ݺߣ

ݺߣShare a Scribd company logo
จากที่กล่าวมาแล้วว่า เทคโนโลยีสารสนเทศเกิดการจากการรวมกันของ
เทคโนโลยี 2 ด้าน คือเทคโนโลยีโทรคมนาคมกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ซึ่งแต่ละด้านมีประวัติ
หรือพัฒนาการ ดังนี้
เทคโนโลยีโทรคมนาคม
เทคโนโลยีโทรคมนาคม เริ่มจากการประดิษฐ์โทรเลขของ แซมวล มอร์ส (Samual
Morse) ในปี พ.ศ. 2380 นับว่าเป็นครั้งแรก ที่ข่าวสารถูกแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้า ส่งไปตามสาย
เป็นระยะทางไกลๆ ได้โดยอาศัยวิธีการเข้ารหัสตัวอักษร เป็นรหัสอื่นที่ประกอบด้วยจุด (.) และขีด
(-) เช่น สัญญาณข้อความช่วยเหลือฉุกเฉิน SOS จะเข้ารหัสเป็น... - - - ... การรับส่งโทรเลขได้ถูก
นามาใช้งานในเชิงการค้าตั้งแต่ พ.ศ. 2387 เป็นต้นมา และในปี พ.ศ. 2401 ได้มีการวางสาย
เคเบิล ใต้มหาสมุทรแอตแลนติก ทาให้เกิดการสื่อสารข้ามทวีประหว่างทวีปอเมริกากับทวีปยุโรป
ขึ้นเป็นครั้งแรก
(ก) (ข)
(ก) ภาพแสดงแป้นเคาะโทรเลข มอร์ส – เวล (Morse – Vail)
(ข) ภาพแสดงโทรเลขเครื่องพิมพ์เอดิสันสต๊กพรินเตอร์ (Edison Stock Printer)
ในปี พ.ศ. 2419 อเล็กซานเดอร์ แกรแฮม เบลล์ (Alexander Graham Bell)ได้
ประดิษฐ์โทรศัพท์ และได้ตั้งชุมสายโทรศัพท์แห่งแรกที่เมืองนิวเฮเวน รัฐคอนเนตทิคัต
สหรัฐอเมริกา จากนั้นเครือข่ายโทรศัพท์ได้ขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว จนในปัจจุบันสามารถ
ติดต่อสื่อสารกันได้ด้วยระบบโทรศัพท์ทางไกลอัตโนมัติ นับเป็นพัฒนาการอันยิ่งใหญ่ด้าน
เทคโนโลยีเครือข่ายโทรคมนาคม
ด้านการสื่อสารไร้สาย ได้มีการพัฒนาการค้นพบคลื่นวิทยุในปี พ.ศ. 2430 โดย ไฮน์ริช
แฮตน์
(เฮิร์ต) (Heinrich Hertz) และต่อมาปี พ.ศ. 2437 กูกลิเอลโม มาร์โคนี (Guglielmo Marconi)
สามารถประดิษฐ์เครื่องรับส่งวิทยุเครื่องแรกได้สาเร็จ จากนั้นได้มีพัฒนาการทางเทคโนโลยีที่
สาคัญหลายอย่าง ดังต่อไปนี้
ในปี พ.ศ. 2477-2479 จอห์น เฟลมมิง (John Flemming) และ ลี เดอ ฟอเรสต์ (Lee
De Forest)ได้ประดิษฐ์หลอดสุญญากาศซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายการแปรรูปสัญญาณ
อิเล็กทรอนิกส์
ในปี พ.ศ. 2497 วลาดิเมียร์ สวอริคิน (Vladimir Zworykin) ได้ประดิษฐ์หลอดภาพ
โทรทัศน์ ซึ่งเป็นที่มาของจอภาพคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน
ในปี พ.ศ. 2490 ชอกลีย์ บาร์ดีน และ แบรตเทน (Schockley, Bardeen and Brattain)
ได้ประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์ ซึ่งเป็นที่มาของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบสารกึ่งตัวนาไอซีและซีพียูใน
คอมพิวเตอร์
ในปี พ.ศ. 2500 คิลบี และ นอยส์ (Jack Kilby, Robert Noyce) ได้ประดิษฐ์วงจรรวม
หรือไอซี ซึ่ง เป็นเทคโนโลยีย่อส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทาให้คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันมี
สมรรถนะสูงและมีขนาดเล็ก
ในปี พ.ศ. 2504 บริษัทเอทีแอนด์ที ได้สร้างดาวเทียมสื่อสาร เทลสตาร์ 1 เป็นดาวเทียม
สื่อสารดวงแรกของโลก
(ก)
(ข)
(ก) ภาพแสดงหลดสุญญากาศแบบต่างๆ
(ข) ภาพแสดงทรานซิสเตอร์แบบต่างๆ
ภาพแสดงวงจรรวมหรือไอซี ภาพแสดง
เทลสตาร์ 1 ดาวเทียมสื่อสารดวงแรกของโลก
เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ เป็นผลมาจากการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือในการ
คานวณ ซึ่งมีวิวัฒนาการนานมาแล้วเริ่มจากเครื่องมือในการคานวณเครื่องแรกคือ "ลูกคิด"
(Abacus) ที่สร้างขึ้นในประเทศจีน เมื่อประมาณ 2,000-3,000 ปีมาแล้ว
ภาพแสดงลูกคิด (Abacus)
จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2376 นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ ชื่อ ชาร์ล แบบเบจ (Charles
Babbage) ได้ประดิษฐ์เครื่องวิเคราะห์ (Analytical Engine) สามารถคานวณค่าของตรีโกณมิติ
ฟังก์ชั่นต่างๆ ทางคณิตศาสตร์ การทางานของเครื่องนี้แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนเก็บข้อมูล
ส่วนคานวณ และส่วนควบคุม ใช้ระบบพลังเครื่องยนต์ไอน้าหมุนฟันเฟือง มีข้อมูลอยู่ในบัตรเจาะรู
คานวณได้โดยอัตโนมัติ และเก็บข้อมูลในหน่วยความจา ก่อนจะพิมพ์ออกมาทางกระดาษ
หลักการของแบบเบจได้ถูกนามาพัฒนาสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ เราจึงยกย่องให้
แบบเบจเป็นบิดาแห่งเครื่องคอมพิวเตอร์ หลังจากนั้นเป็นต้นมาได้มีผู้ประดิษฐ์เครื่องคอมพิวเตอร์
ขึ้นมากมายหลายขนาด ทาให้เป็นการเริ่มยุคของคอมพิวเตอร์อย่างแท้จริง โดยสามารถจัดแบ่ง
คอมพิวเตอร์ออกได้เป็น 5 ยุค
ยุคที่ 1 พ.ศ. 2489 – 2501
เป็นการประดิษฐ์เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มิใช่เครื่องคานวณ โดยเมาช์ลีและเอ็กเคอร์ต
(Mauchly and Eckert) ได้นาแนวความคิดนั้นมาประดิษฐ์เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มี
ประสิทธิภาพมากเครื่องหนึ่งเรียกว่า ENIAC (Electronic Numerical Integrator and
Calculator) ซึ่งต่อมาได้ทาการปรับปรุงการทางานของเครื่องคอมพิวเตอร์ให้มีประสิทธิภาพดี
