ݺߣ

ݺߣShare a Scribd company logo
ความสัมพันธ์ในระบบȨ๶วศ แบ่งเป็น ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิต กับ ปัจจัยทางกายภาพ ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิต กับปัจจัยทางชีวภาพ
ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับปัจจัยทางกายภาพ อะไร คือ ปัจจัยทางกายภาพ  ??? คือสิ่งต่างๆ ที่ไม่มีชีวิต เช่น อากาศ  อุณหภูมิ  ความชื้น  ค่าความเป็นกรด - เบส  ฯลฯ
นักเรียนลองพิจารณาปัจจัยทางกายภาพต่อไปนี้ว่ามีผลต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตอย่างไร อุณหภูมิ แสง ความชื้น แก๊ส ึϸน แร่ธาตุ เสียง ความเป็กรด - เบส
อุณหภูมิ
การปรับตัวด้านพฤติกรรม เช่น การอพยพของนกปากห่างจากสภาพอุณหภูมิต่ำ ในทางตอนเหนือของทวีปเอเชีย มาอยู่ทางตอนใต้ของทวีปเอเชียเป็นการชั่วคราว เพราะมีอุณหภูมิที่เหมาะสมกว่า
ผลของอุณหภูมิต่อการปรับตัวด้านโครงสร้าง เช่น การปรับตัวของหมีขั้วโลกหรือ สัตว์ ในเขตหนาว มีขนยาวปกคลุม มีชั้นไขมันใต้ผิวหนังหนา เป็นต้น
ผลของอุณหภูมิต่อการเติบโต การแพร่พันธ์และขยายพันธ์ เช่น การเจริญของจุลินทรีย์  ( พวกเห็ด รา )  พบว่าถ้ามีอุณหภูมิเหมาะสมจะเจริญเติบโตได้ดี หรือการฟักไข่ของแม่ไก่ ซึ่งต้องรักษาอุณหภูมิให้เหมาะสม เสมอ  เป็นต้น
ในท้องถิ่นที่นักเรียนอาศัยอยู่ นักเรียนเห็นการปรับตัวของสิ่งมีชีวิตประเภทใดบ้าง ? สุนัขไทยมักจะมีขนเกรียนสั้น เนื่องจากภูมิอากาศของประเทศไทย ร้อน มีอุณภูมิสูงสุนัขต้องมีการระบายความร้อนออกจากร่างกาย ควายที่อยู่ตามทุ่งนามีวิธีการระบายความร้อนออกจากร่างกายโดยการลงไปแช่ในปลักหรือในน้ำ ช้างมีการระบายความร้อนออกจากร่างกายโดยการกระพือหรือโบกพัดใบหูไปมา
ให้นักเรียนยกตัวอย่างอุณหภูมิที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิตในด้านอื่น ๆ นอกจากที่กล่าวมาแล้ว  1-2  ตัวอย่าง ? อิทธิพลของอุณหภูมิต่อกระบวนการสรีรวิทยาต่าง ๆ ภายในร่างกาย เช่น ถ้าอุณหภูมิลดลง จะมีการพักตัวหรือการจำศีล เช่น กบ กระรอกึϸน หมีขั้วโลก อิทธิพลต่อโครงสร้าง ขนาด และรูปร่าง เช่น พืชเขตหนาวมีเปลือกของลำต้นหนาเพื่อให้ทนทานต่ออุณหภูมิที่หนาวเย็น หรือมีการสลัดใบทิ้งเมื่อย่างเข้าสู่ฤดูหนาว และจะผลิใบใหม่เมื่อฤดูหนาวผ่านพ้นไปแล้ว หรือสัตว์ในแถบขั้วโลกเหนือ เช่น แมวน้ำ หมีขั้วโลกจะมีขน หนัง หรือชั้นไขมันใต้ผิวหนังหนา เพื่อรักษาความอบอุ่นให้กับร่างกาย เป็นต้น
ตัวอย่าง  :  ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตกับอุณหภูมิ มีผลต่อสิ่งมีชีวิตดังนี้ -  มีผลต่อการควบคุมการเจริญเติบโตการสืบพันธุ์การแพร่กระจายพันธุ์ -  การปรับตัวด้านโครงสร้าง -  การปรับตัวด้านพฤติกรรม
แสง
ระบบนิเวศบนบก เรื่องแสงจะไม่มีผลกระทบกับผู้ผลิต เพราะแสงพอเพียง
