ชั้นที่เหลือชั้นสุดท้ายคือ เฮลิโอสเฟียร์ หรือสุริยมณฑล คือชั้นที่อานาจ
ของลมสุริยะสามารถไปถึง ซึ่งอาจมากกว่า 20 หน่วยดาราศาสตร์ (20 เท่าของระยะทางจากโลก
ถึงึϸงอาทิตย์)
แหล่งอ้างอิง
Th.wikipedia.org/wiki/ึϸงอาทิตย์
http://www.youtube.com/watch?v=VmD0Sdrosu4

More Related Content

ึϸงอาทิตย์

  • 1. ึϸงอาทิตย์ ึϸงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ที่เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะของเรา ดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์แคระ ดาวเคราะห์น้อย และดาวหาง ล้วนแล้วแต่โคจรรอบึϸงอาทิตย์ทั้งสิ้น ึϸงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ที่ สาคัญยิ่งต่อโลก เช่น ให้พลังงานแก่พืชในรูปของแสง และพืชก็เปลี่ยนแสงให้เป็นพลังงานใน การตรึงแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นน้าตาล ตลอดจนทาให้โลกมีสภาวะอากาศหลากหลาย เอื้อต่อการดารงชีวิต ึϸงอาทิตย์ประกอบด้วยไฮโดรเจนอยู่ร้อยละ 74 โดยมวล ฮีเลียมร้อยละ 25 โดยมวล และธาตุ อื่น ๆ ในปริมาณเล็กน้อย ึϸงอาทิตย์จัดอยู่ในสเปกตรัม G2V ซึ่ง G2 หมายความว่าึϸงอาทิตย์มี อุณหภูมิพื้นผิวประมาณ 5,780 เคลวิน (ประมาณ 5,515 องศาเซลเซียส หรือ 9,940 องศาฟาเรน ไฮ) ึϸงอาทิตย์จึงมีสีขาว แต่เห็นบนโลกเป็นสีเหลือง เนื่องจากการกระเจิงของแสง ส่วน V (เลข 5) บ่งบอกว่าึϸงอาทิตย์อยู่ในลาดับหลัก ผลิตพลังงานโดยการหลอมไฮโดรเจนให้เป็น ฮีเลียม และอยู่ในสภาพสมดุล ไม่ยุบตัวหรือขยายตัว
  • 2. ึϸงอาทิตย์อยู่ห่างจากศูนย์กลางดาราจักรทางช้างเผือกเป็นระยะทางโดยประมาณ 26,000 ปีแสง ใช้เวลาโคจรครบรอบดาราจักรประมาณ 225-250 ล้านปี มีอัตราเร็วในวงโคจร 215 กิโลเมตรต่อ วินาที หรือ 1 ปีแสง ทุก ๆ 1,400 ปี ปัจจุบันและอนาคตของึϸงอาทิตย์ เมื่อไฮโดรเจนซึ่งเป็นเชื้อเพลิงของึϸงอาทิตย์หมดลง วาระสุดท้ายของึϸงอาทิตย์ก็มาถึง (คือ การพ้นไปจากลาดับหลัก) โดยึϸงอาทิตย์จะเริ่มพบกับจุดจบคือการแปรเปลี่ยนไปเป็นดาวยักษ์ แดงภายใน 4-5 พันล้านปี ผิวนอกของึϸงอาทิตย์ขยายตัวออกไป ส่วนแกนนั้นยุบตัวลงและ ร้อนขึ้นสลับกับเย็นลง มีการหลอมฮีเลียมเป็นคาร์บอนและออกซิเจนที่อุณหภูมิราว 100 ล้านเคล วิน จากสถานการณ์ข้างต้นดูเหมือนว่าึϸงอาทิตย์จะกลืนกินโลกให้หลอมลงไปเป็นเนื้อเดียวกัน