ݺߣ

ݺߣShare a Scribd company logo
การวัดผลประเมิȨลการ๶รียนรู้
ความหมายของการวัดผล การทดสอบ และการประเมินผล   การวัดผลการ  ( Measurement)  หมายถึง กระบวนการหาปริมาณ หรือจำนวนของสิ่งต่าง ๆ โดยใช้เครื่องมืออย่างใดอย่างหนึ่ง ผลจากการวัดจะออกมาเป็นตัวเลข หรือสัญลักษณ์ เช่น นายแดงสูง  180  ซม . ( เครื่องมือ คือ ที่วัดส่วนสูง )  วัตถุชิ้นนี้หนัก  2  ก . ก  ( เครื่องมือ คือ เครื่องชั่ง )   การทดสอบการศึกษา หมายถึง กระบวนการวัดผลอย่างหนึ่งที่กระทำอย่างมีระบบเพื่อใช้ในการเปรียบเทียบความสามารถของบุคคล โดยใช้ข้อสอบหรือคำถามไปกระตุ้นให้สมองแสดงพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา          การประเมินผล  ( Evaluation)  หมายถึง การตัดสิน หรือวินิจฉัยสิ่งต่าง ๆ ที่ได้จากการวัดผลเช่น ผลจากการวัดความสูงของนายแดงได้  180  ซม .  ก็อาจประเมินว่าเป็นคนที่สูงมาก ผลจากการชั่งน้ำหนักของวัตถุชิ้นหนึ่งได้  2  ก . ก ก็อาจจะประเมินว่าหนัก  -  เบา หรือ เอา -  ไม่เอา
ลักษณะพฤติกรรมที่ต้องวัด   บลูม ( Bloom)  และคณะ ได้แบ่งพฤติกรรมที่จะวัดออกเป็น  3  ลักษณะ   1.  วัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย   ได้แก่ การวัดเกี่ยวกับ ความรู้ ความคิด  ( วัดด้านสมอง )   2.  วัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัย   ได้แก่ การวัดเกี่ยวกับความรู้สึกนึกคิด  ( วัดด้านจิตใจ )   3.  วัดพฤติกรรมด้านทักษะพิสัย   ได้แก่ การวัดเกี่ยวกับการใช้กล้ามเนื้อ และประสาทสัมผัสส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย  ( วัดด้านการปฏิบัติ )
จุึϸุ่งหมายྺองการวัดผลการศึกษา   1.  วัดผลเพื่อและพัฒนาสมรรถภาพของนักเรียน หมายถึง การวัดผลเพื่อดูว่านักเรียนบกพร่องหรือไม่เข้าใจในเรื่องใดอย่างไร แล้วครูพยายามอบรมสั่งสอนให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้และมีความเจริญ งอกงามตามศักยภาพของนักเรียน   2.  วัดผลเพื่อวินิจฉัย หมายถึง การวัดผลเพื่อค้นหาจุดบกพร่องของนักเรียนที่มีปัญหาว่า ยังไม่เกิดการเรียนรู้ตรงจุดใด เพื่อหาทางช่วยเหลือ   3.  วัดผลเพื่อจัดอันดับหรือจัดตำแหน่ง หมายถึง การวัดผลเพื่อจัดอันดับความสามารถของนักเรียนในกลุ่มเดียวกันว่าใครเก่งกว่า ใครควรได้อันที่  1 2 3
4.  วัดผลเพื่อเปรียบเทียบหรือเพื่อทราบพัฒนาการของนักเรียน หมายถึง การวัดผลเพื่อเปรียบเทียบความสามารถของนักเรียนเอง เช่น การทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียนแล้วนำผลมาเปรียบเทียบกัน   5.  วัดผลเพื่อพยากรณ์ หมายถึง การวัดเพื่อนำผลที่ได้ไปคาดคะเนหรือทำนายเหตุการณ์ในอนาคต     6.  วัดผลเพื่อประเมินผล หมายถึง การวัดเพื่อนำผลที่ได้มาตัดสิน หรือสรุปคุณภาพของการจัดการศึกษาว่า   มีประสิทธิภาพสูงหรือต่ำ ควรปรับปรุงแก้ไขอย่างไร   จุึϸุ่งหมายྺองการวัดผลการศึกษา
1.  มาตรานามบัญญัติ เป็นมาตรการวัดที่ใช้กับข้อมูลเป็นเพียงการเรียกชื่อ หรือจำแนกชนิดหรือสัญลักษณ์กับสิ่งต่าง ๆ ไม่สามารถบอกปริมาณมากน้อยได้ แสดงให้เห็นเพียงความแตกต่างของสิ่งต่าง ๆ เช่น การจำแนกคนเป็นเพศหญิง - ชาย หมายเลขโทรศัพท์ ทะเบียนรถ   2.  มาตราเรียงอันดับ สามารถนำข้อมูลมาเปรียบเทียบกันได้ หรือเป็นการจัดอันดับข้อมูลได้ว่ามาก  -  น้อย   สูง - ต่ำดี - ชั่ว     3.  มาตราอันตรภาค สามารถบอกความห่างระหว่างสองตำแหน่งได้ เช่น การวัดอุณหภูมิ หรือเซลเซียส   4.  มาตราสัดส่วน เป็นมาตราการวัดที่มีลักษณะสมบูรณ์ทุกอย่าง มีศูนย์แท้ ซึ่งแปลว่าไม่มีอะไร   หรือเริ่มต้นจาก  0  เช่น ความสูง  0  นิ้ว ก็แปลว่าไม่มีความสูง หรือน้ำหนัก  0  กิโลกรัม ก็เท่ากับไม่มีน้ำหนัก   มาตราการวัด