ส่วนระบบนิเวศ ในแหล่งน้ำโดยเฉพาะในทะเล แสงมักมีผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะผู้ผลิต
ถ้าหากบนโลกนี้ปราศจากแสง นักเรียนคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ ? ผู้ผลิตไม่สามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้จึงไม่มีอาหาร เมื่อไม่มีอาหารก็ไม่มีการถ่ายทอดพลังงานในสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตที่เป็นผู้บริโภคก็ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ เนื่องจากขาดแคลนอาหารและผู้สลายสารอินทรีย์ก็ไม่มีการย่อยสลายซากพืชและซากสัตว์ การหมุนเวียนสารก็จะไม่เกิดขึ้น
แสงมีผลต่อการแพร่กระจายของพืชทะเลอย่างไร ? พืชทะเลก็มีการสังเคราะห์ด้วยแสงเช่นเดียวกับพืชบก โดยเฉพาะสาหร่าย ซึ่งพบว่าสาหร่ายแต่ละชนิดมีความต้องการความเข้มของแสงต่างกัน เช่น สาหร่ายทะเล  Navicula crytocephala  และ  Melosira grunulata  ต้องการความเข้มของแสงมากจึงมักพบแพร่กระจายอยู่ในเขตที่มีแสงส่องถึง สาหร่ายพวก  Melosira roseana  และ  Surirella  sp.  และสาหร่ายสีแดงพบแพร่กระจายอยู่ในเขตที่มีแสงน้อย เป็นต้น เมื่อพืชทะเลได้แสงสว่างก็จะมีการสังเคราะห์ด้วยแสง มีการสร้างอาหาร สร้างพลังงาน มีการเจริญเติบโตดำรงชีวิตอยู่ได้ แพร่กระจายพันธุ์ต่อไป
ความชื้น
เพราะเหตุใดความชื้นจึงเป็นตัวกำหนดความอุดมสมบูรณ์ ลักษณะ และชนิดของระบบนิเวศ ? ความชื้นมีความสัมพันธ์กับปริมาณน้ำฝนที่ตกลงบนพื้นโลก โดยทั่วไป กระแสลมจะพัดพาเอาความชุ่มชื้นจากทะเลและมหาสมุทรเข้าสู่ฝั่ง ทำให้พื้นึϸนด้านที่รับลมจะมีความชื้นสูงและฝนตกชุก ทำให้พืชเจริญงอกงามได้ดี มีสิ่งมีชีวิตมาอาศัยอยู่มาก ส่วนทางด้านที่อับลมมีความชื้นน้อย พืชไม่เจริญงอกงามอากาศแห้งแล้ง สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่น้อย
สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายมีการปรับตัว เพื่อป้องกันการขาดแคลนน้ำได้อย่างไร ? พืชทะเลทรายมีการปรับตัวดังนี้ มีลำต้นและใบอวบน้ำ หรือมีการลดรูปใบเป็นหนามและส่วนมากจะมีคิวทินเคลือบใบ เพื่อลดการระเหยของน้ำ เช่น ต้นกระบองเพชรสัตว์ที่อาศัยในทะเลทราย มีการปรับตัวทั้งด้านพฤติกรรม และทางด้านสรีรวิทยาเช่น ด้านพฤติกรรม จะออกหาอาหารในช่วงที่ดวงอาทิตย์ตกเกือบจะลับขอบฟ้าไปจนรุ่งเช้า ส่วนการปรับตัวทางสรีรวิทยามีหลายแบบ เช่น สามารถดึงเอาน้ำที่เกิดขึ้นจากกระบวนการเมแทบอลึซึมของร่างกายมาใช้ มีการกำจัดของเสียประเภทที่มีไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบในรูปของสารประกอบที่มีน้ำเป็นองค์ประกอบน้อยที่สุด เช่น เป็นสารประกอบกรดยูริก
แก๊ส