ยิ่งขึ้น และได้ประดิษฐ์เครื่อง UNIVAC (Universal Automatic Computer) ขึ้นเพื่อใช้ในการ
สารวจสามะโนประชากรประจาปี
ภาพแสดงเครื่องคอมพิวเตอร์ (ENIAC)
จึงนับได้ว่า UNIVAC เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลกที่ถูกใช้งานในเชิงธุรกิจ
จึงนับเป็นการเริ่มของเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคแรกอย่างแท้จริงเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคนี้ใช้หลอด
สุญญากาศในการควบคุมการทางานของเครื่อง ซึ่งทางานได้อย่างรวดเร็ว แต่มีขนาดใหญ่มากและ
ราคาแพง ยุคแรกของคอมพิวเตอร์สิ้นสุดเมื่อมีผู้ประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์มาใช้แทนหลอดสุญญากาศ
ลักษณะเฉพาะของเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคที่ 1
ใช้อุปกรณ์หลอดสุญญากาศ (Vacuum Tube) เป็นส่วนประกอบหลัก ทาให้ตัวเครื่องมี
ขนาดใหญ่ ใช้พลังงานไฟฟ้ามาก และเกิดความร้อนสูง ทางานด้วยภาษาเครื่อง (Machine
Language) เท่านั้น เริ่มมีการพัฒนาภาษาสัญลักษณ์ (Assembly / Symbolic Language) ขึ้นใช้
งาน
หลอดสุญญากาศ (Vacuum Tube)
ยุคที่ 2 พ.ศ. 2502 – 2506
มีการนาทรานซิสเตอร์ มาใช้ในเครื่องคอมพิวเตอร์จึงทาให้เครื่องมีขนาดเล็กลง และ
สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทางานให้มีความรวดเร็วและแม่นยามากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ในยุคนี้
ยังได้มีการคิดภาษาเพื่อใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น ภาษาฟอร์แทน (FORTRAN) จึงทาให้ง่าย
ต่อการ๶ขียนโปรแกรมสาหรับใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์
ภาพแสดงเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคที่เริ่มใช้อุปกรณ์ทรานซิสเตอร์
ลักษณะเฉพาะของเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคที่ 2
ใช้อุปกรณ์ ทรานซิสเตอร์ (Transistor) ซึ่งสร้างจากสารกึ่งตัวนา (Semi-Conductor)
เป็นอุปกรณ์หลัก แทนหลอดสุญญากาศ เนื่องจากทรานซิสเตอร์เพียงตัวเดียว มีประสิทธิภาพใน
การทางานเทียบเท่าหลอดสุญญากาศได้นับร้อยหลอด ทาให้เครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคนี้มีขนาดเล็ก
ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อย ความร้อนต่า ทางานเร็ว และได้รับความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น เก็บข้อมูล
ได้ โดยใช้ส่วนความจาวงแหวนแม่เหล็ก (Magnetic Core) มีความเร็วในการประมวลผลใน
หนึ่งคาสั่ง ประมาณหนึ่งในพันของวินาที (Millisecond : mS) สั่งงานได้สะดวกมาก
ขึ้น เนื่องจากทางานด้วยภาษาสัญลักษณ์ (Assembly Language) เริ่มพัฒนาภาษา
ระดับสูง (High Level Language) ขึ้นใช้งานในยุคนี้
ยุคที่ 3 พ.ศ. 2507 – 2512
คอมพิวเตอร์ในยุคนี้เริ่มต้นภายหลังจากการใช้ทรานซิสเตอร์ได้เพียง 5 ปี เนื่องจากได้มี
การประดิษฐ์คิดค้นเกี่ยวกับวงจรรวม (Integrated-Circuit) หรือเรียกกันย่อๆ ว่า "ไอซี" (IC) ซึ่ง
ไอซีนี้ทาให้ส่วนประกอบและวงจรต่างๆ สามารถวางลงได้บนแผ่นชิป (chip) เล็กๆ เพียงแผ่นเดียว
จึงมีการนาเอาแผ่นชิปมาใช้แทนทรานซิสเตอร์ทาให้ประหยัดเนื้อที่ได้มาก
ภาพแสดงเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคที่เริ่มใช้วงจร IC (Integrated-Circuit)
นอกจากนี้ยังเริ่มมีการใช้งานระบบจัดการฐานข้อมูล (Data Base Management
Systems : DBMS) และมีการพัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้สามารถทางานร่วมกันได้หลายๆ งาน
ในเวลาเดียวกัน และมีระบบที่ผู้ใช้สามารถโต้ตอบกับเครื่องได้หลายๆ คน พร้อมๆ กัน (Time
Sharing)
ลักษณะเฉพาะของเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคที่ 3
ใช้อุปกรณ์ วงจรรวม (Integrated Circuit : IC) หรือ ไอซี และวงจรรวมสเกลขนาดใหญ่
(Large Scale Integration : LSI) เป็นอุปกรณ์หลัก ความเร็วในการประมวลผลในหนึ่งคาสั่ง
ประมาณหนึ่งในล้านของวินาที (Microsecond : mS) สูงกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 1
ประมาณ 1,000 เท่า ทางานได้ด้วยภาษาระดับสูงทั่วไป
ภาพแสดงลักษณะของวงจร IC(Integrated-Circuit)
ยุคที่ 4 พ.ศ. 2513 – 2532
เ ป็นยุคที่นาสารกึ่งตัว นามาสร้างเป็นวงจรรวมความจุสูงมาก (Very Large Scale
Integrated : VLSI) ซึ่งสามารถย่อส่วนไอซีธรรมดาหลายๆ วงจรเข้ามาในวงจรเดียวกัน และมี
การประดิษฐ์ ไมโครโพรเซสเซอร์ (Microprocessor) ขึ้น ทาให้เครื่องมีขนาดเล็ก ราคาถูก
ลง และมีความสามารถในการทางานสูงและรวดเร็วมาก จึงทาให้มีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
(Personal Computer) ถือกาเนิดขึ้นมาในยุคนี้
ภาพแสดงเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC)
ลักษณะเฉพาะของเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคที่ 4
ใช้อุปกรณ์ วงจรรวมสเกลขนาดใหญ่ (Large Scale Integration : LSI) และ วงจรรวม
สเกลขนาดใหญ่มาก (Very Large Scale Integration : VLSI) เป็นอุปกรณ์หลัก มีความเร็วใน
