ݺߣ
Submit Search
ตำแหȨงการกิึϹสียง
•
6 likes
•
19,224 views
A
Art Pb
Follow
ตำแหȨงการกิึϹสียง 56030564
Read less
Read more
1 of 7
Download now
Downloaded 80 times
More Related Content
ตำแหȨงการกิึϹสียง
1.
นายอภิสิทธิ์ ทองดี รหัสประจาตัว 56030564 ตาแหน่งเกิดเสียง
(place of articulation, point of articulation) ชนิดของการออกเสียง ฐานกรณ์ (articulator) นั้นแยกออกเป็นการออกเสียงแบบ ฐาน (passive articulator) และ กรณ์ (active articulator) ตัวอย่างเช่น ใช้ริมฝีปากล่างเป็นกรณ์ (ส่วนเคลื่อนที่) อาจเคลื่อนไปสัมผัส ริมฝีปากบนซึ่งเป็นฐาน (ส่วน ไม่เคลื่อนที่) เป็นการออกเสียงจากริมฝีปากคู่ (bilabial) เช่น เสียง [m]) หรือ ใช้ริมฝีปากล่างไปสัมผัสกับฟันบน (ฐาน) เป็นเสียงจากริมฝีปากล่าง-ฟันบน (labiodental) เช่น เสียง [f]) การสัมผัสเพดานแข็งด้วยส่วนหน้าและส่วนหลังของลิ้น ใช้ส่วนหน้าสัมผัส เรียก เสียงปลายลิ้นม้วน (retroflex) ใช้ส่วนหลังลิ้นสัมผัส เรียก "เสียงจากหลังลิ้น-เพดานแข็ง" (dorsal-palatal) หรือ โดยทั่วไป เรียกเพียง ตาลุชะ/เสียงจากเพดานแข็ง (palatal) เสียงแบบกรณ์ มีทั้งหมด 5 เสียง คือ
2.
1. เสียงพยัญชนะริมฝีปาก (labial
consonant) เป็นเสียงจากริมฝีปากหรือโอษฐชะ 2. เสียงพยัญชนะโพรงปาก (coronal consonant) เป็นเสียงจากการใช้ส่วนปลายอ่อนตัวของลิ้น 3. เสียงพยัญชนะหลังลิ้น (dorsal consonant) เป็นเสียงจากการใช้ส่วนกลางหรือส่วนหลังของ ลิ้น 4. เสียงพยัญชนะโคนลิ้น (radical consonant) เป็นเสียงจากการใช้โคนลิ้นและลิ้นปิดกล่องเสียง (epiglottis) 5. เสียงพยัญชนะเส้นเสียง (laryngeal consonants) เป็นเสียงจากกล่องเสียง (larynx) การออกเสียงเหล่านี้สามารถเปล่งแยกจากกัน หรือ สามารถออกเป็นเสียงผสม เรียก การออก เสียงผสม (coarticulation) การออกเสียงแบบฐานเป็นการออกเสียงที่ไม่มีการแบ่งแยกชัดเจน โดยตาแหน่งการออกเสียง เสียงจากลิ้น-ริมฝีปากบน (linguolabial) และเสียงลิ้นระหว่างฟัน (interdental), เสียงจากลิ้นระหว่าง ฟันและเสียงจากฟัน/ทันตชะ (dental), เสียงจากฟันและเสียงจากปุ่มเหงือก (alveolar), เสียงจากปุ่ม เหงือกและเสียงจากเพดานแข็ง/ตาลุชะ (palatal), เสียงจากเพดานแข็งและเสียงจากเพดานอ่อน (velar), เสียงจากเพดานอ่อนและเสียงจากลิ้นไก่ (uvular) อาจเชื่อมโยงเหลื่อมกัน และการออกเสียง พยัญชนะอาจมีการออกเสียงในตาแหน่งก้ากึ่ง นอกจากนั้นแล้ว ในการใช้ลิ้นออกเสียง ส่วนที่ใช้สัมผัสอาจเป็นส่วน ผิวบนของลิ้น (blade) ที่ ใช้ในการสัมผัส (เสียงพยัญชนะใช้ปลายลิ้น -en:laminal consonant), ส่วนยอดของปลายลิ้น (เสียง พยัญชนะใช้ปลายสุดลิ้น - apical consonant), หรือผิวใต้ลิ้น (เสียงพยัญชนะใช้ใต้ปลายสุดลิ้น - sub- apical consonant) ซึ่งเสียงเหล่านี้ก็อาจผสมผสานก้ากึ่งไม่ได้แบ่งแยกชัดเจน การทาให้เกิดเสียงพูด (Speech Production) ถ้าจะพิจารณาในแง่การเกิดเสียงพูด ก็คือลมหายใจ ที่ถูกดัดแปลงไปโดยมีกระแสอากาศ ซึ่ง ถูกขับเคลื่อนโดยการทางานของอวัยวะออกเสียง ซึ่งทาหน้าที่เป็นแหล่งกาเนิดพลังงานต่าง ๆ เป็น องค์ประกอบที่สาคัญที่ทาให้เกิดเป็นเสียงขึ้นมา
3.