1.  ต้องวัดให้ตรงกับจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอน คือ การวัดผลจะเป็นสิ่งตรวจสอบผลจากการสอนของครูว่า นักเรียนเกิดพฤติกรรมตามที่ระบุไว้ในจุดมุ่งหมายการสอนมากน้อยเพียงใด   2.  เลือกใช้เครื่องมือวัดที่ดีและเหมาะสม การวัดผลครูต้องพยายามเลือกใช้เครื่องมือวัดที่มีคุณภาพ   ใช้เครื่องมือวัดหลาย ๆ อย่าง เพื่อช่วยให้การวัดถูกต้องสมบูรณ์   3.  ระวังความคลาดเคลื่อนหรือความผิดพลาดของการวัด เมื่อจะใช้เครื่องมือชนิดใด ต้องระวังความบกพร่องของเครื่องมือหรือวิธีการวัดของครู   หลักการวัดผลการศึกษา
4.  ประเมินผลการวัดให้ถูกต้อง เช่น คะแนนที่เกิดจาการสอนครูต้องแปลผลให้ถูกต้องสมเหตุสมผลและมีความยุติธรรม     5.  ใช้ผลการวัดให้คุ้มค่า จุดประสงค์สำคัญของการวัดก็คือ เพื่อค้นและพัฒนาสมรรถภาพของนักเรียน ต้องพยายามค้นหาผู้เรียนแต่ละคนว่า เด่น - ด้อยในเรื่องใด และหาแนวทางปรับปรุงแก้ไขแต่ละคนให้ดีขึ้น   หลักการวัดผลการศึกษา
เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผล 1.  การสังเกต  ( Observation)   คือ การพิจารณาปรากฎการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อค้นหาความจริงบางประการ โดยอาศัยประสาท สัมผัสของผู้สังเกตโดยตรง   รูปแบบของการสังเกต   1.  การสังเกตโดยผู้สังเกตเข้าไปร่วมในเหตุการณ์หรือกิจกรรม หมายถึง การสังเกตที่ผู้สังเกตเข้าไปมีส่วนร่วม หรือคลุกคลีในหมู่ผู้ถูกสังเกต และอาจร่มทำกิจกรรมด้วยกัน   2.  การสังเกตโดยผู้สังเกตไม่ได้เข้าไปร่วมในเหตุการณ์ หมายถึง การสังเกตที่ผู้ถูกสังเกตอยู่ภายนอกวงของผู้ถูกสังเกต คือสังเกตในฐานะเป็นบุคคลภายนอก การสังเกตแบบ นี้แบ่งออกเป็น  2  ชนิด   2.1  การสังเกตแบบไม่มีโครงสร้าง หมายถึง การสังเกตที่ผู้สังเกตไม่ได้กำหนดหัวเรื่องเฉพาะเอาไว้   2.2  การสังเกตแบบมีโครงสร้าง หมายถึง การสังเกตที่ผู้สังเกตกำหนดเรื่องที่จะสังเกตเฉพาะเอาไว้
เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผล 2.  การสัมภาษณ์  ( Interview)   คือ การสนทนาหรือการพูดโต้ตอบกันอย่างมีจุดมุ่งหมาย เพื่อค้นหาความรู้ ความจริง ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า   รูปแบบของการสัมภาษณ์   1.  การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง หมายถึง การสัมภาษณ์ที่ไม่ใช่แบบสัมภาษณ์ คือ ไม่จำเป็นต้องใช้ คำถามที่เหมือนกันหมดกับผู้ถูกสัมภาษณ์ทุกคน   2.  การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง หมายถึง การสัมภาษณ์ที่ผู้สัมภาษณ์จะใช้แบบสัมภาษณ์ที่สร้างขึ้นไว้แล้ว
เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผล 3.  แบบสอบถาม  ( Questionnaire)   แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ  ชนิดหนึ่งที่นิยมใช้กันมาก โดยเฉพาะการเก็บข้อมูลทางสังคมศาสตร์ ทั้งนี้เพราะเป็นวิธีการที่สะดวก และสามารถใช้วัดได้อย่างกว้างขวาง   รูปแบบของแบบสอบถาม   1.  แบบสอบถามชนิดปลายเปิด  ( Open-ended Form)   แบบสอบถามชนิดนี้ไม่ได้กำหนดคำตอบไว้ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ตอบเขียนตอบอย่างอิสระด้วยความคิดของตนเอง แบบสอบถามชนิดนี้ตอบยากและเสียเวลาในการตอบมาก เพราะผู้ตอบจะต้องคิดวิเคราะห์อย่างกว้างขวาง
เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผล 2.  แบบสอบถามปลายปิด  ( Closed - ended Form) แบบสอบถามชนิดนี้ประกอบ ด้วย ข้อคำถามและตัวเลือก  ( คำตอบ )  ซึ่งตัวเลือกนี้สร้างขึ้นโดยคาดว่าผู้ตอบ สามารถเลือกตอบ ได้ตามความต้องการ แบบสอบถามชนิดปลายปิด แบ่งเป็น  4  แบบ   2.1  แบบตรวจสอบรายการ  ( Checklist)  เป็นการสร้างรายการของข้อคำถามที่เกี่ยวหรือสัมพันธ์กับคุณลักษณะของพฤติกรรม แต่ละรายการจะถูกประเมิน หรือชี้ให้ตอบในแง่ใดแง่หนึ่ง เช่น มี  -  ไม่มี จริง  -  ไม่จริง
เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผล 2.2  มาตราส่วนประมาณค่า  ( Rating Scale)  เป็นเครื่องมือที่ใช้ในประเมินการปฏิบัติ กิจกรรม ทักษะต่าง ๆ มีระดับความเข้มให้พิจารณาตั้งแต่  3  ระดับขึ้นไป เช่น เห็นด้วยอย่างยิ่ง เห็นด้วย ไม่แน่ใจ ไม่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ตัวอย่าง   -  ท่านเลือกเรียนครูเพราะเหตุใด โปรดเรียงอันดับตามความสำคัญของเหตุผล จากมากไปหาน้อย     เหตุผล อันดับความสำคัญเรียงจากมากที่สุด   1.  มีใจรัก  …………………… ..   2.  หางานง่าย  …………………… ..   3.  ค่าใช้จ่ายถูก  …………………… ..   4.  ได้รับทุนอุดหนุน  …………………… .. 2.4  แบบเติมคำสั้น ๆ ในช่องว่าง  แบบสอบถามลักษณะนี้จะต้องกำหนดขอบเขตจำเพาะเจาะจงลงไป เช่น  ปัจจุบันท่านอายุ ……………… ปี  ………… . เดือน  
เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผล 4.  การจัดอันดับ  ( Rank Order)   เป็นเครื่องมือมือวัดผลให้นักเรียน หรือผู้ได้รับแบบสอบถามเป็นผู้ตอบ โดยการจัดอันดับความสำคัญ   หรือจัดอันดับคุณภาพ และใช้จัดอันดับของข้อมูลหรือผลงานต่าง ๆ ของนักเรียนแล้วจึงให้คะแนน ภายหลังเพื่อการประเมิน   5.  การประเมินผลจากสภาพจริง  ( Authentic Assessment)    หมายถึง กระบวนการสังเกต การบันทึก และรวบรวมข้อมูลจากงานและวิธีการที่นักเรียนทำ การประเมินผลจากสภาพจริงจะเน้นให้นักเรียนสามารถแก้ปัญหา เป็นผู้ค้นพบและผู้ผลิตความรู้ นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติจริง รวมทั้งเน้นพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน
ความสำคัญྺองการประ๶มิȨลจากสภาพจริง   1.  การเรียนการสอนและการวัดประเมินผลจากสภาพจริง จะเอื้อให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพของแต่ละบุคคล   2.  เป็นการเอื้อต่อการเรียนการสอนที่เน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลาง   3.  เป็นการเน้นให้นักเรียนได้สร้างงาน   4.  เป็นการผสมผสานให้กิจกรรมการเรียนรู้และการประเมินผล   5.  เป็นการลดภาระงานซ่อมเสริมของครู
ความสำคัญྺองการประ๶มิȨลจากสภาพจริง   6.  การวัดผลภาคปฏิบัติ เป็นการวัดผลงานที่ให้นักเรียนลงมือปฏิบัติ ซึ่งสามารถวัดได้ทั้งกระบวนการและผลงาน ในสถานการณ์จริง หรือในสถานการณ์จำลอง สิ่งที่ควรคำนึงในการสอบวัดภาคปฏิบัติคือ   1.  ขั้นเตรียมงาน   2.  ขั้นปฏิบัติงาน   3.  เวลาที่ใช้ในการทำงาน   4.  ผลงาน    7.  การประเมินผลโดยใช้แฟ้มสะสมงาน  ( Portfolios)  เป็นแนวทางการประเมินผลโดยการรวมข้อมูลที่ครูและผู้เรียนทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน โดยกระทำอย่างต่อเนื่องตลอดภาคเรียน ดังนั้นการวัดผลและประเมินผลโดยใช้แฟ้มสะสมงานส่วนหนึ่ง จะเป็นกิจกรรมที่สอดแทรกอยู่ในสภาพการเรียนประจำวัน โดยกิจกรรมที่สอดแทรกเหล่านี้จะวัด เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสภาพชีวิตประจำวัน
ความสำคัญྺองการประ๶มิȨลจากสภาพจริง   8.  แบบทดสอบ  ( Test)   ประเภทของแบบทดสอบ สามารถแบ่งประเภทออกได้หลายลักษณะ ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่จะใช้   1.  แบ่งตามสมรรถภาพที่จะวัด   แบ่งเป็น  3  ประเภท     1.1  แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์  ( Achievement Test)  หมายถึง แบบทดสอบที่วัดสมรรถภาพสมองด้านต่าง ๆ ที่นักเรียนได้รับการเรียนรู้ผ่านมาแล้วว่ามีอยู่เท่าใด แบบทดสอบแบ่งออกเป็น  2  ชนิด 1)  แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้น หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนเฉพาะกลุ่มที่ครูสอน     2)  แบบทดสอบมาตรฐาน หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดผลสัมฤทธิ์มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบคุณภาพต่าง ๆ ของนักเรียนที่ต่างกลุ่มกัน เช่น แบบทดสอบมาตรฐานระดับชาติ  