การประมวลผลแต่ละคาสั่ง ประมาณหนึ่งในพันล้านวินาที (Nanosecond : nS) และพัฒนาต่อมา
จนมีความเร็วในการประมวลผลแต่ละคาสั่ง ประมาณหนึ่งในล้านล้านของวินาที (Picosecond :
pS)
ภาพแสดงอุปกรณ์หลักในการคานวณและประมวลผล (CPU) ในคอมพิวเตอร์
ยุคที่ 5 พ.ศ. 2533 – ปัจจุบัน
ในยุคนี้มุ่งเน้นการพัฒนาความสามารถในการทางานของระบบคอมพิว๶ตอร์ และความ
สะดวกสบายในการใช้งานอย่างชัดเจน มีการพัฒนาสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาขนาดเล็ก
(Portable Computer) ขึ้นใช้งานในยุคนี้
โครงการพัฒนาอุปกรณ์ VLSI(Very Large Scale Integration) ให้ใช้งานง่ายและมี
ความสามารถสูงขึ้น รวมทั้งโครงการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (Artificial
Intelligence : AI) เป็นหัวใจของการพัฒนาระบบคอมพิว๶ตอร์ในยุคนี้ โดยหวังให้ระบบ
คอมพิวเตอร์สามารถวิเคราะห์ปัญหาอย่างเป็นเหตุเป็นผล ตามลักษณะของโปรแกรม
ลักษณะของระบบปัญญาประดิษฐ์
ระบบปัญญาประดิษฐ์มี 4 ลักษณะ ได้แก่
1) ระบบหุ่นยนต์ หรือแขนกล (Robotics or Robot arm System) คือ หุ่นจาลอง
ร่างกายมนุษย์ที่ควบคุมการทางานด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ มีจุดประสงค์เพื่อให้ทางานแทนมนุษย์
ในงานที่ต้องการความเร็ว หรือเสี่ยงอันตราย เช่น แขนกลในโรงงานอุตสาหกรรม หรือหุ่นยนต์กู้
ระเบิด เป็นต้น
ภาพแสดงลักษณะระบบปัญญาประดิษฐ์แบบหุ่นยนต์
2) ระบบประมวลภาษาพูด (Natural Language Processing System) คือ การพัฒนา
ให้ระบบคอมพิว๶ตอร์สามารถสังเคราะห์เสียงที่มีอยู่ในธรรมชาติ (Synthesize) เพื่อสื่อความหมาย
กับมนุษย์ เช่น เครื่องคิดเลขพูดได้ (Talking Calculator) หรือนาฬิกาปลุกพูดได้ (Talking
Clock) เป็นต้น
ภาพแสดงลักษณะระบบปัญญาประดิษฐ์แบบภาษาพูด
3) ระบบการรู้จาเสียงพูด (Speech Recognition System) คือ การพัฒนาให้ระบบ
คอมพิวเตอร์เข้าใจภาษามนุษย์ และสามารถจดจาคาพูดของมนุษย์ได้อย่างต่อเนื่อง กล่าวคือเป็น
การพัฒนาให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทางานได้ด้วยภาษาพูด เช่น งานระบบรักษาความปลอดภัย งาน
พิมพ์เอกสารสาหรับผู้พิการ เป็นต้น
4) ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert System) คือ การพัฒนาให้ระบบคอมพิว๶ตอร์มีความรู้
รู้จักใช้เหตุผลในการวิเคราะห์ปัญหา โดยใช้ความรู้ที่มีหรือจากประสบการณ์ ในการแก้ปัญหาหนึ่ง
ไปแก้ไขปัญหาอื่นอย่างมีเหตุผล ระบบนี้จาเป็นต้องอาศัยฐานข้อมูล (Database) ซึ่งมนุษย์ผู้มี
ความรู้ความสามารถเป็นผู้กาหนดองค์ความรู้ ไว้ในฐานข้อมูลดังกล่าว เพื่อให้ระบบคอมพิว๶ตอร์
สามารถวิเคราะห์ปัญหาต่าง ๆ ได้จากฐานความรู้นั้น เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์วิเคราะห์โรค หรือ
เครื่องคอมพิวเตอร์ทานายโชคชะตา เป็นต้น
ในปี พ.ศ. 2390 นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษชื่อ จอร์ช บูล (George Boole) ได้
เผยแพร่คณิตศาสตร์แนวใหม่ที่เรียกว่า พีชคณิตแบบบูลีน (Boolean Algebra) ซึ่งต่อมา
กลายเป็นเครื่องมือสาคัญที่ใช้ในการออกแบบ วงจรตรรกะ (Logic Circuit) ซึ่งวงจรตรรกะนี้เป็น
ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์
(ก) (ข)
(ก) ส่วนหนึ่งของเครื่องจักรวิเคราะห์ของแบบเบจ
(ข ) อินิแอ็ก คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกของโลก
คอมพิวเตอร์ระบบอิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกของโลก ที่สามารถบรรจุโปรแกรม ให้
คานวณข้อมูลได้หลากหลาย ถูกสร้างขึ้นที่สหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2489 เพื่อใช้การคานวณวิถี
กระสุนปืนใหญ่ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 มีชื่อเรียกว่า อินิแอ็ก (Electronic Numerical
Integrator and Calculator : ENIAC) คอมพิวเตอร์เครื่องนี้มีวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้หลอด
สุญญากาศ ประมาณ 18,000 หลอด ว่ากันว่าเครื่องนี้สามารถคานวณโจทย์ยากๆ ทางนิวเคลียร์
ฟิสิกส์โดยใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง แทนที่จะใช้วิศวกร 100 คนคานวณด้วยมือในเวลาถึง 1 ปี
อีกสองปีต่อมาฟอน นอยมัน (Von Neuman) นักคณิตศาสตร์ซึ่งอยู่ในทีมงานที่สร้างอินิแอ็ก
มีแนวคิดใหม่ว่า คอมพิวเตอร์ควรมีหน่วยความจาสาหรับเก็บโปรแกรมด้วยแทนที่จะเก็บเฉพาะ
ข้อมูลเหมือนเครื่องอินิแอ็ก เขาจึงสร้างเครื่องใหม่ขึ้นและให้ชื่อว่า เอ็ดแว็ก (Edvac) ผู้นี้จึงได้ชื่อ
ว่าเป็นบิดาแห่งสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์แบบที่ใช้กันมาจนทุกวันนี้
หลังจากที่ได้มีการประดิษฐ์ ทรานซิสเตอร์ในปี พ.ศ. 2490 คอมพิวเตอร์ยุคต่อมา ซึ่งใช้
ทรานซิสเตอร์แทนหลอดสุญญากาศจึงมีขนาดเล็กลง สิ้นเปลืองพลังงานน้อยลง อีกทั้งโอกาสเสีย
น้อยลง เพราะไม่ร้อนจัด แต่พลังงานที่ถือว่าเป็นจุดหักเหของเทคโนโลยี คือ การประดิษฐ์วงจร
รวมหรือไอซีพิเศษที่เรียกว่า ไมโครโพรเซสเซอร์ (Microprocessor) ขึ้นในปี พ.ศ.
