ݺߣ
Submit Search
ครือข่ายคอมพิวตอร์
Dec 17, 2013
0 likes
145 views
Buzzer'Clup Her-Alone
1 of 16
Download now
Download to read offline
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
Ad
Recommended
PDF
รายงาน 4 2
Varid Tunyamat
PDF
ครื่อྺ่ายคอมพิวตอร์
RattiyakornKeawrap26
PDF
ครือข่ายคอมพิวตอร์ 27
sawalee kongyuen
PDF
ครือข่ายคอมพิวตอร์ 28
sawalee kongyuen
PDF
เรื่องครื่อྺ่ายคอมพิวตอร์
SornsawanSuriyan19
DOCX
นางสาว จุฬาลักษณ์ สมรักษ์
SoawakonJujailum
PDF
บทที่6 การออกแบบระบบครือข่าย
Tum WinNing
PDF
ครือข่ายคอมพิวตอร์45
นู๋ฟ้า วัยร้ายกลายพัน
PDF
รายงานคอมพิวตอร์
prakasit srisaard
PDF
ครือข่ายคอมพิวตอร์
Onanong Phetsawat
POT
งามคอม200
ค้ก
PDF
การทำงานของคอมพิวตอร์
พัน พัน
PDF
ครือข่ายคอมพิวตอร์ (1)
Onanong Phetsawat
PDF
รื่องคอมพิวตอร์บื้องต้น
พัน พัน
PDF
รายงาน เรื่องครือข่ายคอมพิวตอร์
Rungnapa Tamang
PDF
รายงานครือข่ายคอมพิวตอร์
น้องน้าม เดอะโซเซ
PDF
หลักการทำงาน บทบาทและอุปกรณ์พื้นฐานของคอมพิวตอร์
พัน พัน
PDF
รายงาน1233
Chatman's Silver Rose
DOCX
หน้าปก
manit2617
PDF
ครือข่ายคอมพิวตอร์ 1
Siriporn Roddam
PDF
ครือข่ายคอมพิวตอร์เบื้องต้น
พัน พัน
PDF
ระบบคอมพิวตอร์และยุคสมัย
พัน พัน
PDF
ประเภทของคอมพิวตอร์
พัน พัน
PDF
รายงานคอมพิวตอร์
Pimrada Seehanam
PPT
Network
pornthip7890
PDF
รายงาน (1) (2)
N'Nattaphong Hnoonet
PDF
รายงาน1
rittichaipantarak
PDF
รายงาน
Onanong Phetsawat
PDF
ครือข่ายคอมพิวตอร์
ใอร่ ดีโด้ สามแยก ตัวร้าย'ผ่าไฟแดง
PDF
2.2 ครือข่ายคอมพิวตอร์
Meaw Sukee
More Related Content
What's hot
(19)
PDF
รายงานคอมพิวตอร์
prakasit srisaard
PDF
ครือข่ายคอมพิวตอร์
Onanong Phetsawat
POT
งามคอม200
ค้ก
PDF
การทำงานของคอมพิวตอร์
พัน พัน
PDF
ครือข่ายคอมพิวตอร์ (1)
Onanong Phetsawat
PDF
รื่องคอมพิวตอร์บื้องต้น
พัน พัน
PDF
รายงาน เรื่องครือข่ายคอมพิวตอร์
Rungnapa Tamang
PDF
รายงานครือข่ายคอมพิวตอร์
น้องน้าม เดอะโซเซ
PDF
หลักการทำงาน บทบาทและอุปกรณ์พื้นฐานของคอมพิวตอร์
พัน พัน
PDF
รายงาน1233
Chatman's Silver Rose
DOCX
หน้าปก
manit2617
PDF
ครือข่ายคอมพิวตอร์ 1
Siriporn Roddam
PDF
ครือข่ายคอมพิวตอร์เบื้องต้น
พัน พัน
PDF
ระบบคอมพิวตอร์และยุคสมัย
พัน พัน
PDF
ประเภทของคอมพิวตอร์
พัน พัน
PDF
รายงานคอมพิวตอร์
Pimrada Seehanam
PPT
Network
pornthip7890
PDF
รายงาน (1) (2)
N'Nattaphong Hnoonet
PDF
รายงาน1
rittichaipantarak
รายงานคอมพิวตอร์
prakasit srisaard
ครือข่ายคอมพิวตอร์
Onanong Phetsawat
งามคอม200
ค้ก
การทำงานของคอมพิวตอร์
พัน พัน
ครือข่ายคอมพิวตอร์ (1)
Onanong Phetsawat
รื่องคอมพิวตอร์บื้องต้น
พัน พัน
รายงาน เรื่องครือข่ายคอมพิวตอร์
Rungnapa Tamang
รายงานครือข่ายคอมพิวตอร์
น้องน้าม เดอะโซเซ
หลักการทำงาน บทบาทและอุปกรณ์พื้นฐานของคอมพิวตอร์
พัน พัน
รายงาน1233
Chatman's Silver Rose
หน้าปก
manit2617