ความสำคัญྺองการประ๶มิȨลจากสภาพจริง   1.2  แบบทดสอบวัดความถนัด  ( Aptitude Test)  หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดสมรรถภาพสมองของ ผู้เรียน     1)  แบบทดสอบวัดความถนัดทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดความถนัดทางด้านวิชาการต่าง ๆ เช่น ด้านภาษา   2)  แบบทดสอบวัดความถนัดเฉพาะ หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดความถนัดเฉพาะที่เกี่ยวกับงานอาชีพต่าง ๆ หรือความสามารถพิเศษ เช่น ความสามารถทางดนตรี  
ความสำคัญྺองการประ๶มิȨลจากสภาพจริง   1.3  แบบทดสอบวัดบุคลิกภาพทางสังคม   หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดบุคลิกภาพและการปรับตัวให้เข้ากับ สังคม ซึ่งเป็นเรื่องที่วัด ได้ยาก ผลที่ได้ไม่คงที่แน่นอน   1)  แบบทดสอบวัดเจตคติที่มีต่อบุคคล สิ่งของ เรื่องราว   2)  แบบทดสอบวัดความสนใจที่มีต่ออาชีพ การศึกษา     3)  แบบทดสอบวัดการปรับตัว เช่น การปรับตัวเข้ากับเพื่อน ๆ  
ความสำคัญྺองการประ๶มิȨลจากสภาพจริง   2.  แบ่งตามลักษณะการตอบ   2.1  แบบทดสอบภาคปฏิบัติ หมายถึง แบบทดสอบที่ให้นักเรียนลงมือปฏิบัติจริง เช่น การปรุงอาหาร   2.2  แบบทดสอบข้อเขียน หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้การเขียนตอบ   2.3  แบบทดสอบปากเปล่า หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้การพูดโต้ตอบแทนการเขียน   3.  แบ่งตามเวลาที่กำหนดให้ตอบ   3.1  แบบทดสอบที่จำกัดเวลาในการตอบ หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้เวลาน้อย   3.2  แบบทดสอบที่ไม่จำกัดเวลาในการตอบ หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้เวลาตอบมาก
ความสำคัญྺองการประ๶มิȨลจากสภาพจริง   4.  แบ่งตามจำนวนผู้เข้าสอบ   4.1  แบบทดสอบเป็นรายบุคคล หมายถึง การสอบทีละคนมักเป็นการสอบภาคปฏิบัติ   4.2  แบบทดสอบเป็นชั้นหรือเป็นหมู่ หมายถึง การสอบทีละ หลาย ๆ คน   5.  แบ่งตามสิ่งเร้าของการถาม   5.1  แบบทดสอบทางภาษา หมายถึง แบบทดสอบที่ต้องอาศัยภาษาของสังคมนั้น ๆ เป็นหลัก ใช้กับผู้ที่อ่านออกเขียนได้   5.2  แบบทดสอบที่ไม่ใช้ภาษา หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้รูปภาพ สัญลักษณ์หรือตัวเลข
ความสำคัญྺองการประ๶มิȨลจากสภาพจริง   6.  แบ่งตามลักษณะของการใช้ประโยชน์     6.1  แบบทดสอบย่อย หมายถึง แบบทดสอบประจำบท หรือหน่วยการเรียน   6.2  แบบทดสอบรวม หมายถึง แบบทดสอบสรุปรวมเนื้อหาที่เรียนผ่านมาตลอดภาคเรียน   7.  แบ่งตามเนื้อหาของข้อสอบในฉบับ   7.1  แบบทดสอบอัตนัย หมายถึง แบบทดสอบที่มีเฉพาะคำถามนักเรียนต้องคิดหาคำตอบเอง   7.2  แบบทดสอบปรนัย หมายถึง แบบทดสอบที่มีทั้งคำถามและคำตอบเฉพาะคงที่แน่นอน การวัดผลและการประเมินผลทางการศึกษา
มีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อตัดสินว่าผู้เรียนทำอะไรได้หรือยังไม่ได้ตามจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรมที่กำหนดไว้ตามหลักสูตร  โดยนำคะแนน  ที่ได้ไปเทียบกับเกณฑ์หรือมาตรฐานขั้นต่ำที่ยอมรับ     ดังนั้นการรายงานผลของคะแนน  แบบอิงเกณฑ์ จึงไม่มีการนำคะแนนของผู้สอบไปรวมกันหรือไปนำเปรียบกัน  และการ  ตัดสินผลการเรียนก็สรุปว่าผ่าน หรือไม่ผ่านในจุดมุ่งหมายที่ต้องการวัดนั้น   โดยมาก  สถิติที่ใช้รายงานผลของคะแนนแบบอิงเกณฑ์ที่นิยมใช้กัน ก็คือ  สัดส่วนและเปอร์เซนต์  การประเมินผลแบบอิงเกณฑ์
เป็นการนำคะแนนที่ได้จากผล  การสอบของผู้เรียนไปเทียบกับคนอื่นๆภายในกลุ่ม   เพื่อพิจารณาดูว่าผู้เรียนคนนั้นมี  ความสามารถอยู่ระดับใดของกลุ่ม  โดยจะต้องนำคะแนนดิบไปแปลงเป็นคะแนนรูป  อื่นๆมีอยู่  2  วิธีคือ 1.  แปลงเป็นคะแนนบอกตำแหน่ง เช่น อันดับที่  (Rank)  ตำแหน่งเปอร์  เซนต์ไทล์  (Percentile rank)  ฯลฯ 2.  แปลงเป็นคะแนนมาตรฐาน  (Standard  scores)  เช่น  คะแนนซี  (Z-score)  คะแนนที  (T-score)  คะแนนทีปกติ  (Normalized T-score)  คะแนนสเตไนน์  (Stanine)  ฯลฯ การประเมินผลแบบอิงกลุ่ม