2513 โดย เทด ฮอฟฟ์ (Ted Hoff) แห่งบริษัท อินเทล (Intel) ไมโครโพรเซสเซอร์ คือ ไอซี ที่
ใช้ทาหน้าที่ เป็นหน่วยประมวลผลกลางของคอมพิวเตอร์และของเครื่องควบคุมอัตโนมัติต่างๆ
นั่นเอง ในปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตไมโครโพร เซสเซอร์ จะผลิตไมโครโพรเซสเซอร์รุ่นใหม่ที่มีสรรถนะ
สูงขึ้นเรื่อยๆ ออกมาทุก 6 เดือน จึงทาให้คอมพิวเตอร์พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน จัดอยู่ในประเภทคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
(Personal Computer) หรือพีซี บริษัทแรกที่ใช้คานี้คือบริษัท ไอบีเอ็ม (IBM) ใช้เรียก
คอมพิวเตอร์ขนาดตั้งโต๊ะที่วาง ตลาดในปี พ.ศ. 2524 แต่อันที่จริงคอมพิวเตอร์ขนาดตั้งโต๊ะเครื่อง
แรกที่ใช้งานได้จริงมีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2520 คือ แอปเปิลทู (Apple II) ซึ่งออกแบบและผลิต
จาหน่ายโดย สตีฟ จอบส์ (Steve Wozniak and Steve Jobs)
การที่แอปเปิลทูโด่งดังและขายดีติดตลาดอยู่หลายปี เพราะมีผู้๶ขียนโปรแกรม
สนับสนุนเริ่มตั้งแต่โปรแกรมแปลภาษาเบสิก (Basic Interpreter) ซึ่งผู้ใช้สามารถ๶ขียน
โปรแกรมใช้งานง่ายขึ้น นอกจากนั้นยังมีโปรแกรมวิสิคาล (VisiCalc) ซึ่งเป็นโปรแกรมตาราง
คานวณอัตโนมัติโปรแกรมแรกของโลก ทาให้สามารถใช้คอมพิวเตอร์ทาบัญชีได้อย่างง่ายดาย นี่
เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า โปรแกรม หรือ ซอฟต์แวร์ เป็นสิ่งจาเป็นอย่างยิ่งที่จะทาให้คอมพิวเตอร์
ทางานได้
ภาพแสดงแอปเปิลทู ภาพแสดงวงจรควบคุมการจุดระเบิดในเครื่องยนต์
คอมพิวเตอร์ขนาดตั้งโต๊ะเครื่องแรกที่ใช้งานได้จริง
ในช่วงแรกของยุคคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลนั้น คอมพิวเตอร์ยังมีขีดความสามารถไม่สูง
นัก การใช้งานส่วนใหญ่จะใช้ในการคานวณ หรือเก็บข้อมูลที่เป็นข้อความ (Text) ต่อมา จึงได้มี
การพัฒนาให้คอมพิวเตอร์มีความสามารถจัดการกับข้อมูลที่เป็น รูปภาพสี ทั้ง
ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ภาพยนตร์ และ เสียงคอมพิวเตอร์ จึงมีความพร้อมอย่างสมบูรณ์
สาหรับงานสารสนเทศที่ประกอบด้วยสื่อชนิดต่างๆ เราเรียกระบบเช่นนี้ว่า ระบบ
มัลติมีเดีย (Multimedia)
นอกจากคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์แล้ว ยังมีการพัฒนาเรื่องการนาคอมพิวเตอร์ มา
ต่อเชื่อมกันเป็นเครือข่าย เพื่อสามารถรับส่งข้อมูลและทางาน ประสานกันระหว่างเครื่อง การ
เชื่อมต่อเครือข่ายที่เล็กที่สุด คือ เครือข่ายภายในสานักงานเดียวกัน เรียกว่า เครือข่ายบริเวณ
เฉพาะที่ หรือ แลน (Local Area Network : LAN) ส่วนเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดครอบคลุมไปทั่วโลก
คือ อินเทอร์เน็ต (Internet)ซึ่งเป็นสิ่งที่นาความเปลี่ยนแปลงทาให้เทคโนโลยีสารสนเทศมีความ
เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว

More Related Content

Similar to ประวัติย่อ (20)

ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩต..
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩต..ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩต..
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩต..
runjaun
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตดุ่ย
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตดุ่ยความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตดุ่ย
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตดุ่ย
Pheeranan Thetkham
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตบี
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตบีความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตบี
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตบี
Pheeranan Thetkham
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตโบ
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตโบความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตโบ
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตโบ
puangtong
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตดุ่ย
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตดุ่ยความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตดุ่ย
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตดุ่ย
Pheeranan Thetkham
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตเตย1
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตเตย1ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตเตย1
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตเตย1
puangtong
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตเตย1
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตเตย1ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตเตย1
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตเตย1
Pheeranan Thetkham
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตโบ
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตโบความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตโบ
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตโบ
Pheeranan Thetkham
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตปาย
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตปายความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตปาย
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตปาย
Pheeranan Thetkham
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตปาย
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตปายความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตปาย
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตปาย
Pheeranan Thetkham
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตบี
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตบีความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตบี
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตบี
Pheeranan Thetkham
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตแมว
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตแมวความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตแมว
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตแมว
Pheeranan Thetkham
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตเตย1
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตเตย1ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตเตย1
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตเตย1
