ݺߣ
Submit Search
เรื่อง กฎหมายพรรคการเมืองคือเครื่องจองจำประชาธิปไตย
•
Download as DOC, PDF
•
0 likes
•
266 views
Thongkum Virut
Follow
เรื่อง กฎหมายพรรคการเมืองคือเครื่องจองจำประชาธิปไตย
Read less
Read more
1 of 7
Download now
Download to read offline
More Related Content
เรื่อง กฎหมายพรรคการเมืองคือเครื่องจองจำประชาธิปไตย
1.
กฎหมายพรรคการเมืองคือเครื่องจองจำา ตามที่คณะกรรมการเลือกตั้ง(กกต.) มีมติห้ามอดีตคณะกรรมการบริหารพรรค ไทยรักไทย ขึ้นปราศรัยหาเสียง
ถ่ายรูปกับผู้สมัคร หรือมีตำาแหน่งที่ปรึกษาใดๆ กับ พรรคการเมืองในปัจจุบัน และมีมติออกระเบียบว่าด้วยการสืบสวนและวินิจฉัย เพื่อที่ จะนำามาใช้ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามคำาวินิจฉัยของคณะ ตุลาการรัฐธรรมนูญ ที่คำาสั่งให้ยุบพรรคพัฒนาชาติไทย พรรคแผ่นดินไทย และ พรรคไทยรักไทย กับให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111
2.
คน พรรคพัฒนาชาติไทย 19
คน และพรรคแผ่นดินไทย 3 คนมีกำาหนด 5 ปี นับแต่วันที่ มีคำาสั่งให้ยุบพรรคการเมืองนั้น ปัญหานี้ได้ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในวงการต่างๆอย่างกว้างขวางว่า คณะ กรรมการเลือกตั้งใช้อำานาจเกินกว่าที่กฎหมายวาง หลักไว้หรือไม่ เป็นการจำากัดเสรีภาพของบุคคลหรือไม่ เป็นการละเมิดสิทธิของ ประชาชนที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่ หรือว่าเป็นกฏเหล็กของเผด็จการ รัฐประหาร เพื่อตามล้างตามเช็คเผด็จการรัฐสภาซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามหรือไม่ ตลอด จนการออกกฎหมายควบคุมพรรคการเมืองนั้น มีความถูกต้องชอบธรรมหรือไม่ ฯลฯ แต่ปรากฎว่าเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น ไม่มีใครพูดถึงปัญหาหลักการ หรือปัญหา ทฤษฎี และปัญหาข้อเท็จจริงกันเลย พรรคความหวังใหม่มีความเห็นว่า เสียงวิพากษ์ วิจารณ์เหล่านั้น นอกจากจะหาข้อยุติในเรื่องนี้ไม่ได้แล้ว ยังมีผลทำาให้ความแตกแยก ของคนในชาติ ซึ่งเลวร้ายอยู่แล้วในขณะนี้ทวีความขัดแย้งรุนแรงยิ่งขึ้น อันไม่เป็น ผลดีต่อชาติบ้านเมือง และที่สำาคัญก็คือ ปัญหานี้เป็นปัญหาที่สำาคัญ ปัญหาหนึ่ง ของ เรื่องประชาธิปไตย ถ้าตราบใดที่พี่น้องประชาชนยังไม่เข้าใจปัญหานี้ บ้านเมืองของ เราก็ไม่อาจจะหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ เข้าสู่บาทวิถีแห่งประชาธิปไตยได้เลย ด้วย เหตุนี้ พรรคความหวังใหม่ จึงขอแถลงให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบถึง ปัญหาหลัก การ ปัญหาทฤษฎี ปัญหาข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ ดังต่อไปนี้ ปัญหาแรกก็คือ ปัญหาทฤษฎี ก่อนอื่นก็คือ เราต้องทำาความเข้าใจว่า พรรคคือ อะไร?หรือพรรคการเมืองคืออะไร? โดยทั่วไปก็เข้าใจกันอยู่แล้วว่า พรรคการเมืองคือ อะไร แต่ความเข้าใจเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องทฤษฎี หรือสาระสำาคัญของพรรคการเมือง เพราะสาระสำาคัญของพรรคการเมือง (Political party) ก็คือ กลุ่มบุคคลหรือคณะบุคคลที่ ยึดกุมอำานาจรัฐ หรือมีความมุ่งหมายเพื่อที่จะเข้ายึดกุมอำานาจรัฐ นี่คือสาระสำาคัญ ของพรรคการเมือง จะมีรูปหรือชื่อเรียก และมีที่มาอย่างไรก็แล้วแต่ รูปของกลุ่มของ คณะนั้นอาจจะไม่เรียกว่าพรรคก็ได้ ถ้ามีความมุ่งหมายเพื่อจะเข้ากุมอำานาจรัฐแล้ว ก็ได้ชื่อว่ามีลักษณะเป็นพรรคการเมืองทั้งนั้น เช่น มีหนังสือพิมพ์บางฉบับเรียก คณะ ปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ “คปค.”ว่า “พรรคทหาร” ซึ่งก็หมายถึงพรรคการเมืองนั่นเอง คือพรรคการเมืองทหาร ส่วนจะเข้ามากุมอำานาจรัฐตามวิถีทางประชาธิปไตยหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
3.
พรรคการเมืองมันมิใช่พึ่งจะเกิดขึ้นในปัจจุบัน พรรคการเมืองมันเกิดมาตั้งแต่สมัย โบราณ ถ้าถามว่าเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร
ก็ต้องตอบว่าพรรคการเมืองเกิดพร้อมกับรัฐ คือ ประเทศเมื่อมีรัฐก็มีพรรคการเมือง ไม่ว่าพรรคการเมืองนั้นจะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่ ถ้าประเทศมีรัฐปกครอง ประเทศก็ ต้องมีพรรคการเมือง ตั้งแต่ยุคโบราณเป็นมาอย่างนี้ ฉะนั้น พรรคการเมืองเป็นของคู่ กับรัฐ นี่เป็นกฎเกณฑ์ที่สำาคัญ ก่อนสมัยกลางคือสมัยกรีกโรมัน เมื่อเกิดประเทศขึ้นและมีรัฐปกครอง รัฐก็เรียกว่า “รัฐแห่งนคร” (City State) ต่อมาประเทศเป็นรูปของจักรวรรดิ รัฐก็เป็น “รัฐจักรวรรดิ” (Empire State) ในสมัยกลางรัฐจักรวรรดิล่มสลายไป กลายเป็นรูปใหม่เรียกว่า ศักดินา รัฐก็เรียกว่า “รัฐศักดินา” (Feudal State) และต่อมาในสมัยประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ประเทศเปลี่ยนรูปไปเป็นชาติหรือประชาชาติ รัฐก็เปลี่ยนรูปไปเป็น “รัฐประชาชาติ” (National State) หรือ “รัฐแห่งชาติ” (State of Nation) อำานาจในการปกครองของประเทศนั้นเรียกว่า “อำานาจแห่งรัฐ” (Power of State)เป็น อำานาจสูงสุดเรียกว่า “อำานาจอธิปไตย” (Sovereign Power) อำานาจชนิดนี้ใน ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ถือว่าเป็น “อำานาจของประชาชน” จึงเรียกว่า “อำานาจอธิปไตย ของปวงชน” (Sovereignty of the people) หรือจะเรียกว่า “ระบอบประชาธิปไตย” (Democratic regime) ก็ได้ เพราะคือสิ่งเดียวกัน แต่ในสมัยกลางและสมัยโบราณอำานาจชนิดนี้ เรียก ว่า “กฤษฎาธิปไตย” (Suzerainty) รัฐเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ย่อมต้องมีผู้ที่เข้าไปยึดกุมกลไกและอำานาจต่างๆ เพื่อใช้ในการ ปกครองประเทศ คณะบุคคลที่เข้าไปยึดกุมนี้เรียกว่า “พรรคการเมือง” เพียงแต่ว่า แต่ ก่อนไม่ได้ เรียกว่า พรรคการเมืองเท่านั้น เช่นสมัยกลางผู้ที่เข้าไปยึดกุมก็เป็นราชวงศ์ เรียกว่า “พระราชวงศ์” ซึ่งไม่ว่าประเทศไหนๆ ก็ล้วนแต่มีพระราชวงศ์ พระราชวงศ์ หนึ่งก็เท่ากับ พรรคหนึ่ง และบางทีในราชวงศ์เดียวกันนั้นอาจมีหลายๆ กลุ่ม หลาย พวกต่อสู้กัน เพื่อเข้าไปกุมอำานาจในกลไกแห่งรัฐ เพราะว่าอำานาจแห่งรัฐและกลไก แห่งรัฐนี้ มันเป็นของกลาง ใครจะเข้าไปยึดกุมก็ได้ แล้วแต่ใครจะสามารถ ใน ประวัติศาสตร์เป็นอย่างนี้มาเป็นลำาดับ มาจนถึงยุคสมัยใหม่จึงมีคำาว่า พรรคการเมือง
4.
เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 300 กว่าปีมานี้เอง
และแบบใหม่ก็คือ การต่อสู้ด้วยเหตุผล และมี กติกาเรียกว่า วิถีทางประชาธิปไตย (Democratic way) มีการตั้งพรรคขึ้นแล้วก็ต่อสู้กัน แบบประชาธิปไตย แต่ถ้าผิดกติกา หรือ ไม่เป็นประชาธิปไตย ก็จะมีการต่อสู้ในรูปแบ บอื่นๆ เพิ่มขึ้น คือ การทำารัฐประหาร และทำาสงครามกลางเมืองเป็นต้น เช่น กรณี เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศของเราที่ผ่านมา ปัญหาประการต่อมา ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงก็คือ พรรคการเมืองเป็นสิ่งที่อยู่เหนือรัฐ พรรคการเมืองคือผู้ที่จะเข้าไปกุมรัฐ ถ้าเข้าไปกุมอำานาจรัฐได้ ก็อยู่เหนือรัฐอย่างเด็ด ขาด แต่ถ้ายังเข้าไปกุมไม่ได้ เพียงแต่มีความมุ่งหมายที่จะเข้าไปกุมอำานาจรัฐ ก็อยู่ เหนือรัฐทั้งสิ้น เพราะการจะเข้าไปเอาอำานาจรัฐและกลไกรัฐมาไว้ในกำามือตนนั้น เป็น สิ่งที่เหนือรัฐตามหลักที่แท้จริง แต่มีบางพรรคไม่ถือหลักถือเกณฑ์ ตามวิถีประชาธิปไตย โดยต้องการเข้าไปกุม อำานาจเสียคนเดียว ไม่ยอมให้พรรคอื่นพวกอื่นเข้ามามีส่วนในอำานาจรัฐด้วย จึงได้ใช้ วิธีสกปรก คือใช้กฎหมายต่างๆ เป็นเครื่องมือ โดยเฉพาะกฎหมาย พรรคการเมือง และ กฎหมายที่กำาหนดกฎเกณฑ์อะไรต่างๆที่เกี่ยวกับพรรคการเมืองมาบังคับ พรรคการเมือง โดยมีความมุ่งหมายที่จะให้พรรคพวกฝ่ายตน ได้กุมอำานาจรัฐ วิธีการ อย่างนี้ในสมัยนี้เรียกว่า “วิธีการเผด็จการ” ตามธรรมดาแล้ว พรรคการเมืองมันไม่มีกฎหมายบังคับ มันพัฒนา มันเติบโต มัน เจริญขึ้นมาตามสภาพของมันเอง แล้วแต่ว่ากลุ่มไหนคณะไหนจะมีความสามารถ ทำาให้ประชาชนสนับสนุนซึ่งเป็นไปตามวิถีทางที่ถูกต้อง เป็นไปตามหลักตามเกณฑ์ และความยุติธรรม กฎหมายนั้น ไม่สามารถที่จะเกี่ยวข้องอะไรได้กับพรรคการเมือง เพราะว่า กฎหมายเป็นเรื่องของรัฐ ไม่ใช่เรื่องของพรรค และเมื่อพรรคมันอยู่เหนือรัฐ พรรคจึง อยู่เหนือกฎหมาย กฎหมายเป็นเครื่องมือของรัฐเท่านั้น ดังนั้น ถ้าให้พรรคการเมืองอยู่ ใต้กฎหมาย ก็หมายความว่าเป็นการทำาให้พรรคอยู่ใต้รัฐ พรรคอยู่ใต้กระทรวง มหาดไทย พรรคอยู่ใต้องค์กรอิสระอะไรก็ไม่รู้ และใช้อำานาจอะไรกันแน่ มาออกกฎ เกณฑ์บังคับพรรคการเมือง ซึ่งเป็นการทำาผิดกฎเกณฑ์ ผิดธรรมชาติ เพราะว่าไม่ว่า ระบอบใดๆ ตั้งแต่ยุดโบราณมา พรรคการเมืองนั้นเป็นเรื่องเหนือรัฐโดยตลอด เป็น ธรรมชาติมาอย่างนี้ ถ้าใครไปทำาให้พรรคไปอยู่ใต้กฎหมายแล้ว ก็หมายความว่า ไป
5.
ทำำลำยกฎเกณฑ์ของพรรคกำรเมือง เป็นกำรฝืนธรรมชำติ มันไม่ใช่เรื่องดีสำำหรับ ประเทศชำติ
และประชำชนเลย ตรงกันข้ำมมันกลับจะนำำไปสู่ควำมยุ่งยำกต่ำงๆ มำกมำย เป็นควำมล้ำหลังและนำำมำซึ่งมิคสัญญี กลียุคกันเลยทีเดียว รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ทำำไมสื่อมวลชนจึงตั้งฉำยำว่ำ “ฉบับปีศำจคำบไปป์” และ นักกำรเมืองบำงคนถึงกับให้ฉำยำ หยำบโลนว่ำเป็นหัวอะไรกันเลย เหล่ำนี้เป็นเครื่อง สะท้อนให้เห็นว่ำ รัฐธรรมนูญมันไม่ถูกต้อง และ ประชำชนไม่ยอมรับ จึงเบื่อหน่ำย พรรคกำรเมือง เบื่อ หน่ำยกำรเลือกตั้ง สำเหตุสำำคัญก็เพรำะมีบทบัญญัติบังคับให้พรรคกำรเมืองอยู่ภำย ใต้กฎหมำยนั่นเอง คือกำรเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งที่บัญญัติไว้ในมำตรำ 100 และ 102 และ พระรำชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ำด้วยพรรคกำรเมือง พ.ศ. 2550 มำตรำ 97 ระบุว่ำ “ผู้ซึ่งเคยดำำรงตำำแหน่งกรรมกำรบริหำรของพรรคกำรเมืองที่ถูกยุบไป จะจดแจ้งกำร จัดตั้งพรรคกำรเมืองขึ้นใหม่อีกไม่ได้ ทั้งนี้ภำยในกำำหนดห้ำปี นับแต่วันที่ พรรคกำรเมืองนั้นต้องยุบไป” ทั้งๆที่บ้ำนเรำก็เคยมี รัฐธรรมนูญที่บัญญัติไว้อย่ำงถูก ต้องตำมหลักวิชำกำร คือรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2492 ซึ่งบัญญัติไว้ว่ำ “บุคคลมี เสรีภำพบริบูรณ์ในกำรรวมตัวกันเป็นพรรคกำรเมือง เพื่อดำำเนินกำรตำมวิถี ประชำธิปไตย จะนำำเอำกฎหมำยที่ว่ำด้วยสมำคม (ซึ่งต้องไปจดทะเบียนและอยู่ใต้ กฎหมำย) มำใช้กับพรรคกำรเมืองมิได้” ระบอบประชำธิปไตยจริงๆ เป็นระบอบที่ไม่ผิดธรรมชำติ มีแต่ระบอบเผด็จกำร เท่ำนั้นที่ผิดธรรมชำติ เพรำะว่ำไม่ต้องกำรให้พรรคอื่นพวกอื่นเข้ำมำแข่งด้วย เช่น พรรคฟำสซิสต์ ของมุสโสลินี กับพรรคนำซี ของฮิตเลอร์ พอได้อำำนำจขึ้นมำก็จะอยู่ คนเดียว จึงต้องออกกฎหมำยเกี่ยวกับพรรคกำรเมือง เพื่อไม่ให้ผู้อื่นเข้ำมำเกี่ยวข้อง กับอำำนำจของตนได้เลย ฉะนั้น ประเทศประชำธิปไตยทั้งหลำย จึงไม่มีกฎหมำย พรรคกำรเมืองขึ้นมำบังคับ ใช้กับพรรคกำรเมืองเพรำะเขำถือกันว่ำ เป็นกฎหมำยที่ ทำำลำยสิทธิเสรีภำพทำงกำรเมืองของประชำชนอย่ำงร้ำยแรง แต่ระบอบเผด็จกำร รัฐสภำของบ้ำนเรำ ใช้วิธีที่นุ่มนวลและแนบเนียนหน่อย ใน กำรรักษำระบอบเผด็จกำรเอำไว้ โดยประชำชน ไม่รู้ควำมจริง คือใช้กฎหมำย พรรคกำรเมืองบ้ำง กฎหมำยรัฐธรรมนูญบ้ำง กฎหมำยลูกบ้ำง โดยอ้ำงว่ำ เพื่อให้
6.
พรรคกำรเมืองมีคุณธรรม และเพื่อทำำให้กำรเลือกตั้งมี ควำมบริสุทธิ์
ยุติธรรม ซึ่งดูไป แล้วก็คล้ำยๆ กับว่ำเป็นควำมชอบธรรม และมิได้กีดกันใคร มิได้สืบทอดอำำนำจ แต่ แท้จริงแล้วก็คือ กำรใช้อำำนำจรัฐออกกฎหมำยเพื่อกีดกันพรรคอื่น พวกอื่น เพื่อ ต้องกำรที่จะกุมอำำนำจเผด็จกำรเอำไว้คนเดียว ซึ่งนักวิชำกำรเรียกบุคคลพวกนี้ว่ำ “อำำมำตยำธิปไตย” และเมื่อกำรปกครองแบบเผด็จกำรพัฒนำไปไม่ได้ก็จะโยนควำม ผิดไปให้พรรคกำรเมืองของชนชั้นกลำง ซึ่งก็ไม่ใช่เป็นพรรคของประชำชนเหมือน กัน เป็นแพะรับบำปแทนทุกครั้งไป Credit : วันชัย พรหมภำ Edit : thongkrm_virut@yahoo.com
7.
พรรคการเมืองมีคุณธรรม และเพื่อทำาให้การเลือกตั้งมี ความบริสุทธิ์
ยุติธรรม ซึ่งดูไป แล้วก็คล้ายๆ กับว่าเป็นความชอบธรรม และมิได้กีดกันใคร มิได้สืบทอดอำานาจ แต่ แท้จริงแล้วก็คือ การใช้อำานาจรัฐออกกฎหมายเพื่อกีดกันพรรคอื่น พวกอื่น เพื่อ ต้องการที่จะกุมอำานาจเผด็จการเอาไว้คนเดียว ซึ่งนักวิชาการเรียกบุคคลพวกนี้ว่า “อำามาตยาธิปไตย” และเมื่อการปกครองแบบเผด็จการพัฒนาไปไม่ได้ก็จะโยนความ ผิดไปให้พรรคการเมืองของชนชั้นกลาง ซึ่งก็ไม่ใช่เป็นพรรคของประชาชนเหมือน กัน เป็นแพะรับบาปแทนทุกครั้งไป Credit : วันชัย พรหมภา Edit : thongkrm_virut@yahoo.com
Download