แต่จากรายงานวิจัยฉบับหนึ่ง[8]ได้ศึกษาพบว่าวงโคจรของโลกจะตีตัวออกห่างึϸงอาทิตย์เพราะ มวลของึϸงอาทิตย์ได้สูญเสียไป จนแรงดึงดูระหว่างมวลมีค่าลดลง แต่ถึงกระนั้น น้าทะเลก็ถูก ความร้อนจากึϸงอาทิตย์เผาผลาญจนระเหยสิ้นไปในอวกาศ และบรรยากาศโลกก็อันตรธานไป จนไม่เอื้อแก่ชีวิตต่อมาได้มีการค้นพบ ว่าึϸงอาทิตย์นั้นจะสว่างขึ้น 10 เปอร์เซนต์ทุก ๆ 1000 ล้านปี ถึงตอนนั้นโลกก็ไม่อาจจะเอื้อ ต่อสิ่งมีชีวิตไปก่อนแล้ว เวลาของสิ่งมีชีวิตบนโลก จึง เหลือแค่ 500 ล้านปีเท่านั้น หลังจากที่ึϸงอาทิตย์ได้ผ่านสภาพการเป็นดาวยักษ์แดงแล้ว อุณหภูมิจากปฏิกิริยาการหลอม ฮีเลียมที่เพิ่มสลับกับลงภายในแกน ก็จะเป็นตัวการให้ผิวึϸงอาทิตย์ด้านนอกผละตัวออกจาก แกน เกิดเป็นเนบิวลาดาวเคราะห์ แล้วอันตรธานไปในความมืดมิดของอวกาศ และเป็นวัสดุ สาหรับสร้างดาวฤกษ์และระบบสุริยะรุ่นถัดไป ส่วนแกนที่เหลืออยู่ก็จะกลายเป็นดาวแคระขาว
  • 3. ที่ร้อนจัดและมีแสงจางมาก ก่อนจะดับลงกลายเป็นดาวแคระดา จากทั้งหมดที่กล่าวมานี้คือชีวิต ของดาวฤกษ์ที่มีมวลน้อยถึงปานกลาง ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการสังเกตึϸงอาทิตย์ ความเข้าใจในอดีต มนุษย์ในอดีตรู้เกี่ยวกับึϸงอาทิตย์เพียงเป็นลูกไฟกลม ขึ้นจากท้องฟ้าในทิศตะวันออก ทาให้ เกิดกลางวันและตกลงไปทางทิศตะวันตก ทาให้เกิดกลางคืน ึϸงอาทิตย์ให้ทั้งแสงสว่าง ความ ร้อน ตลอดจนความหวังในจิตใจ จนมีการนับถือึϸงอาทิตย์ให้เป็นเทพเจ้า มีการบูชายัญถวาย เทพพระอาทิตย์ของชาวอัซเตก (Aztec) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศเม็กซิโก นอกเหนือจากนี้ มนุษย์ในสมัยโบราณยังได้สร้างสิ่งประดิษฐ์สาหรับบอกตาแหน่งของึϸงอาทิตย์ในวันอุตรายัน (Summer solstice) ซึ่งเป็นวันที่กลางวันยาวที่สุดในรอบปี คือประมาณวันที่ 24 มิถุนายน เช่นที่ เสาหินสโตนเฮนจ์ในประเทศอังกฤษ และพีระมิดเอลกัสตีโย (El Castillo) ประเทศเม็กซิโก การพัฒนาแนวความคิดสมัยใหม่ ต่อมานักปราชญ์ชาวกรีกชื่อ อะนักซากอรัส (Anaxagoras) ได้เสนอว่า ึϸงอาทิตย์เป็นลูกไฟ กลม ไม่ได้เป็นพระอาทิตย์ทรงพาหนะ ทาให้เขาต้องโทษประหารชีวิตในเวลาต่อมา ต่อมามีการ