ครือข่ายคอมพิวตอร์ 1
Siriporn Roddam
ครือข่ายคอมพิวตอร์เบื้องต้น
พัน พัน
ระบบคอมพิวตอร์และยุคสมัย
พัน พัน
ประเภทของคอมพิวตอร์
พัน พัน
รายงานคอมพิวตอร์
Pimrada Seehanam
Network
pornthip7890
รายงาน (1) (2)
N'Nattaphong Hnoonet
รายงาน1
rittichaipantarak
Similar to ครือข่ายคอมพิวตอร์
(20)
PDF
รายงาน
Onanong Phetsawat
PDF
ครือข่ายคอมพิวตอร์
ใอร่ ดีโด้ สามแยก ตัวร้าย'ผ่าไฟแดง
PDF
2.2 ครือข่ายคอมพิวตอร์
Meaw Sukee
PDF
ครือข่ายคอมพิวตอร์
KachonsakBunchuai41
PDF
ครือข่ายคอมพิวตอร์ พิมพ์นิภา1 (1)
pimmeesri
PDF
ระบบครือข่ายคอมพิวตอร์
Benjamas58
PDF
ระบบครือข่ายคอมพิวตอร์
เบญจมาศ คงดี
PDF
ครือข่ายคอมพิวตอร์ 28
babiesawalee
PDF
ครือข่ายคอมพิวตอร์ B
Montita Kongmuang
PDF
รายงาน 1
N'Nattaphong Hnoonet
PDF
คอมพิวตอร์
Wannapaainto8522
PDF
Internet1
mod2may
PDF
ระบบครือข่ายคอมพิวตอร์
เบญจมาศ คงดี
PDF
ระบบครือข่ายคอมพิวตอร์
Dr.Kridsanapong Lertbumroongchai
PDF
Datacom
watnawong
PDF
0
ใอร่'ลุ๊ขตาล เดก'อินโนเซ้นท์'
PDF
ครือข่ายคอมพิวตอร์
ปิยะดนัย วิเคียน
PDF
ครือข่ายคอมพิวตอร์
num norbnorm
PDF
ครือข่ายคอมพิวตอร์
Sun ZaZa
PDF
ครือข่าย
Narakron Chaipakdee
รายงาน
Onanong Phetsawat
ครือข่ายคอมพิวตอร์
ใอร่ ดีโด้ สามแยก ตัวร้าย'ผ่าไฟแดง
2.2 ครือข่ายคอมพิวตอร์
Meaw Sukee
ครือข่ายคอมพิวตอร์
KachonsakBunchuai41
ครือข่ายคอมพิวตอร์ พิมพ์นิภา1 (1)
pimmeesri
ระบบครือข่ายคอมพิวตอร์
Benjamas58
ระบบครือข่ายคอมพิวตอร์
เบญจมาศ คงดี
ครือข่ายคอมพิวตอร์ 28
babiesawalee
ครือข่ายคอมพิวตอร์ B
Montita Kongmuang
รายงาน 1
N'Nattaphong Hnoonet
คอมพิวตอร์
Wannapaainto8522
Internet1
mod2may
ระบบครือข่ายคอมพิวตอร์
เบญจมาศ คงดี
ระบบครือข่ายคอมพิวตอร์
Dr.Kridsanapong Lertbumroongchai
Datacom
watnawong
0
ใอร่'ลุ๊ขตาล เดก'อินโนเซ้นท์'
ครือข่ายคอมพิวตอร์
ปิยะดนัย วิเคียน
ครือข่ายคอมพิวตอร์
num norbnorm
ครือข่ายคอมพิวตอร์
Sun ZaZa
ครือข่าย
Narakron Chaipakdee
Ad
ครือข่ายคอมพิวตอร์
1.
รายงาน เรื่อง ครือข่ายคอมพิวตอร์ จัดทาโดย นายอุดมศักดิ์ นกศรีแก้ว ชั้น
ม.4/2 เลขที่ 7 เสนอ อาจารย์จุฑารัตน์ ใจบุญ โรงเรียนรัษฏานุประดิษฐ์อนุสรณ์
2.
คานา รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของ วิชาคอมพิวตอร์ เนื้อหาเกี่ยวกับระบบครือข่าย คอมพิวตอร์
องค์ประกอบหลักในการสื่อสารข้อมูล ประเภทของระบบครือข่าย และ การส่งสัญญาณ คณะผู้จัดทาหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานเล่มนี้จะให้ประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจศึกษาเป็น อย่างมาก ถ้ามีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย และจะนาไปปรับปรุงใน โอกาสต่อไป จัดทาโดย นายอุดมศักดิ์ นกศรีแก้ว ชั้น ม.4/2 เลขที่7
3.
สารบัญ เรื่อง หน้า ครือข่ายคอมพิวตอร์ 1-3 ชนิดของครือข่าย 3-4 เทคโนโลยีครือข่ายแลน 5-8 การใช้งานครือข่ายคอมพิวตอร์ 8-9 ตัวอย่างครือข่ายคอมพิวตอร์ 9-11
4.