แก๊สออกซิเจนเป็นปัจจัยจำกัดต่อสิ่งมีชีวิตที่อาศัยในน้ำอย่างไร ? โดยปกติในอากาศปริมาตร  1  ลิตร มีแก๊สออกซิเจนอยู่  210  ลูกบาศก์เซนติเมตร แต่ในน้ำ 1  ลิตรมีแก๊สออกซิเจนละลายอยู่เพียง  0.5  ลูกบาศก์เซนติเมตรเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากอุณหภูมิ และธาตุอาหารต่าง ๆ ในน้ำ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ออกซิเจนละลายได้น้อย นอกจากนี้ ออกซิเจนยังแพร่ได้ช้า ดังนั้นสิ่งมีชีวิตในน้ำจึงได้รับปริมาณแก๊สออกซิเจนค่อนข้างจำกัดแก๊สออกซิเจนเป็นปัจจัยจำกัดที่สำคัญยิ่งในแหล่งน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแหล่งน้ำที่มีอินทรียสารมาก เนื่องจากจุลินทรีย์ต้องการใช้ในการย่อยสลายอินทรียสารนั้นจึงทำให้เกิดการขาดแคลนออกซิเจนได้
จากกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงและการหายใจ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และแก๊สออกซิเจนมีบทบาทอย่างไร ? แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และแก๊สออกซิเจนมีบทบาทในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงและการหายใจ
แก๊สไนโตรเจนมีความสำคัญในระบบนิเวศอย่างไร ? ไนโตรเจนเป็นธาตุที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของโปรตีน กรดนิวคลีอิกซึ่งเป็นสารชีวโมเลกุลที่สำคัญในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต ในบรรยากาศมีไนโตรเจนสูงถึงร้อยละ  78 แต่สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ไม่สามารถใช้ไนโตรเจนจากบรรยากาศได้โดยตรง จะใช้เมื่ออยู่ในสภาพสารประกอบ เช่น แอมโมเนีย ไนไตรท์ และไนเตรต ดังนั้นแหล่งสะสมที่แท้จริงของไนโตรเจนจึงอยู่ในสภาพสารอินทรีย์
ึϸน
แร่ธาตุสำคัญที่พืชต้องการในการเจริญเติบโต ได้แก่อะไรบ้าง ? แร่ธาตุที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช ได้แก่ คาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจนไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม กำมะถัน เหล็ก แมงกานีส โบรอน ทองแดง สังกะสี โมลิบดีนัม และคลอรีน แร่ธาตุเหล่านี้ทำให้ึϸนมีความอุดมสมบูรณ์
พืชได้รับธาตุอาหารทางใดบ้าง ? ทางรากและทางปากใบ ทางราก โดยการดูดธาตุอาหารที่มีอยู่ในึϸน เข้าสู่รากผ่านระบบท่อลำเลียงไปตามส่วนต่าง ๆ ของลำต้น  ทางปากใบโดยการผสมปุ๋ยกับน้ำแล้วฉีดพ่นไปที่ใบพืช ธาตุอาหารจะเข้าสู่ใบพืชและเข้าสู่ระบบลำเลียงในพืชต่อไป
นอกจากปัจจัยดังกล่าวแล้ว ยังมีปัจจัยทางกายภาพใดอีกบ้างที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ? ปัจจัยที่กล่าวมาแล้ว ได้แก่ อุณหภูมิ แสงสว่าง ความชื้น แก๊ส ึϸน ยังมีปัจจัยทางกายภาพที่สำคัญต่อสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศอีกดังนี้คือ แร่ธาตุ เสียง ความเป็นกรด - เบส ฯลฯ
นักเรียนลองพิจารณาดูว่าความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตในโลกจะแบ่งได้กี่ลักษณะ       
ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับปัจจัยทางชีวภาพ พบว่าสามารถแบ่งความสัมพันธ์ ได้  4  ลักษณะ คือ 1.  ความสัมพันธ์ที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย สัญลักษณ์แทนด้วย  (+ ,+) 2.  ความสัมพันธ์ที่ฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์อีกฝ่ายเสียประโยชน์  (+ ,- ) 3.  ความสัมพันธ์ที่ต่างฝ่ายต่างเสียประโยชน์  ( -,-) 4.  ความสัมพันธ์แบบฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์ อีกฝ่ายไม่ได้เสียประโยชน์ใด  ( +,0)
ความสัมพันธ์ที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย  สัญลักษณ์แทนด้วย  (+ ,+) แบ่งเป็น  2  ชนิดคือ ภาวะพึ่งพาอาศัย  ( Mutualism) ภาวะได้ประโยชน์ร่วมกัน  ( Protocooperation)
ภาวะพึ่งพาอาศัย  ( Mutualism) เป็นภาวะที่ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ โดยสองฝ่ายต้องอยู่ร่วมกันชั่วคราวหรือต้องอยู่ร่วมกันตลอดไป โดยไม่สามารถแยกจากกันได้ ถ้าแยกจากกันฝ่ายใด  ฝ่ายหนึ่ง หรือทั้งสองฝ่ายจะตาย  เช่น
ส่าหร่ายสีเขียว กับ รา
ไรโซ๶บียมกับปมรากถั่ว
ภาวะได้ประโยชน์ร่วมกัน  เป็นความสัมพันธ์ที่สิ่งมีชีวิตสองชนิดอยู่รวมกัน โดยได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายแต่แยกกันอยู่ได้  เช่น
ดอกไม้ กับ แมลง โดยแมลงกินน้ำหวานจากดอกไม้ และแมลงช่วยผสมเกสรให้กับดอกไม้
มองเห็นผึ้งวนเวียนเฝ้าเปลี่ยน เชยชมเกสรดอกไม้ ผึ้งได้ประโยชน์เพราะได้กินน้ำหวานจากดอกไม้ ส่วนดอกไม้ก็ได้ประโยชน์เพราะผึ้ง ช่วยผสมเกสรให้ ความสัมพันธ์จึงเป็นแบบต่างฝ่ายต่างได้ ประโยชน์
ควาย กับ นกเอี้ยง
นกเอี้ยงเลี้ยงควายเฒ่า นกเอี้ยง กิน เซลล์ที่ตายแล้วตามผิวหนังของควาย และกินเหา เห็บ หมัด ที่เกาะตามผิวหนัง ส่วนควายก็ได้ทำความสะอาดผิวหนัง และได้กำจัดเหา เห็บ และ หมัดออกจากตัว ด้วย.....ถือเป็นการได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย
ภาวะอิงอาศัย  ( Commensalism) เป็นการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิต  2   ชนิด ที่ฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์ส่วน อีกฝ่ายไม่ได้และไม่เสียประโยชน์ เช่น
พลูด่างกับต้นไม้ใหญ่ พลูด่างได้อาศัยร่มเงาและความชื้น จากต้นไม้ โดยต้นไม้ไม่ได้ประโยชน์ และก็ไม่เสียประโยชน์แต่อย่างไร
กล้วยไม้กับต้นไม้ใหญ่ กล้วยไม้จะยืดเกาะอยู่บริเวณผิวของเปลือก ของต้นไม้ใหญได้รับความชื้นหรือแร่ธาตุ จาก เปลือกต้นไม้ โดยที่ต้นไม้ไม่ได้รับประโยชน์ แต่ก็ใม่เสียประโยชน์
ปลาฉลามกับเหาฉลาม เหาฉลามเป็นปลาชนิดหนึ่ง ครีบหลังจะเปลี่ยนเป็นอวัยวะ สำหรับเกาะ มันจะเกาะติดปลาฉลามไปในที่ต่าง ๆ มันจะกินเศษอาหารที่เหาฉลามกินเหลือ โดยที่ปลามไม่ได้ประโยชน์แต่ก็ไม่เสียประโยชน์