  • 4. สันนิษฐานว่าเอราโตสเทเนส ได้วัดระยะห่างจากโลกไปึϸงอาทิตย์ได้เที่ยงตรงเป็นคนแรก ในช่วงศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล ซึ่งวัดได้149 ล้านกิโลเมตร ใกล้เคียงกับที่ยอมรับในปัจจุบัน โครงสร้าง ึϸงอาทิตย์เป็นวัตถุที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ มีมวลคิดเป็นร้อยละ 99 ของระบบสุริยะ ดวง อาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ที่มีรูปทรงเกือบเป็นทรงกลม โดยมีความแบนที่ขั้วเพียงหนึ่งในเก้าล้าน ซึ่ง หมายความว่าความแตกต่างของเส้นผ่านศูนย์กลางที่ขั้วกับเส้นผ่านศูนย์กลางที่เส้นศูนย์สูตรมี เพียง 10 กิโลเมตร จากการที่ึϸงอาทิตย์มีเฉพาะส่วนที่เป็นพลาสมา ไม่มีส่วนที่เป็นของแข็ง ทา ให้อัตราเร็วของการหมุนรอบตัวเองในแต่ละส่วนมีความต่างกัน เช่นที่เส้นศูนย์สูตรจะหมุนเร็ว กว่าที่ขั้ว ที่เส้นศูนย์สูตรของึϸงอาทิตย์มีคาบการหมุนรอบตัวเอง 25 วัน ส่วนที่ขั้วมีคาบ 35 วัน แต่เมื่อสังเกตบนโลกแล้วจะพบว่าคาบของการหมุนรอบตัวเองที่เส้นศูนย์สูตรของึϸงอาทิตย์ คือ 28 วัน
  • 5. ึϸงอาทิตย์มีความหนาแน่นมากที่สุดบริเวณแกน ซึ่งเป็นแหล่งผลิตพลังงาน และมีค่าน้อยลง เกือบเป็นรูปเอ็กโพเนนเชียลตามระยะทางที่ห่างออกมาจากแกน และแม้ว่าภายในึϸงอาทิตย์นั้น จะไม่สามารถมองเห็นได้แต่นักวิทยาศาสตร์ก็สามารถศึกษาภายในได้ผ่านทางการใช้คลื่น สะเทือนในึϸงอาทิตย์ แกน ส่วนแกนของึϸงอาทิตย์สันนิษฐานว่ามีรัศมีเป็น 0.2 เท่าของรัศมีึϸงอาทิตย์ความหนาแน่น ประมาณ 150,000 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร หรือ 150 เท่าของความหนาแน่นของน้าบนโลก อุณหภูมิประมาณ 13,600,000 เคลวิน ตลอดชีวิตส่วนใหญ่ของึϸงอาทิตย์ภายในแกนจะมี ปฏิกิริยาฟิวชันลูกโซ่ โปรตอน-โปรตอน ซึ่งเปลี่ยนไฮโดรเจนเป็นฮีเลียม พลังงานที่ได้นี้ทาให้ ส่วนที่เหลือของึϸงอาทิตย์สุกสว่างและเปล่งแสง ทุก ๆ วินาที จะมีนิวเคลียสของไฮโดรเจน 3.4×1038 ตัว ถูกแปรรูปเป็นฮีเลียม ผลิตพลังงานได้ 383×1024 จูล หรือเทียบได้กับระเบิดไตรไนโตรโทลูอีน (TNT) ถึง 9.15×1019 กิโลกรัม พลังงานจากแกนของึϸงอาทิตย์ใช้เวลานานมากในการขึ้นสู่พื้นผิว อย่างมากเป็น 50 ล้านปี[11]