ครือข่ายคอมพิวตอร์ ธรรมชาติมนุษย์ต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มีการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน ร่วมกันทางานสร้างสรร สังคมเพื่อให้
ความเป็นอยู่โดยรวมดีขึ้น จากการดาเนินชีวิตร่วมกันทั้งในด้านครอบครัว การ ทางานตลอดจนสังคมและการเมือง ทาให้ต้องมีการพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน เมื่อมนุษย์ มีความจาเป็นที่จะติดต่อสื่อสารระหว่างกัน พัฒนาการ ทางด้านคอมพิวตอร์จึงต้องตอบสนอง เพื่อให้ใช้งานได้ตามความต้องการ แรกเริ่มมีการพัฒนาคอมพิวตอร์แบบ รวมศูนย์ เช่น มินิคอมพิวตอร์ หรือ เมนเฟรม โดยให้ผู้ใช้งานใช้พร้อมกันได้หลายคน แต่ละคนเปรียบเสมือน เป็นสถานีปลายทาง ที่เรียกใช้ทรัพยากร การคานวณจากศูนย์คอมพิวตอร์และให้คอมพิวตอร์ ตอบสนองต่อ การทางานนั้น ต่อมามีการพัฒนาไมโครคอมพิวตอร์ที่ทาให้สะดวกต่อการ ใช้งานส่ว นบุคคล จนมีการเรียกไมโครคอมพิวตอร์ ว่า พีซี (Personal Competer:PC) การใช้งานคอมพิวตอร์จึงแพร่หลายอย่างรวดเร็ว เพราะการใช้งานง่าย ราคา ไม่สูงมาก สามารถจัดหามาใช้ได้ไม่ยาก เมื่อ มีการใช้งานกันมาก บริษัทผู้ผลิต คอมพิวตอร์ต่างๆ ก็ปรับปรุง และพัฒนาเทคโนโลยีให้ตอบสนองความต้องการที่จะทางานร่วมกัน เป็นกลุ่มในรูปแบบครือข่ายคอมพิวตอร์ จึงเป็นวิธีการหนึ่ง และกาลังได้รับความนิยมสูง มาก เพราะทาให้ตอบสนองตรงความต้องการที่จะติดต่อสื่อสาร ข้อมูลระหว่าง กัน เทคโนโลยีคอมพิวตอร์ได้รับการพัฒนา เรื่อยมาจากเครื่องคอมพิวตอร์ขนาดใหญ่ ได้แก่ เมนเฟรม มินิคอมพิวตอร์ มาเป็นไมโครคอมพิวตอร์ ที่มีขนาดเล็กลงแต่มีประสิทธิภาพ สูงขึ้นไมโครคอมพิวตอร์ก็ได้รับ การพัฒนาให้มีขีดความสามารถและทางานได้มาก ขึ้น จนกระทั่งคอมพิวตอร์สามารถทางานร่วมกันเป็นกลุ่มได้ ดังนั้นจึงมีการพัฒนาให้ คอมพิวตอร์ทางานในรูปแบบ ครือข่ายคอมพิวตอร์ คือนาเอาเครื่องคอมพิวตอร์ ขนาดใหญ่มา เป็นสถานีบริการ หรือที่เรียกว่า เครื่องให้บริการ (Server ) และให้ไมโครคอมพิวตอร์ตาม
5.
หน่วยงานต่างๆ เป็นเครื่องใช้บริการ (Client)
โดยมีครือข่าย (Network) เป็นเส้นทาง เชื่อมโยงคอมพิวตอร์จาก จุดต่างๆ ในที่สุดระบบครือข่ายก็จะเข้ามาแทนระบบคอมพิวตอร์เดิมที่เป็นแบบรวมศูนย์ได้ ครือข่าย คอมพิวตอร์ทวีความสาคัญและได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะสามารถสร้างระบบคอมพิวตอร์ให้ พอเหมาะกับงาน ในธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่มีกาลังในการลงทุนซื้อเครื่องคอมพิวตอร์ที่มีราคาสูงเช่น มินิคอมพิวตอร์ ก็สามารถใช้ไมโครคอมพิวตอร์หลายเครื่องต่อเชื่อมโยงกันเป็นครือข่าย โดยให้ ไมโครคอมพิวตอร์เครื่องหนึ่ง เป็นสถานีบริการที่ทาให้ใช้งานข้อมูลร่วมกันได้ เมื่อกิจการเจริญก้าวหน้า ขึ้นก็สามารถขยายครือข่ายการใช้ คอมพิวตอร์โดยเพิ่มจานวนเครื่องหรือขยายความจุข้อมูลให้พอเหมาะ กับองค์กร ในปัจจุบันองค์การขนาดใหญ่ก็สามารถลดการลงทุนลงได้ โดยใช้ครือข่ายคอมพิวตอร์ เชื่อมโยงจากกลุ่มเล็ก ๆ หลาย ๆ กลุ่มรวมกันเป็นครือข่ายขององค์การ โดยสภาพการใช้ข้อมูลสามารถ ทาได้ดีเหมือน เช่นในอดีตที่ต้องลงทุนจานวนมาก ครือข่ายคอมพิวตอร์มีบทบาทที่สาคัญต่อหน่วยงาน ต่างๆ ดังนี้ 1. ทาให้เกิดการทางานร่วมกันเป็นกลุ่ม และสามารถทางานพร้อมกัน 2. ให้สามารถใช้ข้อมูลต่างๆ ร่วมกัน ซึ่งทาให้องค์การได้รับประโยชน์มากขึ้น 3. ทาให้สามารถใช้ทรัพยากรได้คุ้มค่า เช่น ใช้เครื่องประมวลผลร่วมกัน แบ่งกันใช้แฟ้มข้อมูล ใช้ เครื่องพิมพ์ และอุปกรณ์ที่มีราคาแพงร่วมกัน 4. ทาให้ลดต้นทุน เพราะการลงทุนสามารถลงทุนให้เหมาะสมกับหน่วยงานได้
6.