ภาวะการล่าเหยื่อ  ( Predation) เป็นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตที่สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งเป็นอาหารของสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง โดยฝ่ายได้ประโยชน์เรียกว่า ผู้ล่า  ( Predator )  ฝ่ายหนึ่งเสียประโยชน์ ว่า เหยื่อ  ( Prey ) เช่นการล่าเหยื่อ ของสุนัขจิ้งจอก ,  การล่าเหยื่อของกิ้งก่า , กาบหอยแครงดักจับแมลง , เสือล่ากวาง
ภาวะปรสิต  ( Parasitism) เป็นความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตที่สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งไปอาศัยสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง ฝ่ายที่ได้ประโยชน ์เรียกว่า ปรสิต ( Parasite )  ส่วนสิ่งมีชีวิตที่ถูกอาศัยเรียกว่าผู้ถูกอาศัย  ( Host )  เช่น กาฝากกับต้นมะม่วง ต้นฝอยทองกับต้นไม้อื่น ,  ยุงดูดเลือดจากสิ่งมีชีวิต .,  พยาธิต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่กับร่างกายคนและสัตว์ ,  หนอนกัดกินใบไม้
กาฝากกับต้นมะม่วง กาฝากที่เกาะกับต้นมะม่วง รากของกาฝากจะชอนไชไปถึงท่อน้ำ ท่ออาหารของต้นมะม่วง แล้วแย่งน้ำ อาหารจากต้นมะม่วง
ต้นฝอยทองกับต้นไม้อื่น ต้นฝอยทองจะฝังรากลงไปในพืชแล้ว ดูดน้ำและอาหารจากพืชมาใช้
พยาธิต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่กับร่างกายคนและสัตว์
การแย่งธาตุอาหารและแสงสว่างของพืช เช่น ผักตบชวาในบึง บัวในสระ การแย่งเป็นจ่าฝูงในสัตว์บางชนิด เช่น สิงโต เสือ ปลาในบ่อเลี้ยงที่แย่งอาหารกัน เช่น ปลาสวาย ปลาดุก การแย่งกันครอบครองอาณาเขต เช่น ฝูงลิง เสือ สิงโต ฯลฯ -,- 6.  ภาวะแก่งแย่งแข่งขัน (competition) กาฝากบนต้นไม้ พยาธิใบไม้ในตับสัตว์ เหาบนศีรษะคน เห็บหรือหมัดบนผิวลำตัวสุนัข พยาธิตัวตืดในกล้ามเนื้อหมู +,- 5.  ภาวะเป็นปรสิต (parasitism) เฟินบนต้นไม้ใหญ่ เหาฉลามกับปลาฉลาม นกทำรังบนต้นไม้ เพรียงหินบนกระดองเต่า +,0 3.  ภาวะเกื้อกูล (commensalism) ดอกไม้กับแมลง นกเอี้ยงกับควาย มดดำกับเพลี้ย ซีแอนีโมนีกับปูเสฉวน ฯลฯ +,+ 2.  การได้ประโยชน์ร่วมกัน (protocooperation ต้นไทรกับต่อไทร โพรโทซัวในลำไส้ปลวกกับปลวก ไลเคน ไรโซเบียมในปมรากถั่ว ราไมคอร์ไรซาในรากสนหรือรากปรง ฯลฯ +,+ 1.  ภาวะพึ่งพาอาศัย (mutualism) ผลการสำรวจ สัญลักษณ์ รูปแบบความสัมพันธ์
รูปแบบของความสัมพันธ์แบบภาวะพึ่งพาอาศัย กับการได้รับประโยชน์ร่วมกันต่างกันอย่างไร ? ความสัมพันธ์แบบภาวะพึ่งพาอาศัย คือสิ่งมีชีวิต  2  ชนิดที่อาศัยอยู่ร่วมกัน ขาดชนิดหนึ่งชนิดใดไม่ได้ และต่างได้รับผลประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย เช่น โพรโทซัวในลำไส้ปลวกถ้าปลวกตายโพรโทซัวก็จะอยู่ไม่ได้และตายไปด้วย ความสัมพันธ์แบบได้รับประโยชน์ร่วมกัน เป็นความสัมพันธ์ที่ทั้งสองฝ่ายได้รับผลประโยชน์แต่สิ่งมีชีวิต  2  ชนิดนี้ไม่จำเป็นต้องอยู่ร่วมกันเสมอไป เช่น ดอกไม้กับแมลงเมื่อแมลงนำน้ำหวานจากดอกไม้แล้วก็อาจบินไปที่อื่น และอาจกลับมาใหม่เมื่อต้องการน้ำหวานอีก
รูปแบบของความสัมพันธ์แบบการล่าเหยื่อกับภาวะปรสิตต่างกันอย่างไร ? การล่าเหยื่อ ความสัมพันธ์แบบนี้จะมีฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์ เรียกว่า ผู้ล่า  (predator) ซึ่งมักจะมีขนาดใหญ่และแข็งแรงกว่าอีกฝ่ายหนึ่งเสียประโยชน์และต้องตายเพราะถูกกินเป็นอาหารเรียกว่า เหยื่อ  (prey)  ซึ่งจะอ่อนแอกว่า ภาวะเป็นปรสิต เป็นความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตที่ฝ่ายหนึ่งจะได้รับประโยชน์อีกฝ่ายหนึ่งเสียประโยชน์ ฝ่ายที่ได้รับประโยชน์อาจจะอาศัยอยู่ภายในหรือภายนอกร่างกายของผู้เสียประโยชน์ เรียกสิ่งมีชีวิตที่ได้รับประโยชน์ว่า ปรสิต  (parasite) และเรียกผู้เสียประโยชน์ว่า ผู้ถูกอาศัย  (host)  โดยปรสิตจะแย่งอาหารหรือกินบางส่วนของร่างกายผู้ถูกอาศัย แต่ไม่ถึงกับทำให้ผู้ถูกอาศัยตายเพียงแต่เกิดความรำคาญ หรืออาจก่อให้เกิดโรคได้ เป็นต้น
จากภาพที่  21-34   นักเรียนจะอธิบายความสัมพันธ์ของพารามีเซียมทั้งสองชนิดนี้ได้ว่าอย่างไร ? จากภาพเป็นการทดลองในห้องปฏิบัติการ ซึ่งพารามีเซียมทั้ง  2   ชนิด เป็นโพรโทซัว ที่กินแบคทีเรียเป็นอาหารจากภาพ  P .  aurelia  และ  P .  caudatum  สามารถเจริญได้ดี ในอาหารเลี้ยงเชื้อชนิดเดียวกัน เมื่อเพาะเลี้ยงเดี่ยว ๆ กราฟการเจริญเติบโตเป็นดังภาพ ก .  และ ข .  คือพารามีเซียมทั้ง  2   ชนิด เพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วในระยะแรก หลังจากนั้น อัตราการเพิ่มจะคงที่ตราบใดที่ยังมีอาหารอยู่ แต่เมื่อนำมาเพาะเลี้ยงด้วยกันจะได้กราฟ ดังภาพ ค .  คือ  P .  aurelia  จะเพิ่มจำนวนได้มากกว่า  P .  caudatum  ซึ่งแสดงว่าพารามีเซียมทั้งสองชนิดมีการแก่งแย่งอาหารกัน
พารามีเซียมชนิดใด ได้ประโยชน์จากการแก่งแย่งอาหารและเพราะเหตุใด ? P .  aurelia  ได้ประโยชน์จากการแก่งแย่งอาหาร เนื่องจากอาจจะมีความแข็งแรงมากกว่าปรับตัวให้สามารถเพิ่มจำนวนได้มากและอัตราการอยู่รอดสูงหรือสามารถแย่งอาหารได้มากกว่า ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการดำรงชีวิตได้เหนือกว่า
สิ่งมีชีวิตมีการแก่งแย่งแข่งขันกันเพื่อประโยชน์ในด้านใดบ้าง ? เพื่อแย่งอาหาร แย่งที่อยู่อาศัย ต้องการจับจองอาณาเขต แย่งคู่เพื่อการขยายพันธุ์
การแข่งขันกันระหว่างสิ่งมีชีวิตสปีชีส์เดียวกัน จะเกิดประโยชน์อย่างไร ? เมื่อมีการแข่งขันกันในสิ่งมีชีวิตสปีชีส์เดียวกัน เมื่อสิ่งมีชีวิตใดอยู่รอดได้แสดงว่าสิ่งมีชีวิตนั้นมีความสามารถในการปรับตัวที่จะอยู่ในสภาพแวดล้อมนั้น มีความแข็งแรงกว่า มีศักยภาพในการดำรงชีวิตได้มากกว่า

More Related Content

ความสัมพันธ์ในระบบȨ๶วศ