  • 6. อย่างน้อยเป็น 17,000 ปี[12]เพราะโฟตอนพลังงานสูง (รังสีเอกซ์และรังสีแกมมา) ถูกดูดกลืนไป ในพลาสมา แล้วเปล่งพลังงานออกมาสลับกันเรื่อย ๆ ทุก ๆ ระยะไม่กี่มิลลิเมตร เขตแผ่รังสีความร้อน ในส่วนของเขตแผ่รังสีความร้อน (radiation zone) ซึ่งอยู่ในช่วง 0.2 ถึง 0.7 ส่วนของรัศมีดวง อาทิตย์ในชั้นนี้ไม่มีการพาความร้อน (convection) เพราะอัตราความแตกต่างของอุณหภูมิเทียบ กับระยะความสูงน้อยกว่าอัตราการเปลี่ยนอุณหภูมิตามความสูงแบบอะเดียแบติก (adiabatic lapse rate) พลังงานในส่วนนี้ถูกนาออกมาภายนอกช้ามากดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนแล้ว เขตพาความร้อน ในส่วนของเขตพาความร้อน (convection zone) ซึ่งอยู่บริเวณผิวนอกที่เหลือ เป็นส่วนที่พลังงาน ถูกถ่ายเทผ่านแท่งความร้อน (heat column) โดยเนื้อสารที่ร้อนและมีพลังงานเริ่มต้นจากด้านล่าง แล้วไหลขึ้นด้านบนจนถึงผิว จากนั้นถ่ายเทความร้อนและกลับลงไปใหม่ แท่งความร้อน สามารถสังเกตได้จาก “เกล็ด” บนภาพถ่ายผิวึϸงอาทิตย์ โฟโตสเฟียร์ ในส่วนของโฟโตสเฟียร์ (photosphere) แปลว่า ทรงกลมแห่งแสง ซึ่งเป็นส่วนที่เรามองเห็นดวง อาทิตย์แสงสว่างที่เปล่งในึϸงอาทิตย์นั้นเกิดจากอิเล็กตรอนชนกับอะตอมไฮโดรเจนเกิดเป็น H-เหนือชั้นนี้ แสงอาทิตย์ก็จะถูกปลดปล่อยออกมา และมีอุณหภูมิต่าลงตามความสูงที่มากขึ้น จนทาให้สังเกตเห็นรอยมัวตรงขอบึϸงอาทิตย์ในภาพถ่าย (ดังภาพถ่ายด้านบน) บรรยากาศ บรรยากาศของึϸงอาทิตย์ประกอบด้วย 5 ชั้น ได้แก่ ชั้นอุณหภูมิต่าสุด (temperature minimum) โครโมสเฟียร์ (chromosphere) เขตเปลี่ยนผ่าน (transition region) โคโรนา (corona) และเฮลิ โอสเฟียร์ (heliosphere) ตามลาดับจากต่าไปสูง
  • 7. ชั้นแรก ชั้นอุณหภูมิต่าสุด มีอุณหภูมิประมาณ 4,000 เคลวิน และหนา 500 กิโลเมตร ชั้นถัดไป คือโครโมสเฟียร์ ซึ่งแปลว่ารงคมณฑล หรือทรงกลมแห่งสี เหตุที่เรียกชื่อนี้ก็เพราะเห็นเป็นแสง สีแวบขณะเกิดสุริยุปราคา ชั้นนี้หนา 2,000 กิโลเมตร มีอุณหภูมิสูงถึง 100,000 เคลวิน ชั้นต่อไป เป็นเขตเปลี่ยนผ่านซึ่งอุณหภูมิอาจสูงถึงล้านเคลวิน และยิ่งสูงขึ้นไปอีกในชั้นโคโรนา ทาให้สิ่ง นี้เป็นปัญหาคาใจนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งก็สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากการต่อเชื่อมทางแม่เหล็ก (magnetic connection) ชั้นที่เหลือชั้นสุดท้ายคือ เฮลิโอสเฟียร์ หรือสุริยมณฑล คือชั้นที่อานาจ ของลมสุริยะสามารถไปถึง ซึ่งอาจมากกว่า 20 หน่วยดาราศาสตร์ (20 เท่าของระยะทางจากโลก ถึงึϸงอาทิตย์)