ขั้นตอนที่ทาให้เกิดเสียงพูดมี ๓ ขั้นตอน
ดังนี้ 1. การขับเคลื่อนกระแสอากาศ (Air-stream Mechanism) 2. การทาให้เป็นเสียงแบบต่าง ๆ (Phonation) 3. การแปรเสียงหรือการกล่อมเกลาเสียง (Articulation) 1. การขับเคลื่อนกระแสอากาศ (Air-stream Mechanism) ปัจจัยที่ทาให้เกิดเสียงขึ้นได้คือ อากาศ เพราะเสียงก็คืออากาศที่ถูกผลักดันให้เคลื่อนที่และถูกดัดแปลงหรือแปรให้เป็นเสียงประเภท ต่าง ๆ โดยการทางานของฐานกรณ์ต่าง ๆ ถ้าไม่มีอากาศก็จะไม่มีเสียงเกิดขึ้น การขับเคลื่อนกระแส อากาศมีต้นกาเนิดพลังงานจากตาแหน่งที่ต่างกัน เสียงที่เกิดขึ้นจึงแตกต่างกันไป แหล่งพลังงาน มี 3 แหล่งด้วยกันคือ แหล่งพลังงานจากปอด , แหล่งพลังงานจากกล่องเสียง และแหล่งพลังงานจาก เพดานอ่อน 2. การทาให้เป็นเสียงแบบต่าง ๆ (Phonation) การเกิดเสียงพูดนี้จะเกี่ยวข้องกับการทางาน ของเส้นเสียงโดยตรงนั่นคือ การจะเกิดเสียงแบบต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับการดัดแปลงรูปแบบการสั่นของ เส้นเสียง โดยปกติภาษามีเสียง 2 ประเภท คือ เสียงก้อง (voiced sound) จะเกิดขึ้นโดยมีการสั่นของ เส้นเสียงร่วมด้วย และเสียงไม่ก้อง (voiceless sound) จะเกิดขึ้นโดยไม่มีการสั่นของเส้นเสียง 3. การแปรเสียงหรือการกล่อมเสียง (Articulation) เมื่อกระแสอากาศจากแหล่งพลังงานต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่หมายถึง ปอด เคลื่อนขึ้นสู่กล่องเสียง และถูกดัดแปลงคุณภาพเสียงให้แตกต่างไป ตามรูปแบบการทางานแบบต่าง ๆ ของเส้นเสียง แล้วต่อมาอากาศก็จะเดินทางเข้าสู่ช่องปาก ซึ่ง ประกอบด้วยอวัยวะแปรเสียงหรือฐานกรณ์มากมาย ซึ่งทาหน้าที่ในการกล่อมเกลาเสียงให้ออกมามี คุณลักษณะแตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะวิธีออกเสียงด้วย การแปรเสียงหรือกล่อมเกลาเสียง เป็นแบบต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับ - ตาแหน่งของการเกิดเสียง (Place of Articulation) - ลักษณะของการเกิดเสียง (Manner of Articulation)
4.
เสียงในตาแหน่งต่างๆ การแบ่งตามตาแหน่งที่เกิดเสียง (Points of
Articulation) 1. เสียงที่ เกิดจากริมฝีปากบนและล่าง (bilabial sounds) ได้แก่ เสียง /p/, /b/, /m/ และ /w/ 2. เสียงที่ เกิดจากริมฝีปากและฟัน (labio-dental sounds) ได้แก่ เสียง /f/ และ /v/ 3. เสียงที่เกิดระหว่างฟัน (interdental sounds) ได้แก่เสียง /θ/และ /ð/ 4. เสียงที่ เกิดจากปุ่มเหงือก (alveolar sounds) ได้แก่ เสียง /t/, /d/, /s/, /z/, /l/, และ /n/ 5. เสียงที่ เกิดหลังปุ่มเหงือก (post-alveolar sounds) ได้แก่ เสียง /š/, /ž/, /Č/, /Ĵ/ และ /r/ 6. เสียงที่เกิดจากเพดานแข็ง (palatal sound) ได้แก่เสียง /y/ 7. เสียงที่เกิดจากเพดานอ่อน (velar sounds) ได้แก่เสียง /k/, /g/ และ /ŋ/ 8. เสียงที่เกิดจากช่องระหว่างเส้นเสียง (glottal sound) ได้แก่เสียง /h/ การแบ่งตามลักษณะของการออกเสียง (Manners of Articulation) 1. เสียงระเบิด (plosive sounds) ได้แก่เสียง /p/, /b/, /t/, /d/, /k/, /g/ 2. เสียงกึ่งเสียดสี (affricate sounds) ได้แก่เสียง /č/, /ĵ/ 3. เสียงเสียดสี (fricative sounds) ได้แก่เสียง /f/, /v/, /θ/, /ð/, /s/, /z/, /š/, /ž/, /h/ 4. เสียงนาสิก (nasal sounds) ) ได้แก่เสียง /m/, /n/, /ŋ/ 5. เสียงข้างลิ้น (lateral sound) ได้แก่เสียง /l/ 6. เสียงกึ่งสระ (semi-vowel sounds) ได้แก่เสียง /w/, /r/, /y/
5.
สัญลักษณ์แทนเสียงสากล (Phonetic Symbols) เสียงสระ
(Vowel Sound)
6.
เสียงพยัญชนะ (Consonant Sound)
Download