Toey_Wanatsanan
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตྺาว
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตྺาวความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตྺาว
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตྺาว
MilkSick
อิȨทอร์๶Ȩ
อิȨทอร์๶ȨอิȨทอร์๶Ȩ
อิȨทอร์๶Ȩ
noooom
๶ครือข่ายคอมพิว๶ตอร์
๶ครือข่ายคอมพิว๶ตอร์๶ครือข่ายคอมพิว๶ตอร์
๶ครือข่ายคอมพิว๶ตอร์
dechathon
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตดา
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตดาความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตดา
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตดา
Wirot Chantharoek
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩต
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩต
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩต
Wirot Chantharoek
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩต1
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩต1ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩต1
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩต1
Wirot Chantharoek
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตดา
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตดาความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตดา
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตดา
Wirot Chantharoek
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩต..
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩต..ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩต..
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩต..
runjaun
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตดุ่ย
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตดุ่ยความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตดุ่ย
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตดุ่ย
Pheeranan Thetkham
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตบี
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตบีความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตบี
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตบี
Pheeranan Thetkham
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตโบ
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตโบความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตโบ
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตโบ
puangtong
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตดุ่ย
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตดุ่ยความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตดุ่ย
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตดุ่ย
Pheeranan Thetkham
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตเตย1
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตเตย1ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตเตย1
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตเตย1
puangtong
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตเตย1
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตเตย1ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตเตย1
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตเตย1
Pheeranan Thetkham
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตโบ
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตโบความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตโบ
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตโบ
Pheeranan Thetkham
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตปาย
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตปายความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตปาย
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตปาย
Pheeranan Thetkham
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตปาย
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตปายความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตปาย
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตปาย
Pheeranan Thetkham
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตบี
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตบีความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตบี
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตบี
Pheeranan Thetkham
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตแมว
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตแมวความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตแมว
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตแมว
Pheeranan Thetkham
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตเตย1
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตเตย1ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตเตย1
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตเตย1
Toey_Wanatsanan
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตྺาว
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตྺาวความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตྺาว
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตྺาว
MilkSick
อิȨทอร์๶Ȩ
อิȨทอร์๶ȨอิȨทอร์๶Ȩ
อิȨทอร์๶Ȩ
noooom
๶ครือข่ายคอมพิว๶ตอร์
๶ครือข่ายคอมพิว๶ตอร์๶ครือข่ายคอมพิว๶ตอร์
๶ครือข่ายคอมพิว๶ตอร์
dechathon
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตดา
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตดาความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตดา
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตดา
Wirot Chantharoek
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩต
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩต
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩต
Wirot Chantharoek
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩต1
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩต1ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩต1
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩต1
Wirot Chantharoek
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตดา
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตดาความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตดา
ความรู้เกี่ยวกับอิȨทอร์๶Ȩตดา
Wirot Chantharoek

More from ment1823 (13)

ใบงาน1.3ม.3
ใบงาน1.3ม.3ใบงาน1.3ม.3
ใบงาน1.3ม.3
ment1823
ใบงาน1.2ม.3
ใบงาน1.2ม.3ใบงาน1.2ม.3
ใบงาน1.2ม.3
ment1823
ใบงาน1.1ม.3
ใบงาน1.1ม.3ใบงาน1.1ม.3
ใบงาน1.1ม.3
ment1823
ใบงาน1.2ม.2
ใบงาน1.2ม.2ใบงาน1.2ม.2
ใบงาน1.2ม.2
ment1823
ใบงาน1.1 ม.2
ใบงาน1.1 ม.2ใบงาน1.1 ม.2
ใบงาน1.1 ม.2
ment1823
ใบงาน 1.3
ใบงาน 1.3ใบงาน 1.3
ใบงาน 1.3
ment1823
ใบงาน 1.2
ใบงาน 1.2ใบงาน 1.2
ใบงาน 1.2
ment1823
ใบงาȨี่1.1
ใบงาȨี่1.1ใบงาȨี่1.1
ใบงาȨี่1.1
ment1823
ความสำคัญྺอง๶ทคโนโลยีสารสȨทศ
ความสำคัญྺอง๶ทคโนโลยีสารสȨทศความสำคัญྺอง๶ทคโนโลยีสารสȨทศ
ความสำคัญྺอง๶ทคโนโลยีสารสȨทศ
ment1823
กำ๶ȨึϹทคโนโลยีสารสȨทศและการสื่อสาร
กำ๶ȨึϹทคโนโลยีสารสȨทศและการสื่อสารกำ๶ȨึϹทคโนโลยีสารสȨทศและการสื่อสาร
กำ๶ȨึϹทคโนโลยีสารสȨทศและการสื่อสาร
ment1823
องค์ประกอบของระบบคอมพิว๶ตอร์ ม.2
องค์ประกอบของระบบคอมพิว๶ตอร์ ม.2องค์ประกอบของระบบคอมพิว๶ตอร์ ม.2
องค์ประกอบของระบบคอมพิว๶ตอร์ ม.2
ment1823
แผȨารซอฟแวร์
แผȨารซอฟแวร์แผȨารซอฟแวร์
แผȨารซอฟแวร์
ment1823
แผȨารซอฟแวร์
แผȨารซอฟแวร์แผȨารซอฟแวร์
แผȨารซอฟแวร์
ment1823
ใบงาน1.3ม.3
ใบงาน1.3ม.3ใบงาน1.3ม.3
ใบงาน1.3ม.3
ment1823
ใบงาน1.2ม.3
ใบงาน1.2ม.3ใบงาน1.2ม.3
ใบงาน1.2ม.3
ment1823
ใบงาน1.1ม.3
ใบงาน1.1ม.3ใบงาน1.1ม.3
ใบงาน1.1ม.3
ment1823
ใบงาน1.2ม.2
ใบงาน1.2ม.2ใบงาน1.2ม.2
ใบงาน1.2ม.2
ment1823
ใบงาน1.1 ม.2
ใบงาน1.1 ม.2ใบงาน1.1 ม.2
ใบงาน1.1 ม.2
ment1823
ใบงาน 1.3
ใบงาน 1.3ใบงาน 1.3
ใบงาน 1.3
ment1823
ใบงาน 1.2
ใบงาน 1.2ใบงาน 1.2
ใบงาน 1.2
ment1823
ใบงาȨี่1.1
ใบงาȨี่1.1ใบงาȨี่1.1
ใบงาȨี่1.1
ment1823
ความสำคัญྺอง๶ทคโนโลยีสารสȨทศ
ความสำคัญྺอง๶ทคโนโลยีสารสȨทศความสำคัญྺอง๶ทคโนโลยีสารสȨทศ
ความสำคัญྺอง๶ทคโนโลยีสารสȨทศ
ment1823
กำ๶ȨึϹทคโนโลยีสารสȨทศและการสื่อสาร
กำ๶ȨึϹทคโนโลยีสารสȨทศและการสื่อสารกำ๶ȨึϹทคโนโลยีสารสȨทศและการสื่อสาร
กำ๶ȨึϹทคโนโลยีสารสȨทศและการสื่อสาร
ment1823
องค์ประกอบของระบบคอมพิว๶ตอร์ ม.2
องค์ประกอบของระบบคอมพิว๶ตอร์ ม.2องค์ประกอบของระบบคอมพิว๶ตอร์ ม.2
องค์ประกอบของระบบคอมพิว๶ตอร์ ม.2
ment1823
แผȨารซอฟแวร์
แผȨารซอฟแวร์แผȨารซอฟแวร์
แผȨารซอฟแวร์
ment1823
แผȨารซอฟแวร์
แผȨารซอฟแวร์แผȨารซอฟแวร์
แผȨารซอฟแวร์
ment1823

ประวัติย่อ

  • 1. จากที่กล่าวมาแล้วว่า เทคโนโลยีสารสนเทศเกิดการจากการรวมกันของ เทคโนโลยี 2 ด้าน คือเทคโนโลยีโทรคมนาคมกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ซึ่งแต่ละด้านมีประวัติ หรือพัฒนาการ ดังนี้ เทคโนโลยีโทรคมนาคม เทคโนโลยีโทรคมนาคม เริ่มจากการประดิษฐ์โทรเลขของ แซมวล มอร์ส (Samual Morse) ในปี พ.ศ. 2380 นับว่าเป็นครั้งแรก ที่ข่าวสารถูกแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้า ส่งไปตามสาย เป็นระยะทางไกลๆ ได้โดยอาศัยวิธีการเข้ารหัสตัวอักษร เป็นรหัสอื่นที่ประกอบด้วยจุด (.) และขีด (-) เช่น สัญญาณข้อความช่วยเหลือฉุกเฉิน SOS จะเข้ารหัสเป็น... - - - ... การรับส่งโทรเลขได้ถูก นามาใช้งานในเชิงการค้าตั้งแต่ พ.ศ. 2387 เป็นต้นมา และในปี พ.ศ. 2401 ได้มีการวางสาย เคเบิล ใต้มหาสมุทรแอตแลนติก ทาให้เกิดการสื่อสารข้ามทวีประหว่างทวีปอเมริกากับทวีปยุโรป ขึ้นเป็นครั้งแรก (ก) (ข)
  • 2. (ก) ภาพแสดงแป้นเคาะโทรเลข มอร์ส – เวล (Morse – Vail) (ข) ภาพแสดงโทรเลขเครื่องพิมพ์เอดิสันสต๊กพรินเตอร์ (Edison Stock Printer) ในปี พ.ศ. 2419 อเล็กซานเดอร์ แกรแฮม เบลล์ (Alexander Graham Bell)ได้ ประดิษฐ์โทรศัพท์ และได้ตั้งชุมสายโทรศัพท์แห่งแรกที่เมืองนิวเฮเวน รัฐคอนเนตทิคัต สหรัฐอเมริกา จากนั้นเครือข่ายโทรศัพท์ได้ขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว จนในปัจจุบันสามารถ ติดต่อสื่อสารกันได้ด้วยระบบโทรศัพท์ทางไกลอัตโนมัติ นับเป็นพัฒนาการอันยิ่งใหญ่ด้าน เทคโนโลยีเครือข่ายโทรคมนาคม ด้านการสื่อสารไร้สาย ได้มีการพัฒนาการค้นพบคลื่นวิทยุในปี พ.ศ. 2430 โดย ไฮน์ริช แฮตน์ (เฮิร์ต) (Heinrich Hertz) และต่อมาปี พ.ศ. 2437 กูกลิเอลโม มาร์โคนี (Guglielmo Marconi) สามารถประดิษฐ์เครื่องรับส่งวิทยุเครื่องแรกได้สาเร็จ จากนั้นได้มีพัฒนาการทางเทคโนโลยีที่ สาคัญหลายอย่าง ดังต่อไปนี้ ในปี พ.ศ. 2477-2479 จอห์น เฟลมมิง (John Flemming) และ ลี เดอ ฟอเรสต์ (Lee De Forest)ได้ประดิษฐ์หลอดสุญญากาศซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายการแปรรูปสัญญาณ อิเล็กทรอนิกส์ ในปี พ.ศ. 2497 วลาดิเมียร์ สวอริคิน (Vladimir Zworykin) ได้ประดิษฐ์หลอดภาพ โทรทัศน์ ซึ่งเป็นที่มาของจอภาพคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน ในปี พ.ศ. 2490 ชอกลีย์ บาร์ดีน และ แบรตเทน (Schockley, Bardeen and Brattain) ได้ประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์ ซึ่งเป็นที่มาของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบสารกึ่งตัวนาไอซีและซีพียูใน คอมพิวเตอร์ ในปี พ.ศ. 2500 คิลบี และ นอยส์ (Jack Kilby, Robert Noyce) ได้ประดิษฐ์วงจรรวม หรือไอซี ซึ่ง เป็นเทคโนโลยีย่อส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทาให้คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันมี สมรรถนะสูงและมีขนาดเล็ก
  • 3. ในปี พ.ศ. 2504 บริษัทเอทีแอนด์ที ได้สร้างดาวเทียมสื่อสาร เทลสตาร์ 1 เป็นดาวเทียม สื่อสารดวงแรกของโลก (ก) (ข) (ก) ภาพแสดงหลดสุญญากาศแบบต่างๆ (ข) ภาพแสดงทรานซิสเตอร์แบบต่างๆ
  • 4. ภาพแสดงวงจรรวมหรือไอซี ภาพแสดง เทลสตาร์ 1 ดาวเทียมสื่อสารดวงแรกของโลก เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ เป็นผลมาจากการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือในการ คานวณ ซึ่งมีวิวัฒนาการนานมาแล้วเริ่มจากเครื่องมือในการคานวณเครื่องแรกคือ "ลูกคิด" (Abacus) ที่สร้างขึ้นในประเทศจีน เมื่อประมาณ 2,000-3,000 ปีมาแล้ว ภาพแสดงลูกคิด (Abacus)