7.2 ชนิดของครือข่าย ครือข่ายคอมพิวตอร์แบ่งแยกตามสภาพการเชื่อมโยงได้ 2
ชนิด - ครือข่ายแลน (Local Area Network : LAN) - ครือข่ายแวน (Wide Area Network : WAN 7.2.1 ครือข่ายแลน หรือครือข่ายคอมพิวตอร์ท้องถิ่นเป็นครือข่ายคอมพิวตอร์ซึ่งเชื่อมโยงคอมพิวตอร์และอุปกรณ์สื่อสารที่อยู่ในท้องที่ บริเวณ เดียวกันเข้าด้วยกัน เช่น ภายในอาคาร หรือภายในองค์การที่มีระยะทางไม่ไกลมากนัก ครือข่ายแลนจัดได้ว่าเป็นครือข่าย เฉพาะขององค์การ การสร้างครือข่ายแลนนี้องค์การสามารถดาเนินการทาเองได้ โดยวางสายสัญญาณสื่อสารภายใน อาคารหรือภายในพื้นที่ของตนเอง ครือข่ายแลน มีตั้งแต่ครือข่ายขนาดเล็กที่เชื่อมโยงคอมพิวตอร์ตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไป ภายในห้องเดียวกันจนเชื่อมโยงระหว่างห้อง หรือองค์การขนาดใหญ่เช่นมหาวิทยาลัย มีการวางครือข่ายที่เชื่อมโยงระหว่าง อาคารภายในมหาวิทยาลัย ครือข่ายแลนจึงเป็นครือข่ายที่รับผิดชอบโดยองค์การที่เป็นเจ้าของ ลักษณะสาคัญของครือข่าย แลน คืออุปกรณ์ที่ประกอบภายในครือข่ายสามารถรับส่งสัญญาณกันด้วยความเร็วสูงมาก โดยทั่วไปมีความเร็วตั้งแต่
7.
หลายสิบล้านบิตต่อวินาที จนถึงร้อยล้านบิตต่อวินาที การสื่อสารในระยะใกล้จะมีความเร็วในการสื่อสารสูง
ทาให้การรับส่ง ข้อมูลมีความผิดพลาดน้อยและสามารถรับส่งข้อมูลจานวนมากในเวลาจากัดได้ 7.2.2 ครือข่ายแวน เป็นครือข่ายคอมพิวตอร์ที่เชื่อมโยงระบบคอมพิวตอร์ในระยะไกล เช่น เชื่อมโยงระหว่าง จังหวัด ระหว่างประเทศ การสร้างครือข่ายระยะไกล จึงต้องอาศัยระบบบริการข่ายสาย สาธารณะ เช่น สายวงจรเช่าจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยหรือจาก การสื่อสารแห่งประเทศไทย ใช้วงจรสื่อสารผ่านดาวเทียม ใช้วงจรสื่อสารเฉพาะกิจที่มี ให้บริการแบบสาธารณะ ครือข่ายแวนจึงเป็นครือข่าย ที่ใช้กับองค์การที่มีสาขาห่างไกลและ ต้องการเชื่อมสาขาเหล่านั้นเข้าด้วยกัน เช่น ธนาคารมีสาขาทั่วประเทศ มีบริการ รับฝากเงินผ่านตู้ เอทีเอ็ม ครือข่ายแวนเชื่อ มโยงระยะไกลมาก จึงมีความเร็วในการสื่อสารจึงไม่สูง เนื่องจาก มี สัญญาณรบกวนในสาย และการเชื่อมโยงระยะไกลจาเป็นต้องใช้เทคนิคพิเศษในการลดปัญหา ข้อผิดพลาดของ การรับส่งข้อมูล ครือข่ายแวน เป็นครือข่ายที่ทาให้ครือข่ายแลนหลายๆ ครือข่ายเชื่อมถึงกันได้เช่นที่ทา การสาขาทุกแห่ง ของธนาคารแห่งหนึ่งมีครือข่ายแลนเพื่อใช้ ทางานภายในสาขานั้นๆ และมีการเชื่อมโยงครือข่ายแลน ของทุกสาขาให้เป็นระบบเดียวด้วย ครือข่ายแวน ในอนาคตอันใกล้นี้ บทบาทของครือข่ายแวนจะทาให้ทุกบริษัท ทุกองค์การ ทุกหน่วยงานเชื่อมโยงครือข่าย คอมพิ วเตอร์ของตนเองเข้าสู่ครือข่ายกลาง เพื่อการแลกเปลี่ยน ข้อมูลระหว่างกัน และการทางานร่วมกัน ในระบบที่ต้องติดต่อสื่อสารระหว่าง กัน เทคโนโลยีที่ใช้กับครือข่ายแวนมีความหลากหลาย มีการเชื่อมโยงระหว่างประเทศ ด้วยช่องสัญญาณดาวเทียม เส้นใยนาแสง คลื่นไมโครเวฟ คลื่นวิทยุ สายเคเบิล ทั้งที่วางตาม ถนนและวางใต้น้า เทคโนโลยีของการเชื่อมโยง ได้รับการพัฒนาไปมากแต่ยังไม่พอเพียงกับความ ต้องการที่เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
8.
7.3 เทคโนโลยีครือข่ายแลน การเชื่อมโยงคอมพิวตอร์เข้าเป็นครือข่ายแลนนั้น มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เครื่องคอมพิวตอร์ทุกเครื่อง สื่อสาร ข้อมูลระหว่างกันได้ทั้งหมดหากนาเครื่องคอมพิวตอร์สองเครื่องต่อสายสัญญาณเข้าหากันจะทา ให้เครื่องคอมพิวตอร์ทั้งสอง
นั้นส่งข้อมูลถึงกันได้ครั้นจะนาเอาคอมพิวตอร์เครื่องที่สามต่อรวมด้วย เริ่ม จะมีข้อยุ่งยากเพิ่มขึ้น และยิ่งถ้ามีเครื่องคอมพิวตอร์เป็นจานวนมาก ก็ยิ่งมีข้อยุ่งยากที่จะทาให้เครื่อง คอมพิวตอร์ทั้งหมดสื่อสารกันได้ ด้วยเหตุนี้ผู้พัฒนาครือข่ายคอมพิวตอร์จึงต้องหาวิธีการและเทคนิคใน การเชื่อมโยงครือข่ายแบบต่างๆ เพื่อลดข้อยุ่งยาก ในการเชื่อมโยงสายสั ญญาณโดยใช้สายสัญญาณน้อย และเหมาะสมกับการนาไปใช้งานได้ ทั้งนี้เพราะข้อจากัดของการใช้ สายสัญญาณเป็นเรื่องสาคัญ มาก บริษัทผู้พัฒนาระบบครือข่ายคอมพิวตอร์ได้พยายามคิดหาวิธี และใช้เทคโนโลยีในการรับส่ง ข้อมูลภายในครือข่ายแลน ออกมาหลายระบบ ระบบใดได้รับการย อมรับก็มีการตั้งมาตรฐานกลาง เพื่อ ว่าจะได้มีผู้ผลิตที่สนใจการผลิตอุปกรณ์ เชื่อมโยงเข้าสู่ครือข่าย เทคโนโลยีครือข่ายแลนจึงมี หลากหลาย ครือข่ายแลนที่น่าสนใจ เช่น อีเทอร์เน็ต (Ethernet) โทเก็นริง (Token Ring) และ สวิตชิง (Switching) 7.3.1 อีเทอร์เน็ต (Ethernet) อีเทอร์เน็ตเป็นครือข่ายคอมพิวตอร์ที่พัฒนามาจากโครงสร้างการเชื่อมต่อแบบสายสัญญาณร่วมที่ เรียกว่า บัส (Bus)
9.
โดยใช้สายสัญญาณแบบแกนร่วม คือ สายโคแอกเชียล
(Coaxial Cable) เป็นตัวเชื่อม สาหรับ ระบบบัส เป็นระบบ เทคโนโลยีที่คอมพิวตอร์ทุกเครื่องเชื่อมโยงเข้ากับสายสัญญาณเส้นเดียวกัน คือ เมื่อมี ผู้ต้องการส่งข้อมูล ก็ส่งข้อมูลได้เลย แต่เนื่องจากไม่มีวิธีการค้นหาเส้นทางที่ส่งว่างหรือเปล่า จึงไม่ทราบ ว่ามีอุปกรณ์ใดหรือคอมพิวตอร์ เครื่องใดที่ส่งข้อมูลมาในช่วงเวลาเดีย วกัน จะทาให้เกิดการชนกันขึ้นและ เกิดการสูญหายของข้อมูล ผู้ส่งต้องส่งข้อมูล ไปยังปลายทางอีกครั้งหนึ่ง ทาให้เสียเวลามาก จึงมีการ พัฒนาระบบการรับส่งข้อมูลผ่านอุปกรณ์กลางที่เรียกว่า ฮับ (Hub) และเรียกระบบใหม่นี้ว่า เทนเบสที (10 base t) โดยใช้สายสัญญาณที่มีขนาดเล็กลงและราคาถูกซึ่งเรียกว่า สายคู่บิตเกลียวชนิดไม่หุ้ม ฉนวน (Unshielded twisted pair : UTP) ทาให้การเชื่อมต่อนี้ มีลักษณะแบบดาว วิธีการเชื่อมแบบนี้จะมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ฮับ ใช้สายสัญญาณไปยังอุปกรณ์หรือคอมพิวตอร์อื่น ๆ จุดเด่นของดาวตัวนี้ จะอยู่ที่ เมื่อมีการส่งข้อมูล จะมีการตรวจสอบความผิดพลาดว่า อุปกรณ์ ใดจะส่งข้อมูลมาบ้างและจะมีการสับสวิตซ์ให้ส่ง ได้หรือไม่ แต่เมื่อมีฮับเป็นตัวแบกภาระทั้งหมด ก็มีจุดอ่อนได้คือ ถ้าฮับเกิดเป็นอะไรขึ้นมา อุปกรณ์ต่อพ่วงอื่น ๆ หรือคอมพิวตอร์ก็ไม่สามารถ เชื่อมต่อกันได้อีก ภายในฮับมีลักษณะเป็นบัสที่เชื่อมสายทุกเส้นเข้าด้วยกัน ดังนั้นการใช้ฮับและบัส จะมีระบบการส่งข้อมูลแบบ เดียวกัน และมีการพัฒนาเป็นมาตรฐาน กาหนดชื่อมาตรฐานนี้ว่า 802.3 ความเร็วในการส่งกาหนดไว้ที่ 10 ล้านบิตต่ อ วินาที และกาลังมีมาตรฐานใหม่ให้ สามารถรับส่งสัญญาณได้ถึง 100 ล้านบิตต่อวินาที
10.
7.3.2 โทเก็นริง โทเก็นริง เป็นครือข่ายที่บริษัท
ไอบีเอ็ม พัฒนาขึ้น รูปแบบการ เชื่อมโยงจะเป็น วงแหวน โดยด้านหนึ่งเป็นตัวรับสัญญาณและอีกด้านหนึ่งเป็นตัวส่ง สัญญาณ การเชื่อมต่อแบบนี้ทาให้คอมพิวตอร์ทุกเครื่องสามารถส่งข้อมูลถึงกันได้ โดยผ่าน เส้นทางวงแหวนนี้ การติดต่อสื่อสารแบบนี้จะมีการจัดลาดับให้ผลัดกันส่งเพื่อว่าจะได้ไม่สับสน และมีรูปแบบ ที่ชัดเจน โทเก็นริงที่ใช้กันอยู่ในขณะนี้มีความเร็วในการรับส่งสัญญาณได้ 16 ล้าน บิตต่อวินาที ข้อมูลแต่ละชุดจะมี การกาหนดตาแหน่งแน่นอนว่ามาจากสถานีใด และจะส่งไปที่ สถานีใด 7.3.3 สวิตชิง สวิตชิง เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนามาเพื่อให้สามารถรับส่งข้อมูลระหว่างสถานีทาได้เร็ว ยิ่งขึ้น การคัดเลือกชุดข้อมูล ที่ส่งมาและส่งต่อไปยังสถานีปลายทาง จะกระทาที่ชุมสายกลางที่ เรียกว่า สวิตชิง รูปแบบของครือข่ายแบบนี้จะมีลักษณะ เป็นแบบดาว ซึ่งโครงสร้างนี้จะ เหมือนกันกับแบบอีเทอร์เน็ตที่มีฮับเป็นศูนย์กลาง แต่แตกต่างกันที่ฮับเป็นจุดร่วมของสาย สัญญาณที่จะต่อกระจายไปยังทุกสาย แต่สวิตชิงจะเลือกการสลับสัญญาณไปยังตาแหน่งที่ต้องการ เท่านั้น สวิตชิงจึงมีข้อดี กว่าฮับเนื่องจากแต่ละสายสัญญาณจะมีความเป็นอิสระต่อกันมาก ทาให้ รับส่งสัญญาณไม่มีปัญหาเรื่องการชนกัน ของข้อมูล อุปกรณ์ที่ใช้ในการสวิตชิงมีหลายแบบ เช่น อีเทอร์เน็ตสวิตซ์ และเอทีเอ็มสวิตซ์ เอทีเอ็มสวิตซ์เป็นอุปกรณ์การสลับสายสัญญาณในการรับส่งข้อมูลที่มีการรับส่งกันเป็น ชุด ๆ ข้อมูลแต่ละชุดเรียกว่า เซล มีขนาดจากัด การสวิตชิงแบบเอทีเอ็มทาให้ข้อมูลจากสถานี หนึ่งไปยังอีกสถานีหนึ่งดาเนินไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งกาลังได้รับความสนใจและมีแนวโน้มจะได้รับ
11.
ความนิยมมากขึ้น ทั้งนี้เพราะการประยุกต์งานสมัยใหม่หลายอย่าง ต้องการความเร็ว สูง
โดยเฉพาะการสื่อสารที่มีการผสมหลายสื่อรวมทั้งข้อความ รูปภาพ เสียงและวีดิโอ 7.4 การใช้งานครือข่ายคอมพิวตอร์ ครือข่ายแลนหนึ่งครือข่ายจะมีการทางานกันเป็นกลุ่ม เรียกว่า กลุ่มงาน (workgroup) แต่เมื่อเชื่อมโยงหลาย ๆ กลุ่มงานเข้าด้วยกันก็จะเป็นครือข่ายของ องค์กร และถ้าเชื่อมโยงระหว่างองค์กรผ่านครือข่ายแวน ก็จะได้ครือข่าย ขนาดใหญ่ ตัวอย่าง การใช้งานครือข่าย 7.4.1 การใช้ฐานข้อมูลร่วมกัน งานขององค์กรบางอย่างมีความจาเป็นต้องใช้ข้อมูลชุดเดียวกัน ถ้าแต่ละฝ่ายทาการหาหรือ รวบรวมข้อมูลเอง ข้อมูลอาจ จะมีความคลาดเคลื่อนไม่ตรงกันก็ได้ นอกจากความผิดพลาดที่ เกิดขึ้นแล้วยังทาให้สิ้นเปลืองทรัพยากรบุคคลและวัสดุอุปกรณ์ สิ้นเปลืองเวลาอีกด้วย แต่ถ้า องค์กรนั้นมีระบบการจัดเก็บข้อมูลที่ดี มีสถานีให้บริการเก็บข้อมูล แล้วให้ผู้ใช้บริการในองค์กร นั้นดึงข้อมูลผ่านระบบครือข่ายไปใช้ ก็จะประหยัดค่าใช้จ่ายด้านต่าง ๆ ได้ นอกจากนั้นยัง สามารถใช้ทรัพยากรร่วมกันได้ เช่น เครื่องพิมพ์ เครื่องสแกน กล้องดิจิตอล ฯลฯ การ ดาเนินงานก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันเนื่องจากใช้ฐานข้อมูลร่วมกัน 7.4.2 การติดต่อสื่อสารระหว่างกันบนครือข่าย เมื่อมีการเชื่อมโยงอุปกรณ์เข้า ด้วยกัน ผู้ใช้ทุกคนที่อยู่บนครือข่าย จะสามารถ ติดต่อสื่อสารระหว่างกัน สามารถส่ง ไปรษณีย์ อิเล็กทรอนิกส์ระหว่างกัน ตลอดจนสามารถโอนย้ายข้อมูลระหว่างกันได้ 7.4.3 สานักงานอัตโนมัติ แนวคิดของสานักงานสมัยใหม่ ก็คือ ลดการใช้กระดาษ หันมาใช้ระบบการทางาน ด้วย คอมพิวตอร์ที่สามารถ แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้ทันทีทันใด ระบบสานักงานอัตโนมัติจึง เป็นระบบการทางานที่ทุกสถานีงานเปรียบเสมือน โต๊ะทางาน ทาให้เกิดความคล่องตัว และ รวดเร็ว
12.
7.5 ตัวอย่างครือข่ายคอมพิวตอร์ เมื่อเทคโนโลยีครือข่ายได้รับการพัฒนาโดยเฉพาะมีการประยุกต์ใช้งานบนครือข่ายอย่าง กว้างขวาง ทาให้ครือข่าย
คอมพิวตอร์สามารถเชื่อมโยงกันเป็นครือข่าย เดียวกัน เรียกว่า อินเทอร์เน็ต ขณะเดียวกันในองค์กรแต่ละองค์กร ก็มีการพัฒนาครือข่ายของ ตนเองและประยุกต์ใช้กับงานเฉพาะในองค์กร เรียกว่าอินทราเน็ต ดังนั้น อินเทอร์เน็ตจึง แตกต่างจากอินทราเน็ตตรงที่ขอบเขตของการเชื่ อมโยง ส่วนมาตรฐานและวิธีการเชื่อมโยงยังคง เป็นมาตรฐานเดียวกัน 7.5.1 อินเทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตพัฒนามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 โดยกระทรวงกลาโหมประเทศสหรัฐอเมริกาให้ ทุนกับมหาวิทยาลัย ชั้นนาในสหรัฐฯ เพื่อเชื่อมโยงเครื่องคอมพิวตอร์ของมหาวิทยาลัยเข้าเป็น ครือข่าย และใช้ทรัพยากรเพื่อทางานวิจัย เกี่ยวกับการเชื่อมโยงครือข่ายคอมพิวตอร์ร่วมกัน ซึ่ง สมัยแรกใช้ชื่อว่า อาร์ปาเน็ต และจึงมีการเปลี่ยนชื่อเป็น อินเทอร์เน็ตในภายหลัง ครือข่าย อินเทอร์เน็ตได้รับการพัฒนาให้เป็นมาตรฐาน โดยมาตรฐานการรับส่งข้อมูลมีชื่อว่า ทีซีพี/ไอพี (TCP/IP) ต่อมามีการเชื่อมครือข่ายออกสู่องค์กรเอกชน และแพร่ขยายไปทั่ว โลก ครือข่ายอินเทอร์เน็ต ถือเป็นครือข่ายของครือข่าย หมายความว่าในองค์กรได้สร้าง ครือข่ายภายในตนเองขึ้นมา และนามาเชื่อมต่อสู่ครือข่าย สากลอินเทอร์เน็ตนี้ โดยมีการกาหนด ตาแหน่งอุปกรณ์ด้วยรหัสหมายเลขที่เรียกว่า แอดเดรส ซึ่งอินเทอร์เน็ต กาหนดรหัสแอดเดรส เรียกว่า ไอพีแอดเดรส และถือเป็นรหัสสากลที่ไม่ซ้ากันเลย ไอพีแอดเดรสจะประกอบด้วยตัวเลข 4 ชุด โดยเน้นเป็นรหัสของครือข่ายและรหัสของอุปกรณ์ เช่น รหัสแทนครือข่ายของ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ใช้รหัส 158.108 ส่วนรหัสของเครื่องจะมีอีกสองพิกัด ตามมา เช่น 2.71 เมื่อเขียนรวมกันจะได้ 158.108.2.71 เพื่อให้จดจาได้ง่ายจึงมี การตั้งชื่อคู่กับหมายเลข เราเรียกชื่อนี้ว่า โดเมน เช่นโดเมนของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ก็ ใช้ ชื่อ ku.ac.th โดย th หมายถึงประเทศไทย ac หมายถึงสถาบันการศึกษา และ ku หมายถึง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และถ้ามีเครื่องคอมพิวตอร์อยู่ในครือข่ายหลาย เครื่อง ก็ให้มีการตั้งชื่อเครื่องด้วย เช่น nontri เมื่อมีการเรียกรวมกันก็ จะ เป็น nontri.ku.ac.th การใช้ชื่อนี้ทาให้ใช้งานง่ายกว่าตัวเลข เมื่อครือข่ายอินเทอร์เน็ต เชื่อมโยงกันได้ทั่วโลก ทาให้โลกไร้พรมแดน ข้อมูล ข่าวสารต่าง ๆ สามารถสื่อถึงได้อย่าง รวดเร็ว ตัวอย่างการใช้งานบนอินเทอร์เน็ตที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นเพียงตัวอย่างที่แพร่หลายและใช้ กันมากเท่านั้น แต่ยังมีการใช้งานอื่น ๆ อีกมากที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาตลอดเวลา
13.
1. การรับส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นระบบการสื่อสารทางจดหมายผ่านคอมพิวตอร์ ถ้าเราต้องการส่งข้อความถึงใครก็ สามารถเขียนเป็นเอกสาร
แล้วจ่าหน้าซองที่อยู่ของผู้รับที่เรียกว่า แอดเดรส ระบบจะนาส่งให้ ทันทีอย่างรวดเร็ว ลักษณะของแอดเดรสจะเป็นชื่อรหัสผู้ใช้ และชื่อเครื่องประกอบ กัน เช่น sombat@nontri.ku.ac.th การติดต่อบนอินเทอร์เน็ตนี้ จะหาตาแหน่งให้ เองโดยอัตโนมัติ และนาส่งไปปลายทางได้อย่างถูกต้อง การรับส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (email) กาลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย 2. การโอนย้ายแฟ้มข้อมูลระหว่างกัน เป็นระบบที่ทาให้ผู้ใช้สามารถรับส่งแฟ้มข้อมูลระหว่างกันหรือมีสถานีให้บริการ เก็บ แฟ้มข้อมูลที่อยู่ในที่ต่าง ๆ และให้บริการ ผู้ใช้สามารถเข้าไปคัดเลือกนาแฟ้มข้อมูลมาใช้ ประโยชน์ได้ 3. การใช้เครื่องคอมพิวตอร์ในที่ห่างไกล การเชื่อมโยงคอมพิวตอร์เข้ากับครือข่าย ทาให้เราสามารถ เรียกหาเครื่องคอมพิวตอร์ที่เป็น สถานีบริการใน ที่ห่างไกลได้ ผู้ใช้สามารถนาข้อมูลไปประมวลผลยังเครื่องคอมพิวตอร์ที่อยู่ใน ครือข่าย โดยไม่ต้องเดินทางไปเอง 4. การเรียกค้นข้อมูลข่าวสาร ปัจจุบันมีฐานข้อมูลที่เก็บไว้ให้ใช้งานจานวนมาก ฐานข้อมูลบางแห่งเก็บข้อมูลในรูปสิ่งพิมพ์ อิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้ใช้สามารถ เรียกอ่าน หรือนามาพิมพ์ ลักษณะการเรียกค้นนี้จึงมีลักษณะเหมือน เป็นห้องสมุดขนาดใหญ่อยู่ภายในครือข่าย ที่สามารถค้นหาข้อมูลใด ๆ ก็ได้ ฐานข้อมูล ใน ลักษณะนี้เรียกว่า ครือข่ายใยแมงมุมครอบคลุมทั่วโลก(World Wide Web : WWW) เป็นฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงกันทั่วโลก 5. การอ่านจากกลุ่มข่าว ภายในอินเทอร์เน็ตมีกลุ่มข่าวเป็นกลุ่ม ๆ แยกตามความสนใจ แต่ละกลุ่มข่าว อนุญาตให้ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตส่งข้อความ ลงไปได้ และหากมีผู้ต้องการเขียนโต้ตอบก็สามารถเขียนตอบ ได้ กลุ่มข่าวนี้จึงแพร่หลายกระจายข่าวได้รวดเร็ว 6. การสนทนาบนครือข่าย ครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นตัวกลาง ในการติดต่อสนทนากันได้ ในยุคแรกใช้ วิธีการสนทนาเป็นตัวหนังสือ ต่อมา พัฒนาให้ใช้เสียงได้ ปัจจุบันถ้าระบบสื่อสารมีความเร็ว พอก็สามารถสนทนาโดยที่เห็นหน้ากันและกันบนจอภาพได้ 7. การบริการสถานีวิทยุและโทรทัศน์บนครือข่าย ปัจจุบันมีผู้ตั้งสถานีวิทยุบนครือข่ายอินเทอร์เน็ตหลายร้อยสถานี ผู้ใช้สามารถเลือกสถานที่
14.
ต้องการและได้ยินเสียงเหมือน การเปิดฟังวิทยุ ขณะเดียวกันก็มีการส่งกระจายภาพวีดิโอบน ครือข่ายด้วย 7.5.2
อินทราเน็ต เมื่ออินเทอร์เน็ตได้รับการพัฒนามาจนเป็นที่ยอมรับและแพร่หลาย จึงมีผู้ต้องการสร้าง ครือข่ายใช้งานเฉพาะในองค์กร โดยนาวิธีการในอินเทอร์เน็ตมาประยุกต์ใช้กับครือข่ายของ ตนเอง ครือข่ายที่ใช้งานเฉพาะในองค์การนี้จึงเรียกว่า ครือข่ายอินทราเน็ต การประยุกต์ใช้ บนครือข่ายอินเตอร์เน็ตใช้หลักการที่มีสถานีให้บริการ และสถานีผู้ใช้บริการ สถานีผู้ใช้บริการมี โปรแกรมเชื่อมต่อที่ทาให้ใช้งานระบบฐานข้อมูลได้ง่าย อินทราเน็ตจึงใช้วิธีการเดียวกันนี้ เพราะ ทาให้ผู้ใช้ไม่ต้องเสียเวลาในการเรียนรู้การพัฒนาขึ้น และพร้อมที่จะเชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ต จัดทาโดย นายอูดมศักด์ นกศรีแก้ว เลขที่ 6 ชั้น ม.4/2
15.
อ้างอิง http://www.rayongwit.ac.th/comcen09/network/lesson7.htm
Download