สรุปการประเมินจะต้องใช้ดุลยพินิจด้วยความรอบคอบก่อนตัดสินใจ จะต้องประเมินด้วยความเที่ยงธรรมและมีคุณธรรมอย่างสูง

More Related Content

การวัดผลประเมิȨลการ๶รียนรู้

  • 2. ความหมายของการวัดผล การทดสอบ และการประเมินผล การวัดผลการ ( Measurement) หมายถึง กระบวนการหาปริมาณ หรือจำนวนของสิ่งต่าง ๆ โดยใช้เครื่องมืออย่างใดอย่างหนึ่ง ผลจากการวัดจะออกมาเป็นตัวเลข หรือสัญลักษณ์ เช่น นายแดงสูง 180 ซม . ( เครื่องมือ คือ ที่วัดส่วนสูง ) วัตถุชิ้นนี้หนัก 2 ก . ก ( เครื่องมือ คือ เครื่องชั่ง ) การทดสอบการศึกษา หมายถึง กระบวนการวัดผลอย่างหนึ่งที่กระทำอย่างมีระบบเพื่อใช้ในการเปรียบเทียบความสามารถของบุคคล โดยใช้ข้อสอบหรือคำถามไปกระตุ้นให้สมองแสดงพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา        การประเมินผล ( Evaluation) หมายถึง การตัดสิน หรือวินิจฉัยสิ่งต่าง ๆ ที่ได้จากการวัดผลเช่น ผลจากการวัดความสูงของนายแดงได้ 180 ซม . ก็อาจประเมินว่าเป็นคนที่สูงมาก ผลจากการชั่งน้ำหนักของวัตถุชิ้นหนึ่งได้ 2 ก . ก ก็อาจจะประเมินว่าหนัก - เบา หรือ เอา - ไม่เอา
  • 3. ลักษณะพฤติกรรมที่ต้องวัด บลูม ( Bloom)  และคณะ ได้แบ่งพฤติกรรมที่จะวัดออกเป็น 3 ลักษณะ 1. วัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย   ได้แก่ การวัดเกี่ยวกับ ความรู้ ความคิด ( วัดด้านสมอง ) 2. วัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัย   ได้แก่ การวัดเกี่ยวกับความรู้สึกนึกคิด ( วัดด้านจิตใจ ) 3. วัดพฤติกรรมด้านทักษะพิสัย   ได้แก่ การวัดเกี่ยวกับการใช้กล้ามเนื้อ และประสาทสัมผัสส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ( วัดด้านการปฏิบัติ )
  • 4. จุึϸุ่งหมายྺองการวัดผลการศึกษา 1. วัดผลเพื่อและพัฒนาสมรรถภาพของนักเรียน หมายถึง การวัดผลเพื่อดูว่านักเรียนบกพร่องหรือไม่เข้าใจในเรื่องใดอย่างไร แล้วครูพยายามอบรมสั่งสอนให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้และมีความเจริญ งอกงามตามศักยภาพของนักเรียน 2. วัดผลเพื่อวินิจฉัย หมายถึง การวัดผลเพื่อค้นหาจุดบกพร่องของนักเรียนที่มีปัญหาว่า ยังไม่เกิดการเรียนรู้ตรงจุดใด เพื่อหาทางช่วยเหลือ 3. วัดผลเพื่อจัดอันดับหรือจัดตำแหน่ง หมายถึง การวัดผลเพื่อจัดอันดับความสามารถของนักเรียนในกลุ่มเดียวกันว่าใครเก่งกว่า ใครควรได้อันที่ 1 2 3
  • 5. 4. วัดผลเพื่อเปรียบเทียบหรือเพื่อทราบพัฒนาการของนักเรียน หมายถึง การวัดผลเพื่อเปรียบเทียบความสามารถของนักเรียนเอง เช่น การทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียนแล้วนำผลมาเปรียบเทียบกัน 5. วัดผลเพื่อพยากรณ์ หมายถึง การวัดเพื่อนำผลที่ได้ไปคาดคะเนหรือทำนายเหตุการณ์ในอนาคต   6. วัดผลเพื่อประเมินผล หมายถึง การวัดเพื่อนำผลที่ได้มาตัดสิน หรือสรุปคุณภาพของการจัดการศึกษาว่า มีประสิทธิภาพสูงหรือต่ำ ควรปรับปรุงแก้ไขอย่างไร จุึϸุ่งหมายྺองการวัดผลการศึกษา
  • 6. 1. มาตรานามบัญญัติ เป็นมาตรการวัดที่ใช้กับข้อมูลเป็นเพียงการเรียกชื่อ หรือจำแนกชนิดหรือสัญลักษณ์กับสิ่งต่าง ๆ ไม่สามารถบอกปริมาณมากน้อยได้ แสดงให้เห็นเพียงความแตกต่างของสิ่งต่าง ๆ เช่น การจำแนกคนเป็นเพศหญิง - ชาย หมายเลขโทรศัพท์ ทะเบียนรถ 2. มาตราเรียงอันดับ สามารถนำข้อมูลมาเปรียบเทียบกันได้ หรือเป็นการจัดอันดับข้อมูลได้ว่ามาก - น้อย   สูง - ต่ำดี - ชั่ว   3. มาตราอันตรภาค สามารถบอกความห่างระหว่างสองตำแหน่งได้ เช่น การวัดอุณหภูมิ หรือเซลเซียส 4. มาตราสัดส่วน เป็นมาตราการวัดที่มีลักษณะสมบูรณ์ทุกอย่าง มีศูนย์แท้ ซึ่งแปลว่าไม่มีอะไร   หรือเริ่มต้นจาก 0 เช่น ความสูง 0 นิ้ว ก็แปลว่าไม่มีความสูง หรือน้ำหนัก 0 กิโลกรัม ก็เท่ากับไม่มีน้ำหนัก มาตราการวัด
  • 7. 1. ต้องวัดให้ตรงกับจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอน คือ การวัดผลจะเป็นสิ่งตรวจสอบผลจากการสอนของครูว่า นักเรียนเกิดพฤติกรรมตามที่ระบุไว้ในจุดมุ่งหมายการสอนมากน้อยเพียงใด 2. เลือกใช้เครื่องมือวัดที่ดีและเหมาะสม การวัดผลครูต้องพยายามเลือกใช้เครื่องมือวัดที่มีคุณภาพ   ใช้เครื่องมือวัดหลาย ๆ อย่าง เพื่อช่วยให้การวัดถูกต้องสมบูรณ์ 3. ระวังความคลาดเคลื่อนหรือความผิดพลาดของการวัด เมื่อจะใช้เครื่องมือชนิดใด ต้องระวังความบกพร่องของเครื่องมือหรือวิธีการวัดของครู   หลักการวัดผลการศึกษา
  • 8. 4. ประเมินผลการวัดให้ถูกต้อง เช่น คะแนนที่เกิดจาการสอนครูต้องแปลผลให้ถูกต้องสมเหตุสมผลและมีความยุติธรรม   5. ใช้ผลการวัดให้คุ้มค่า จุดประสงค์สำคัญของการวัดก็คือ เพื่อค้นและพัฒนาสมรรถภาพของนักเรียน ต้องพยายามค้นหาผู้เรียนแต่ละคนว่า เด่น - ด้อยในเรื่องใด และหาแนวทางปรับปรุงแก้ไขแต่ละคนให้ดีขึ้น หลักการวัดผลการศึกษา
  • 9. เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผล 1. การสังเกต ( Observation)   คือ การพิจารณาปรากฎการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อค้นหาความจริงบางประการ โดยอาศัยประสาท สัมผัสของผู้สังเกตโดยตรง รูปแบบของการสังเกต 1. การสังเกตโดยผู้สังเกตเข้าไปร่วมในเหตุการณ์หรือกิจกรรม หมายถึง การสังเกตที่ผู้สังเกตเข้าไปมีส่วนร่วม หรือคลุกคลีในหมู่ผู้ถูกสังเกต และอาจร่มทำกิจกรรมด้วยกัน 2. การสังเกตโดยผู้สังเกตไม่ได้เข้าไปร่วมในเหตุการณ์ หมายถึง การสังเกตที่ผู้ถูกสังเกตอยู่ภายนอกวงของผู้ถูกสังเกต คือสังเกตในฐานะเป็นบุคคลภายนอก การสังเกตแบบ นี้แบ่งออกเป็น 2 ชนิด 2.1 การสังเกตแบบไม่มีโครงสร้าง หมายถึง การสังเกตที่ผู้สังเกตไม่ได้กำหนดหัวเรื่องเฉพาะเอาไว้ 2.2 การสังเกตแบบมีโครงสร้าง หมายถึง การสังเกตที่ผู้สังเกตกำหนดเรื่องที่จะสังเกตเฉพาะเอาไว้
  • 10. เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผล 2. การสัมภาษณ์ ( Interview) คือ การสนทนาหรือการพูดโต้ตอบกันอย่างมีจุดมุ่งหมาย เพื่อค้นหาความรู้ ความจริง ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า รูปแบบของการสัมภาษณ์ 1. การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง หมายถึง การสัมภาษณ์ที่ไม่ใช่แบบสัมภาษณ์ คือ ไม่จำเป็นต้องใช้ คำถามที่เหมือนกันหมดกับผู้ถูกสัมภาษณ์ทุกคน 2. การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง หมายถึง การสัมภาษณ์ที่ผู้สัมภาษณ์จะใช้แบบสัมภาษณ์ที่สร้างขึ้นไว้แล้ว
  • 11. เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผล 3. แบบสอบถาม ( Questionnaire) แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ ชนิดหนึ่งที่นิยมใช้กันมาก โดยเฉพาะการเก็บข้อมูลทางสังคมศาสตร์ ทั้งนี้เพราะเป็นวิธีการที่สะดวก และสามารถใช้วัดได้อย่างกว้างขวาง รูปแบบของแบบสอบถาม 1. แบบสอบถามชนิดปลายเปิด ( Open-ended Form) แบบสอบถามชนิดนี้ไม่ได้กำหนดคำตอบไว้ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ตอบเขียนตอบอย่างอิสระด้วยความคิดของตนเอง แบบสอบถามชนิดนี้ตอบยากและเสียเวลาในการตอบมาก เพราะผู้ตอบจะต้องคิดวิเคราะห์อย่างกว้างขวาง
  • 12. เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผล 2. แบบสอบถามปลายปิด ( Closed - ended Form) แบบสอบถามชนิดนี้ประกอบ ด้วย ข้อคำถามและตัวเลือก ( คำตอบ ) ซึ่งตัวเลือกนี้สร้างขึ้นโดยคาดว่าผู้ตอบ สามารถเลือกตอบ ได้ตามความต้องการ แบบสอบถามชนิดปลายปิด แบ่งเป็น 4 แบบ 2.1 แบบตรวจสอบรายการ ( Checklist) เป็นการสร้างรายการของข้อคำถามที่เกี่ยวหรือสัมพันธ์กับคุณลักษณะของพฤติกรรม แต่ละรายการจะถูกประเมิน หรือชี้ให้ตอบในแง่ใดแง่หนึ่ง เช่น มี - ไม่มี จริง - ไม่จริง
  • 13. เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผล 2.2 มาตราส่วนประมาณค่า ( Rating Scale) เป็นเครื่องมือที่ใช้ในประเมินการปฏิบัติ กิจกรรม ทักษะต่าง ๆ มีระดับความเข้มให้พิจารณาตั้งแต่ 3 ระดับขึ้นไป เช่น เห็นด้วยอย่างยิ่ง เห็นด้วย ไม่แน่ใจ ไม่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ตัวอย่าง   - ท่านเลือกเรียนครูเพราะเหตุใด โปรดเรียงอันดับตามความสำคัญของเหตุผล จากมากไปหาน้อย   เหตุผล อันดับความสำคัญเรียงจากมากที่สุด 1. มีใจรัก …………………… .. 2. หางานง่าย …………………… .. 3. ค่าใช้จ่ายถูก …………………… .. 4. ได้รับทุนอุดหนุน …………………… .. 2.4 แบบเติมคำสั้น ๆ ในช่องว่าง แบบสอบถามลักษณะนี้จะต้องกำหนดขอบเขตจำเพาะเจาะจงลงไป เช่น ปัจจุบันท่านอายุ ……………… ปี ………… . เดือน  
  • 14. เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผล 4. การจัดอันดับ ( Rank Order) เป็นเครื่องมือมือวัดผลให้นักเรียน หรือผู้ได้รับแบบสอบถามเป็นผู้ตอบ โดยการจัดอันดับความสำคัญ   หรือจัดอันดับคุณภาพ และใช้จัดอันดับของข้อมูลหรือผลงานต่าง ๆ ของนักเรียนแล้วจึงให้คะแนน ภายหลังเพื่อการประเมิน   5. การประเมินผลจากสภาพจริง ( Authentic Assessment)  หมายถึง กระบวนการสังเกต การบันทึก และรวบรวมข้อมูลจากงานและวิธีการที่นักเรียนทำ การประเมินผลจากสภาพจริงจะเน้นให้นักเรียนสามารถแก้ปัญหา เป็นผู้ค้นพบและผู้ผลิตความรู้ นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติจริง รวมทั้งเน้นพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน
  • 15. ความสำคัญྺองการประ๶มิȨลจากสภาพจริง 1. การเรียนการสอนและการวัดประเมินผลจากสภาพจริง จะเอื้อให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพของแต่ละบุคคล 2. เป็นการเอื้อต่อการเรียนการสอนที่เน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลาง 3. เป็นการเน้นให้นักเรียนได้สร้างงาน 4. เป็นการผสมผสานให้กิจกรรมการเรียนรู้และการประเมินผล 5. เป็นการลดภาระงานซ่อมเสริมของครู
  • 16. ความสำคัญྺองการประ๶มิȨลจากสภาพจริง 6. การวัดผลภาคปฏิบัติ เป็นการวัดผลงานที่ให้นักเรียนลงมือปฏิบัติ ซึ่งสามารถวัดได้ทั้งกระบวนการและผลงาน ในสถานการณ์จริง หรือในสถานการณ์จำลอง สิ่งที่ควรคำนึงในการสอบวัดภาคปฏิบัติคือ 1. ขั้นเตรียมงาน 2. ขั้นปฏิบัติงาน 3. เวลาที่ใช้ในการทำงาน 4. ผลงาน   7. การประเมินผลโดยใช้แฟ้มสะสมงาน ( Portfolios)  เป็นแนวทางการประเมินผลโดยการรวมข้อมูลที่ครูและผู้เรียนทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน โดยกระทำอย่างต่อเนื่องตลอดภาคเรียน ดังนั้นการวัดผลและประเมินผลโดยใช้แฟ้มสะสมงานส่วนหนึ่ง จะเป็นกิจกรรมที่สอดแทรกอยู่ในสภาพการเรียนประจำวัน โดยกิจกรรมที่สอดแทรกเหล่านี้จะวัด เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสภาพชีวิตประจำวัน
  • 17. ความสำคัญྺองการประ๶มิȨลจากสภาพจริง 8. แบบทดสอบ ( Test) ประเภทของแบบทดสอบ สามารถแบ่งประเภทออกได้หลายลักษณะ ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่จะใช้   1. แบ่งตามสมรรถภาพที่จะวัด   แบ่งเป็น 3 ประเภท   1.1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ( Achievement Test)  หมายถึง แบบทดสอบที่วัดสมรรถภาพสมองด้านต่าง ๆ ที่นักเรียนได้รับการเรียนรู้ผ่านมาแล้วว่ามีอยู่เท่าใด แบบทดสอบแบ่งออกเป็น 2 ชนิด 1) แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้น หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนเฉพาะกลุ่มที่ครูสอน   2) แบบทดสอบมาตรฐาน หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดผลสัมฤทธิ์มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบคุณภาพต่าง ๆ ของนักเรียนที่ต่างกลุ่มกัน เช่น แบบทดสอบมาตรฐานระดับชาติ  
  • 18. ความสำคัญྺองการประ๶มิȨลจากสภาพจริง 1.2 แบบทดสอบวัดความถนัด ( Aptitude Test)  หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดสมรรถภาพสมองของ ผู้เรียน   1) แบบทดสอบวัดความถนัดทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดความถนัดทางด้านวิชาการต่าง ๆ เช่น ด้านภาษา 2) แบบทดสอบวัดความถนัดเฉพาะ หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดความถนัดเฉพาะที่เกี่ยวกับงานอาชีพต่าง ๆ หรือความสามารถพิเศษ เช่น ความสามารถทางดนตรี  
  • 19. ความสำคัญྺองการประ๶มิȨลจากสภาพจริง 1.3 แบบทดสอบวัดบุคลิกภาพทางสังคม   หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดบุคลิกภาพและการปรับตัวให้เข้ากับ สังคม ซึ่งเป็นเรื่องที่วัด ได้ยาก ผลที่ได้ไม่คงที่แน่นอน 1) แบบทดสอบวัดเจตคติที่มีต่อบุคคล สิ่งของ เรื่องราว 2) แบบทดสอบวัดความสนใจที่มีต่ออาชีพ การศึกษา   3) แบบทดสอบวัดการปรับตัว เช่น การปรับตัวเข้ากับเพื่อน ๆ  
  • 20. ความสำคัญྺองการประ๶มิȨลจากสภาพจริง 2. แบ่งตามลักษณะการตอบ 2.1 แบบทดสอบภาคปฏิบัติ หมายถึง แบบทดสอบที่ให้นักเรียนลงมือปฏิบัติจริง เช่น การปรุงอาหาร 2.2 แบบทดสอบข้อเขียน หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้การเขียนตอบ 2.3 แบบทดสอบปากเปล่า หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้การพูดโต้ตอบแทนการเขียน 3. แบ่งตามเวลาที่กำหนดให้ตอบ 3.1 แบบทดสอบที่จำกัดเวลาในการตอบ หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้เวลาน้อย 3.2 แบบทดสอบที่ไม่จำกัดเวลาในการตอบ หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้เวลาตอบมาก
  • 21. ความสำคัญྺองการประ๶มิȨลจากสภาพจริง 4. แบ่งตามจำนวนผู้เข้าสอบ 4.1 แบบทดสอบเป็นรายบุคคล หมายถึง การสอบทีละคนมักเป็นการสอบภาคปฏิบัติ 4.2 แบบทดสอบเป็นชั้นหรือเป็นหมู่ หมายถึง การสอบทีละ หลาย ๆ คน 5. แบ่งตามสิ่งเร้าของการถาม 5.1 แบบทดสอบทางภาษา หมายถึง แบบทดสอบที่ต้องอาศัยภาษาของสังคมนั้น ๆ เป็นหลัก ใช้กับผู้ที่อ่านออกเขียนได้ 5.2 แบบทดสอบที่ไม่ใช้ภาษา หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้รูปภาพ สัญลักษณ์หรือตัวเลข
  • 22. ความสำคัญྺองการประ๶มิȨลจากสภาพจริง 6. แบ่งตามลักษณะของการใช้ประโยชน์   6.1 แบบทดสอบย่อย หมายถึง แบบทดสอบประจำบท หรือหน่วยการเรียน 6.2 แบบทดสอบรวม หมายถึง แบบทดสอบสรุปรวมเนื้อหาที่เรียนผ่านมาตลอดภาคเรียน 7. แบ่งตามเนื้อหาของข้อสอบในฉบับ 7.1 แบบทดสอบอัตนัย หมายถึง แบบทดสอบที่มีเฉพาะคำถามนักเรียนต้องคิดหาคำตอบเอง 7.2 แบบทดสอบปรนัย หมายถึง แบบทดสอบที่มีทั้งคำถามและคำตอบเฉพาะคงที่แน่นอน การวัดผลและการประเมินผลทางการศึกษา
  • 23. มีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อตัดสินว่าผู้เรียนทำอะไรได้หรือยังไม่ได้ตามจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรมที่กำหนดไว้ตามหลักสูตร โดยนำคะแนน  ที่ได้ไปเทียบกับเกณฑ์หรือมาตรฐานขั้นต่ำที่ยอมรับ    ดังนั้นการรายงานผลของคะแนน  แบบอิงเกณฑ์ จึงไม่มีการนำคะแนนของผู้สอบไปรวมกันหรือไปนำเปรียบกัน และการ  ตัดสินผลการเรียนก็สรุปว่าผ่าน หรือไม่ผ่านในจุดมุ่งหมายที่ต้องการวัดนั้น  โดยมาก  สถิติที่ใช้รายงานผลของคะแนนแบบอิงเกณฑ์ที่นิยมใช้กัน ก็คือ  สัดส่วนและเปอร์เซนต์ การประเมินผลแบบอิงเกณฑ์
  • 24. เป็นการนำคะแนนที่ได้จากผล  การสอบของผู้เรียนไปเทียบกับคนอื่นๆภายในกลุ่ม   เพื่อพิจารณาดูว่าผู้เรียนคนนั้นมี  ความสามารถอยู่ระดับใดของกลุ่ม โดยจะต้องนำคะแนนดิบไปแปลงเป็นคะแนนรูป  อื่นๆมีอยู่ 2 วิธีคือ 1. แปลงเป็นคะแนนบอกตำแหน่ง เช่น อันดับที่ (Rank) ตำแหน่งเปอร์  เซนต์ไทล์ (Percentile rank) ฯลฯ 2. แปลงเป็นคะแนนมาตรฐาน (Standard scores) เช่น คะแนนซี (Z-score) คะแนนที (T-score) คะแนนทีปกติ (Normalized T-score) คะแนนสเตไนน์ (Stanine) ฯลฯ การประเมินผลแบบอิงกลุ่ม