  • 5. จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2376 นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ ชื่อ ชาร์ล แบบเบจ (Charles Babbage) ได้ประดิษฐ์เครื่องวิเคราะห์ (Analytical Engine) สามารถคานวณค่าของตรีโกณมิติ ฟังก์ชั่นต่างๆ ทางคณิตศาสตร์ การทางานของเครื่องนี้แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนเก็บข้อมูล ส่วนคานวณ และส่วนควบคุม ใช้ระบบพลังเครื่องยนต์ไอน้าหมุนฟันเฟือง มีข้อมูลอยู่ในบัตรเจาะรู คานวณได้โดยอัตโนมัติ และเก็บข้อมูลในหน่วยความจา ก่อนจะพิมพ์ออกมาทางกระดาษ หลักการของแบบเบจได้ถูกนามาพัฒนาสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ เราจึงยกย่องให้ แบบเบจเป็นบิดาแห่งเครื่องคอมพิวเตอร์ หลังจากนั้นเป็นต้นมาได้มีผู้ประดิษฐ์เครื่องคอมพิวเตอร์ ขึ้นมากมายหลายขนาด ทาให้เป็นการเริ่มยุคของคอมพิวเตอร์อย่างแท้จริง โดยสามารถจัดแบ่ง คอมพิวเตอร์ออกได้เป็น 5 ยุค ยุคที่ 1 พ.ศ. 2489 – 2501 เป็นการประดิษฐ์เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มิใช่เครื่องคานวณ โดยเมาช์ลีและเอ็กเคอร์ต (Mauchly and Eckert) ได้นาแนวความคิดนั้นมาประดิษฐ์เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มี ประสิทธิภาพมากเครื่องหนึ่งเรียกว่า ENIAC (Electronic Numerical Integrator and Calculator) ซึ่งต่อมาได้ทาการปรับปรุงการทางานของเครื่องคอมพิวเตอร์ให้มีประสิทธิภาพดี ยิ่งขึ้น และได้ประดิษฐ์เครื่อง UNIVAC (Universal Automatic Computer) ขึ้นเพื่อใช้ในการ สารวจสามะโนประชากรประจาปี
  • 6. ภาพแสดงเครื่องคอมพิวเตอร์ (ENIAC) จึงนับได้ว่า UNIVAC เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลกที่ถูกใช้งานในเชิงธุรกิจ จึงนับเป็นการเริ่มของเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคแรกอย่างแท้จริงเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคนี้ใช้หลอด สุญญากาศในการควบคุมการทางานของเครื่อง ซึ่งทางานได้อย่างรวดเร็ว แต่มีขนาดใหญ่มากและ ราคาแพง ยุคแรกของคอมพิวเตอร์สิ้นสุดเมื่อมีผู้ประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์มาใช้แทนหลอดสุญญากาศ ลักษณะเฉพาะของเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคที่ 1 ใช้อุปกรณ์หลอดสุญญากาศ (Vacuum Tube) เป็นส่วนประกอบหลัก ทาให้ตัวเครื่องมี ขนาดใหญ่ ใช้พลังงานไฟฟ้ามาก และเกิดความร้อนสูง ทางานด้วยภาษาเครื่อง (Machine Language) เท่านั้น เริ่มมีการพัฒนาภาษาสัญลักษณ์ (Assembly / Symbolic Language) ขึ้นใช้ งาน หลอดสุญญากาศ (Vacuum Tube) ยุคที่ 2 พ.ศ. 2502 – 2506 มีการนาทรานซิสเตอร์ มาใช้ในเครื่องคอมพิวเตอร์จึงทาให้เครื่องมีขนาดเล็กลง และ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทางานให้มีความรวดเร็วและแม่นยามากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ในยุคนี้ ยังได้มีการคิดภาษาเพื่อใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น ภาษาฟอร์แทน (FORTRAN) จึงทาให้ง่าย ต่อการ๶ขียนโปรแกรมสาหรับใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์
  • 7. ภาพแสดงเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคที่เริ่มใช้อุปกรณ์ทรานซิสเตอร์ ลักษณะเฉพาะของเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคที่ 2 ใช้อุปกรณ์ ทรานซิสเตอร์ (Transistor) ซึ่งสร้างจากสารกึ่งตัวนา (Semi-Conductor) เป็นอุปกรณ์หลัก แทนหลอดสุญญากาศ เนื่องจากทรานซิสเตอร์เพียงตัวเดียว มีประสิทธิภาพใน การทางานเทียบเท่าหลอดสุญญากาศได้นับร้อยหลอด ทาให้เครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคนี้มีขนาดเล็ก ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อย ความร้อนต่า ทางานเร็ว และได้รับความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น เก็บข้อมูล ได้ โดยใช้ส่วนความจาวงแหวนแม่เหล็ก (Magnetic Core) มีความเร็วในการประมวลผลใน หนึ่งคาสั่ง ประมาณหนึ่งในพันของวินาที (Millisecond : mS) สั่งงานได้สะดวกมาก ขึ้น เนื่องจากทางานด้วยภาษาสัญลักษณ์ (Assembly Language) เริ่มพัฒนาภาษา ระดับสูง (High Level Language) ขึ้นใช้งานในยุคนี้
  • 8. ยุคที่ 3 พ.ศ. 2507 – 2512 คอมพิวเตอร์ในยุคนี้เริ่มต้นภายหลังจากการใช้ทรานซิสเตอร์ได้เพียง 5 ปี เนื่องจากได้มี การประดิษฐ์คิดค้นเกี่ยวกับวงจรรวม (Integrated-Circuit) หรือเรียกกันย่อๆ ว่า "ไอซี" (IC) ซึ่ง ไอซีนี้ทาให้ส่วนประกอบและวงจรต่างๆ สามารถวางลงได้บนแผ่นชิป (chip) เล็กๆ เพียงแผ่นเดียว จึงมีการนาเอาแผ่นชิปมาใช้แทนทรานซิสเตอร์ทาให้ประหยัดเนื้อที่ได้มาก ภาพแสดงเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคที่เริ่มใช้วงจร IC (Integrated-Circuit) นอกจากนี้ยังเริ่มมีการใช้งานระบบจัดการฐานข้อมูล (Data Base Management Systems : DBMS) และมีการพัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้สามารถทางานร่วมกันได้หลายๆ งาน ในเวลาเดียวกัน และมีระบบที่ผู้ใช้สามารถโต้ตอบกับเครื่องได้หลายๆ คน พร้อมๆ กัน (Time Sharing) ลักษณะเฉพาะของเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคที่ 3 ใช้อุปกรณ์ วงจรรวม (Integrated Circuit : IC) หรือ ไอซี และวงจรรวมสเกลขนาดใหญ่ (Large Scale Integration : LSI) เป็นอุปกรณ์หลัก ความเร็วในการประมวลผลในหนึ่งคาสั่ง ประมาณหนึ่งในล้านของวินาที (Microsecond : mS) สูงกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 1 ประมาณ 1,000 เท่า ทางานได้ด้วยภาษาระดับสูงทั่วไป
  • 9. ภาพแสดงลักษณะของวงจร IC(Integrated-Circuit) ยุคที่ 4 พ.ศ. 2513 – 2532 เ ป็นยุคที่นาสารกึ่งตัว นามาสร้างเป็นวงจรรวมความจุสูงมาก (Very Large Scale Integrated : VLSI) ซึ่งสามารถย่อส่วนไอซีธรรมดาหลายๆ วงจรเข้ามาในวงจรเดียวกัน และมี การประดิษฐ์ ไมโครโพรเซสเซอร์ (Microprocessor) ขึ้น ทาให้เครื่องมีขนาดเล็ก ราคาถูก ลง และมีความสามารถในการทางานสูงและรวดเร็วมาก จึงทาให้มีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer) ถือกาเนิดขึ้นมาในยุคนี้ ภาพแสดงเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC) ลักษณะเฉพาะของเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคที่ 4
  • 10. ใช้อุปกรณ์ วงจรรวมสเกลขนาดใหญ่ (Large Scale Integration : LSI) และ วงจรรวม สเกลขนาดใหญ่มาก (Very Large Scale Integration : VLSI) เป็นอุปกรณ์หลัก มีความเร็วใน การประมวลผลแต่ละคาสั่ง ประมาณหนึ่งในพันล้านวินาที (Nanosecond : nS) และพัฒนาต่อมา จนมีความเร็วในการประมวลผลแต่ละคาสั่ง ประมาณหนึ่งในล้านล้านของวินาที (Picosecond : pS) ภาพแสดงอุปกรณ์หลักในการคานวณและประมวลผล (CPU) ในคอมพิวเตอร์ ยุคที่ 5 พ.ศ. 2533 – ปัจจุบัน ในยุคนี้มุ่งเน้นการพัฒนาความสามารถในการทางานของระบบคอมพิว๶ตอร์ และความ สะดวกสบายในการใช้งานอย่างชัดเจน มีการพัฒนาสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาขนาดเล็ก (Portable Computer) ขึ้นใช้งานในยุคนี้ โครงการพัฒนาอุปกรณ์ VLSI(Very Large Scale Integration) ให้ใช้งานง่ายและมี ความสามารถสูงขึ้น รวมทั้งโครงการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) เป็นหัวใจของการพัฒนาระบบคอมพิว๶ตอร์ในยุคนี้ โดยหวังให้ระบบ คอมพิวเตอร์สามารถวิเคราะห์ปัญหาอย่างเป็นเหตุเป็นผล ตามลักษณะของโปรแกรม ลักษณะของระบบปัญญาประดิษฐ์ ระบบปัญญาประดิษฐ์มี 4 ลักษณะ ได้แก่ 1) ระบบหุ่นยนต์ หรือแขนกล (Robotics or Robot arm System) คือ หุ่นจาลอง ร่างกายมนุษย์ที่ควบคุมการทางานด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ มีจุดประสงค์เพื่อให้ทางานแทนมนุษย์ ในงานที่ต้องการความเร็ว หรือเสี่ยงอันตราย เช่น แขนกลในโรงงานอุตสาหกรรม หรือหุ่นยนต์กู้ ระเบิด เป็นต้น
  • 11. ภาพแสดงลักษณะระบบปัญญาประดิษฐ์แบบหุ่นยนต์ 2) ระบบประมวลภาษาพูด (Natural Language Processing System) คือ การพัฒนา ให้ระบบคอมพิว๶ตอร์สามารถสังเคราะห์เสียงที่มีอยู่ในธรรมชาติ (Synthesize) เพื่อสื่อความหมาย กับมนุษย์ เช่น เครื่องคิดเลขพูดได้ (Talking Calculator) หรือนาฬิกาปลุกพูดได้ (Talking Clock) เป็นต้น ภาพแสดงลักษณะระบบปัญญาประดิษฐ์แบบภาษาพูด 3) ระบบการรู้จาเสียงพูด (Speech Recognition System) คือ การพัฒนาให้ระบบ คอมพิวเตอร์เข้าใจภาษามนุษย์ และสามารถจดจาคาพูดของมนุษย์ได้อย่างต่อเนื่อง กล่าวคือเป็น การพัฒนาให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทางานได้ด้วยภาษาพูด เช่น งานระบบรักษาความปลอดภัย งาน พิมพ์เอกสารสาหรับผู้พิการ เป็นต้น
  • 12. 4) ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert System) คือ การพัฒนาให้ระบบคอมพิว๶ตอร์มีความรู้ รู้จักใช้เหตุผลในการวิเคราะห์ปัญหา โดยใช้ความรู้ที่มีหรือจากประสบการณ์ ในการแก้ปัญหาหนึ่ง ไปแก้ไขปัญหาอื่นอย่างมีเหตุผล ระบบนี้จาเป็นต้องอาศัยฐานข้อมูล (Database) ซึ่งมนุษย์ผู้มี ความรู้ความสามารถเป็นผู้กาหนดองค์ความรู้ ไว้ในฐานข้อมูลดังกล่าว เพื่อให้ระบบคอมพิว๶ตอร์ สามารถวิเคราะห์ปัญหาต่าง ๆ ได้จากฐานความรู้นั้น เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์วิเคราะห์โรค หรือ เครื่องคอมพิวเตอร์ทานายโชคชะตา เป็นต้น ในปี พ.ศ. 2390 นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษชื่อ จอร์ช บูล (George Boole) ได้ เผยแพร่คณิตศาสตร์แนวใหม่ที่เรียกว่า พีชคณิตแบบบูลีน (Boolean Algebra) ซึ่งต่อมา กลายเป็นเครื่องมือสาคัญที่ใช้ในการออกแบบ วงจรตรรกะ (Logic Circuit) ซึ่งวงจรตรรกะนี้เป็น ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ (ก) (ข) (ก) ส่วนหนึ่งของเครื่องจักรวิเคราะห์ของแบบเบจ (ข ) อินิแอ็ก คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกของโลก
  • 13. คอมพิวเตอร์ระบบอิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกของโลก ที่สามารถบรรจุโปรแกรม ให้ คานวณข้อมูลได้หลากหลาย ถูกสร้างขึ้นที่สหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2489 เพื่อใช้การคานวณวิถี กระสุนปืนใหญ่ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 มีชื่อเรียกว่า อินิแอ็ก (Electronic Numerical Integrator and Calculator : ENIAC) คอมพิวเตอร์เครื่องนี้มีวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้หลอด สุญญากาศ ประมาณ 18,000 หลอด ว่ากันว่าเครื่องนี้สามารถคานวณโจทย์ยากๆ ทางนิวเคลียร์ ฟิสิกส์โดยใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง แทนที่จะใช้วิศวกร 100 คนคานวณด้วยมือในเวลาถึง 1 ปี อีกสองปีต่อมาฟอน นอยมัน (Von Neuman) นักคณิตศาสตร์ซึ่งอยู่ในทีมงานที่สร้างอินิแอ็ก มีแนวคิดใหม่ว่า คอมพิวเตอร์ควรมีหน่วยความจาสาหรับเก็บโปรแกรมด้วยแทนที่จะเก็บเฉพาะ ข้อมูลเหมือนเครื่องอินิแอ็ก เขาจึงสร้างเครื่องใหม่ขึ้นและให้ชื่อว่า เอ็ดแว็ก (Edvac) ผู้นี้จึงได้ชื่อ ว่าเป็นบิดาแห่งสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์แบบที่ใช้กันมาจนทุกวันนี้ หลังจากที่ได้มีการประดิษฐ์ ทรานซิสเตอร์ในปี พ.ศ. 2490 คอมพิวเตอร์ยุคต่อมา ซึ่งใช้ ทรานซิสเตอร์แทนหลอดสุญญากาศจึงมีขนาดเล็กลง สิ้นเปลืองพลังงานน้อยลง อีกทั้งโอกาสเสีย น้อยลง เพราะไม่ร้อนจัด แต่พลังงานที่ถือว่าเป็นจุดหักเหของเทคโนโลยี คือ การประดิษฐ์วงจร รวมหรือไอซีพิเศษที่เรียกว่า ไมโครโพรเซสเซอร์ (Microprocessor) ขึ้นในปี พ.ศ. 2513 โดย เทด ฮอฟฟ์ (Ted Hoff) แห่งบริษัท อินเทล (Intel) ไมโครโพรเซสเซอร์ คือ ไอซี ที่ ใช้ทาหน้าที่ เป็นหน่วยประมวลผลกลางของคอมพิวเตอร์และของเครื่องควบคุมอัตโนมัติต่างๆ นั่นเอง ในปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตไมโครโพร เซสเซอร์ จะผลิตไมโครโพรเซสเซอร์รุ่นใหม่ที่มีสรรถนะ สูงขึ้นเรื่อยๆ ออกมาทุก 6 เดือน จึงทาให้คอมพิวเตอร์พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน จัดอยู่ในประเภทคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer) หรือพีซี บริษัทแรกที่ใช้คานี้คือบริษัท ไอบีเอ็ม (IBM) ใช้เรียก คอมพิวเตอร์ขนาดตั้งโต๊ะที่วาง ตลาดในปี พ.ศ. 2524 แต่อันที่จริงคอมพิวเตอร์ขนาดตั้งโต๊ะเครื่อง แรกที่ใช้งานได้จริงมีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2520 คือ แอปเปิลทู (Apple II) ซึ่งออกแบบและผลิต จาหน่ายโดย สตีฟ จอบส์ (Steve Wozniak and Steve Jobs) การที่แอปเปิลทูโด่งดังและขายดีติดตลาดอยู่หลายปี เพราะมีผู้๶ขียนโปรแกรม สนับสนุนเริ่มตั้งแต่โปรแกรมแปลภาษาเบสิก (Basic Interpreter) ซึ่งผู้ใช้สามารถ๶ขียน
  • 14. โปรแกรมใช้งานง่ายขึ้น นอกจากนั้นยังมีโปรแกรมวิสิคาล (VisiCalc) ซึ่งเป็นโปรแกรมตาราง คานวณอัตโนมัติโปรแกรมแรกของโลก ทาให้สามารถใช้คอมพิวเตอร์ทาบัญชีได้อย่างง่ายดาย นี่ เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า โปรแกรม หรือ ซอฟต์แวร์ เป็นสิ่งจาเป็นอย่างยิ่งที่จะทาให้คอมพิวเตอร์ ทางานได้ ภาพแสดงแอปเปิลทู ภาพแสดงวงจรควบคุมการจุดระเบิดในเครื่องยนต์ คอมพิวเตอร์ขนาดตั้งโต๊ะเครื่องแรกที่ใช้งานได้จริง ในช่วงแรกของยุคคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลนั้น คอมพิวเตอร์ยังมีขีดความสามารถไม่สูง นัก การใช้งานส่วนใหญ่จะใช้ในการคานวณ หรือเก็บข้อมูลที่เป็นข้อความ (Text) ต่อมา จึงได้มี การพัฒนาให้คอมพิวเตอร์มีความสามารถจัดการกับข้อมูลที่เป็น รูปภาพสี ทั้ง ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ภาพยนตร์ และ เสียงคอมพิวเตอร์ จึงมีความพร้อมอย่างสมบูรณ์ สาหรับงานสารสนเทศที่ประกอบด้วยสื่อชนิดต่างๆ เราเรียกระบบเช่นนี้ว่า ระบบ มัลติมีเดีย (Multimedia) นอกจากคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์แล้ว ยังมีการพัฒนาเรื่องการนาคอมพิวเตอร์ มา ต่อเชื่อมกันเป็นเครือข่าย เพื่อสามารถรับส่งข้อมูลและทางาน ประสานกันระหว่างเครื่อง การ เชื่อมต่อเครือข่ายที่เล็กที่สุด คือ เครือข่ายภายในสานักงานเดียวกัน เรียกว่า เครือข่ายบริเวณ เฉพาะที่ หรือ แลน (Local Area Network : LAN) ส่วนเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดครอบคลุมไปทั่วโลก คือ อินเทอร์เน็ต (Internet)ซึ่งเป็นสิ่งที่นาความเปลี่ยนแปลงทาให้เทคโนโลยีสารสนเทศมีความ เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว