�ݺ�ߣ

ภาวะอุณหภูมิกายต่า (HYPOTHERMIA)
คือ ภาวะที่ร่างกายสูญเสียความร้อน จากการแผ่รังสี (RADIATION) การนาความร้อน
(CONDUCTION) การพาความร้อน (CONVECTION) และการระเหย (EVAPORATION)
จนส่งผลต่อระบบการทางานต่าง ๆ ของร่างกาย และอาจทาให้ระบบหัวใจล้มเหลว
จนเป็นเหตุให้เสียชีวิตได้

ภาวะอุณหภูมิกายต่า (HYPOTHERMIA)
โดยปกติอุณหภูมิร่างกายของมนุษย์จะอยู่ที่ 36.5-37.5°C เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายสูญเสีย
ความร้อน (BODY HEAT LOSS) อย่างต่อเนื่อง จากอุณหภูมิภายนอกที่เย็นกว่าร่างกาย
จนอุณหภูมิภายในของร่างกาย (BODY หรือ CORE TEMPERATURE) ลดลงจนต่ากว่า 36°C
แล้วจะเกิดอาการ“ภาวะตัวเย็นเกิน ” ( RICKARD, COUCHMAN, HUGHES, & MCGRAIL,
2004 ; BELL, RONCO, HANSON , & BROMAN, 2020 ; )

ความรุนแรงของภาวะอุณหภูมิกายต่า
(CLASSIFICATION FOR LEVEL OF HYPOTHERMIA)
ความรุนแรงของอาการ จะแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ
• ภาวะอุณหภูมิกายต่าเล็กน้อย (MILD HYPOTHERMIA) BT 34.0 – 35.9 °C
• ภาวะอุณหภูมิกายต่าปานกลาง (MODERATE HYPOTHERMIA) BT 32.0 – 33.9°C
• ภาวะอุณหภูมิกายต่ารุนแรง (SEVERE HYPOTHERMIA) BT < 32.0 °C

ภาวะอุณหภูมิกายต่าเล็กน้อย
(MILD HYPOTHERMIA)
• BT 34.0 – 35.9 °C
• มีอาการผิวหนังเย็น ซีด หนาวสั่น
• การเคลื่อนไหวช้าลง ซึม สับสนเล็กน้อยแต่ยังรู้สึกตัวดี
• พูดไม่ชัด การตัดสินใจลดลง กล้ามเนื้อหดเกร็ง
• อัตราการเต้นของชีพจรเร็ว ความดันโลหิตสูงขึ้น

ภาวะอุณหภูมิกายต่าปานกลาง
(MODERATE HYPOTHERMIA)
• BT 32.0 – 33.9 °C
• มีอาการผิวหนังเย็นจัด ซีดมากขึ้น ผิวหนังเขียว
• ไม่สามารถสร้างความร้อนคืนมาได้ด้วยตัวเองอีก
• สับสน ความคิดไม่ต่อเนื่อง ไม่มีเหตุผล จนพูดไม่ชัดหรือพูดโต้ตอบไม่รู้เรื่อง
• ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ REFLEX ช้าลง อาการหนาวสั่นของกล้ามเนื้อหยุดลง
• หายใจช้าลง หัวใจเต้นช้าลง หัวใจเต้นผิดจังหวะ เกิดภาวะกรดจากการเผาผลาญ

ภาวะอุณหภูมิกายต่ารุนแรง
(SEVERE HYPOTHERMIA)
• BT < 32.0 °C
• มีอาการผิวหนังเย็นจัด กล้ามเนื้อเกร็ง
• ไม่รู้สึกตัว มึนงงอย่างแรง หยุดสั่น กล้ามเนื้อแข็งเกร็งควบคุมและขยับร่างกายไม่ได้
• ชีพจรเต้นไม่เป็นจังหวะหรือเต้นอ่อน หายใจเบาและช้าลง
• ระบบต่างๆ ของร่างกายล้มเหลว
• รูม่านตาขยาย ไม่ตอบสนองต่อแสงทั้ง 2 ข้าง
• เข้าภาวะวิกฤตและถึงขั้นเสียชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

ภาวะหนาวสั่น (SHIVERING)
เมื่อร่างกายมีอุณหภูมิต่าเป็นเวลานาน จะสร้างความร้อนขึ้นมาชดเชยอัตโนมัติ ผ่านการสั่น
และกระตุกของกล้ามเนื้อลายทั่วร่างกาย ซึ่งเป็นกลไกการปรับอุณหภูมิของร่างกาย ที่ตอบสนองต่อความเย็น
หรืออุณหภูมิร่างกายที่ลดลง เพื่อสร้างความร้อนให้แก่ร่างกาย อาจทาให้ผู้ป่วยไม่สุขสบาย
มีความต้องการออกซิเจนเพิ่มสูงขึ้น 400-500% และเพิ่มการผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ร้อยละ 34
ส่งผลต่อการแลกเปลี่ยนแก๊สในปอด จากัดเลือดออกจากหัวใจ เสี่ยงต่อการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจทางานผิดปกติ
และมีโอกาสเกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเพิ่มเป็น 3 เท่า ซึ่งอาจทาให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้
(CROWLEY & BUGGY, 2008)

ทฤษฎีการปรับตัวของอุณหภูมิกาย
(THERMOREGULATION)

ทฤษฎีการปรับตัวของอุณหภูมิกาย
(THERMOREGULATION)
HTTPS://YOUTU.BE/TSUCDLKI474

ปัจจัยด้านผู้ป่วย
ที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะอุณภูมิกายต่า
• อายุ :
เด็ก : สัดส่วนของพื้นที่ผิวของร่างกายเทียบกับน้าหนักตัวของเด็กจะมากกว่าในผู้ใหญ่
การรับและถ่ายเทความร้อนจึงเป็นไปได้เร็วกว่าในผู้ใหญ่

ปัจจัยด้านผู้ป่วย
ที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะอุณภูมิกายต่า
• อายุ :
คนสูงอายุ : ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปเกิดภาวะอุณหภูมิกายต่า > ผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 60 ปี
เนื่องจากในผู้สูงอายุมีเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังและไขมันน้อย ทาให้มีการสร้างความร้อนจากเมตาบอลิซึ่มล
ดลง และมีการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือด เลือดมาเลี้ยงผิวหนังลดลง และความสามารถในการหด
ตัวของหลอดเลือดที่ผิวหนังลดลง ทาให้เกิดภาวะอุณหภูมิกายต่าได้ง่าย
จินตนา ดีป้อม, สมจิตต์เหล่าพิรุฬห์และเกษร แหมไธสง (2562)

ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะอุณภูมิกายต่า
• ปริมาณสารน้าที่ได้รับทางหลอดเลือดดา : สอดคล้องกับการศึกษา (FRANK, 2001)ที่พบว่า
ในทุกๆ 1 ลิตรของการให้สารน้าที่อุณหภูมิห้อง หรือในทุกๆ 1 ยูนิตของการให้เลือดที่อุณหภูมิ
4°C อุณหภูมิแกนของร่างกายจะลดลง 0.25°C การให้สารน้าและเลือดจึงควรอุ่นให้ได้
อุณหภูมิ 37°C

ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะอุณภูมิกายต่า
• อุณหภูมิห้อง
KAUR, BANOTH, YERRAM, & MISRA (2017) RECOMMEND ICU ROOM
TEMPERATURE AROUND 22°C - 24 °C

HYPOTHERMIA กับการเพิ่มอัตราตายใน ICU
จากการศึกษาของ (KLEKKAS P ET AL., 2018) พบว่า
• อัตราตายใน ICU จะเพิ่มเป็น 2เท่า เมื่อกาหนดเกณฑ์ HYPOTHERMIA เป็น< 36 °C
• อัตราตายใน ICU จะเพิ่มเป็น 3เท่า เมื่อกาหนดเกณฑ์ HYPOTHERMIA เป็น< 35 °C

ข้อบ่งชี้ในการพิจารณารักษาด้วย
การบาบัดทดแทนไตชนิดต่อเนื่อง (CRRT)
• INTRACTABLE ACIDOSIS
• INTRACTABLE HYPERKALEMIA
• INTRACTABLE VOLUME OVERLOAD
• UREMIA เมื่อเกิดภาวะ UREMIC ENCEPHALOPATHY / UREMIC PERICARDITIS หรือชัก
• ผู้ที่ยังมีความดันโลหิตต่า แม้ได้ยากระตุ้นความดันโลหิตขนาดสูง และต้องได้รับการบาบัดทดแทนไต
• ภาวะสมองบวมหรือมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะสมองบวม

THE INCIDENCE OF ADVERSE EVENTS
IN ADULT WHO RECEIVE CRRT
จากผลการศึกษาย้อนหลัง (AKHOUNDI ET AL., 2015) ในผู้ป่วย CRRT 595 คน พบ
• HYPOTENSION ( WITHIN THE FIRST HOUR AFTER CRRT INITIATION) 43%
• HYPOTHERMIA 44 %
• NEW ONSET ARRHYTHMIA 29 %
• NEW ONSET ANEMIA 31 %
• THROMBOCYTOPENIA 40 %

สาเหตุที่ทาให้อุณหภูมิกายต่าในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาบาบัดทดแทนไตชนิดต่อเนื่อง
1. การนาเลือดของผู้ป่วยออกมาฟอกนอกร่างกาย (EXTRACORPOREAL TREATMENT)
เพื่อเข้าสู่วงจรการฟอกเลือด ทาให้เลือดสัมผัสอุณหภูมิภายนอกเป็นเวลานานต่อเนื่อง
2. การเติมน้ายาฟอกเลือกที่ไม่ผ่านกระบวนการทาให้อุ่น (DIALYSATE AND/OR REPLACEMENT FLUID WARMING)
HYPOTHERMIA เกิดขึ้น 40-50% ในผู้ป่วย CRRT และเกิดขึ้นประมาณ 50% ใน CVVHD
• สูญเสียอุณหภูมิมากขึ้นจาก SLOWER BLOOD FLOW RATE & FASTER DIALYSATE RATE
• อันตรายจาก HYPOTHERMIA จะเพิ่มมากขึ้นได้จาก SEDATION, IMMOBILITY, PARALYTIC DRUGS, SEPSIS, UNDERLYING,
ENDOCRINE DISORDERS, INTOXICATION, AND HIGHER CRRT DOSE
(KAUR ET AL.,2017)

จากผลการศึกษาย้อนหลัง (AKHOUNDI ET AL., 2015) ในผู้ป่วย CRRT 595 คน พบว่า
- 98% ของผู้ป่วย ON CVVH จะมีภาวะ HYPOTHERMIA ใน 4 วัน
- REPLACEMENT FLUIDS WERE WARMED TO 38.9°C
ผลการศึกษาพบว่าหลัง RUN CRRT อุณหภูมิกายจะลดลงประมาณ 1.7 °C

จากผลการศึกษาย้อนหลัง (RICKARD CM ET AL., 2004) พบว่า IV FLUID
WARMING ไม่ช่วยป้องกัน HYPOTHERMIA
- IV FLUID WARMER SET 38.5°C
- CORE TEMPERATURE WAS RECORDED AT BASELINE, THEN HOURLY
ผลการศึกษาพบว่าการสูญเสียอุณหภูมิและภาวะ HYPOTHERMIA ระหว่างผู้ป่วย
ที่ได้รับ WARM FLUID กับ WITHOUT WARM FLUID ไม่แตกต่างกัน

หลักการ WARM ของเครื่องล้างไตชนิดต่างๆ
• BLOOD WARMER
PRISMA : TEMP SET 33.0°C TO 43.0°C (± 1°C)
• FLUID HEATER
AQUARIUS : TEMP SET 35-39°C
OMNI : TEMP SET 20-39°C
INFORMED = TEMP SET 35-38°C

การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาบาบัดทดแทนไตชนิดต่อเนื่อง (CRRT)
1. ประเมินและบันทึกสัญญาณชีพและอาการเปลี่ยนแปลงทุก 15 นาที X 4 ครั้ง
ทุก 30 นาที X 2 ครั้ง และทุก 60 นาที เมื่อสัญญาณชีพคงที่
2. ประเมินและป้องกันภาวะแทรกซ้อนระหว่างการฟอกเลือด เช่น ภาวะความดันโลหิตต่า
และอาการหน้ามืด ใจสั่น คลื่นไส้อาเจียน ชาตามปลายมือปลายเท้า และปวดหลัง หมดสติจาก
ภาวะแพ้ตัวกรองได้
3. ดูแลตั้งอัตราการไหลของเลือดและน้ายาล้างไตให้เป็นไปตามแผนการรักษาของแพทย์

การพยาบาลผู้ป่ วยที่ได้รับการรักษาบาบัดทดแทนไตชนิดต่อเนื่อ (CRRT)
•4. ปรับและตั้งอุณหภูมิของ BLOOD WARMER ในเครื่อง CRRT = 37°C ตามแนวทาง
CNPG (CLINICAL NURSING PRACTICE GUIDELINES: CNPG) ของหน่วยงาน (KARKAR,2019)
และติดตามภาวะอุณหภูมิกายต่าหรือสูง ทุก 2 - 4 ชั่วโมง พร้อมทั้งสังเกตอาการ
HYPOTHERMIA หากพบอาการดังกล่าวให้แก้ไขโดย ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการอบอุ่นร่างกาย
เพื่อรักษาระดับอุณหภูมิในร่างกายให้ผู้ป่วย

5. ติดตามและประเมินผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ SERUM BUN/CR ELECTROLYTE CA PO4 MG GLUCOSE ทุก 8-12
ชั่วโมงเพื่อประเมินการให้สารน้าทดแทนและการดึงสารน้าออกจากร่างกาย
6. ติดตามผลความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดทุกวัน เพื่อประเมินการสูญเสียเลือดจากการอุดตันของวงจรและตัวกรองและประเมินภาวะติด
เชื้อในร่างกาย
7. ดูแลป้องกันและเฝ้าระวังการติดเชื้อบริเวณสายสวนหลอดเลือดดาส่วนกลาง ใช้เทคนิคปราศจากเชื้อ (ASEPTIC TECHNIQUE) ในการ
ให้การพยาบาลผู้ป่วย สังเกตบริเวณที่คาสายสวนหลอดเลือดดาส่วนกลาง ถ้ามีความผิดปกติ เช่น บริเวณที่คาสายสวนมีลักษณะบวม
แดง มีDISCHARGE ซึม มีกลิ่นเหม็น มีไข้ ควรรีบรายงานแพทย์เพื่อประเมินและให้ยาปฏิชีวนะ
8. ดูแลการทางานของวงจร CRRT ให้ทางานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยดูแลสายส่งเลือดไม่ให้พักพับงอ หรือเลื่อนหลุด ตรวจสอบระบบ
ป้องกันฟองอากาศและการรั่วซึมของเลือดออกจากตัวกรองเลือด เพื่อเฝ้าระวังการเกิดฟองอากาศในระบบ ติดตามและบันทึกค่าแรงดัน
ในตาแหน่งต่าง ๆ ทุก1 ชั่วโมง เพื่อประเมินการอุดตันในระบบและเฝ้าระวังการเกิดลิ่มเลือดอุดตันของตัวกรองและระบบสายส่งเลือด
การพยาบาลผู้ป่ วยที่ได้รับการรักษาบาบัดทดแทนไตชนิดต่อเนื่อ (CRRT)

การป้องกันการเกิดภาวะอุณหภูมิกายต่าและอาการหนาวสั่น
(PREVENTION OF HYPOTHERMIA AND SHIVERING)
1. CUTANEOUS WARMING
1.1 PASSIVE INSULATION
1.2 ACTIVE CUTANEOUS WARMING SYSTEM
2. INTRAVENOUS FLUID WARMING
3. WARMED IRRIGATION FLUID

1.1 PASSIVE INSULATION คือ การใช้วัสดุที่สามารถกระจายความร้อนเพียงเล็กน้อย
และเป็นฉนวนกั้นระหว่างผู้ป่วยกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งกลไกการทางานต้องอาศัยชั้นของอากาศ
ระหว่างผ้าคลุมกับผิวหนังของผู้ป่วย และประสิทธิภาพของการอบอุ่นประเภทนี้ขึ้นกับพื้นที่
ของผ้าคลุม ตัวอย่างได้แก่ ผ้าคลุมผ่าตัด (SURGICAL DRAPING) ผ้าห่มสาลี (COTTON
BLANKET) พลาสติกคลุม (PLASTIC SHEETING) ผ้าห่มที่มีส่วนประกอบของวัสดุสะท้อน
ความร้อน (REFLECTIVE BLANKET)

1.2 ACTIVE CUTANEOUS WARMING SYSTEM เป็นระบบการอบอุ่นร่างกายผ่านทางผิวหนัง
ที่ต้องใช้พลังงานความร้อนในการให้ความอบอุ่นโดยมีอุปกรณ์ที่ช่วยให้ความอบอุ่นหลายชนิด
แต่ที่นิยมใช้คือผ้าห่มเป่าลมร้อน (FORCED-AIR WARMING) เป็นอุปกรณ์อบอุ่นร่างกายที่ใช้หลักการ
พาความร้อนโดยการดูดซับเอาอากาศร้อนที่ผิวหนัง

จากการศึกษาของ SMITH AND WAGNER (2008) พบว่าการตั้งอุณหภูมิในการอุ่นเลือดโดยใช้
อุปกรณ์อุ่นที่ 42 ๐C ไม่มีผลทาให้เกิดการแตกของเม็ดเลือดแดง เช่นเดียวกับ MADHUSUDANAN AND
SINGH (2003) พบว่าการอุ่นเลือดที่ความร้อนมากกว่า 42 ๐C จะทาให้โปรตีนถูกทาลาย ทาให้เซลล์เม็ด
เลือดแดงแตกได้

สอดคล้องกับการศึกษาของ HASANKHANI ET AL. (2007) ในการใช้สารน้าที่อุ่นที่
อุณหภูมิ 39.5๐C และสารน้าที่อุณหภูมิห้อง 24.4 ๐C พบว่ากลุ่มที่ให้สารน้าที่มีอุณหภูมิ
เท่ากับอุณหภูมิห้องเกิดภาวะอุณหภูมิกายต่ามากกว่ากลุ่มที่มีการอุ่นสารน้า
และจากการศึกษา PUTZU ET AL. (2007) พบว่าการให้สารน้าชนิด CRYSTALLOID 1 ลิตร
หรือเลือดที่ออกมาจากตู้เย็น 1 ยูนิต ทาให้อุณหภูมิแกนลดลงประมาณ 0.25๐C

3. WARMED IRRIGATION FLUID
สารน้าที่ใช้ในการล้างหรือใส่เข้าไปในบริเวณผ่าตัดมีผลทาให้อุณหภูมิแกนของผู้ป่วยลดลง
หากไม่ได้รับการอุ่นก่อนให้สาหรับอุณหภูมิของสารน้าที่ใช้อยู่ที่ 37 ๐C ตามคาแนะนาของ
THE ASSOCIATION OF PERIOPERATIVE REGISTERED NURSES (AORN) (CLARKE, 2008)

ADDITIONAL EXTERNAL WARMING
(KAUR G ET AL., 2017)
• PASSIVE EXTERNAL REWARMING (COVERING PATIENT WITH BLANKETS)
• ALLOWS NORMAL THERMOGENESIS TO INCREASE BODY TEMPERATURE
• CAN RAISE BODY TEMPERATURE BY 0.5°C/HOUR
• PATIENT SHIVERING MECHANISM MUST BE INTACT TO BE EFFECTIVE
• ACTIVE EXTERNAL REWARMING (WARM BLANKETS, HEATING PADS, WARM FORCED AIR)
• CAN RAISE BODY TEMPERATURE BY 1-2.5°C/HOUR

PREVENTING INADVERTENT HYPOTHERMIA
: COMPARING TWO PROTOCAL FOR PREOPERATIVE FORCED-AIR WARMING.
(COBBE, K., DIP, G., STASO, R.D., DUFF, J., WALKER, K., & DRAPER, N., 2012)
วิธีวิจัย : กลุ่มตัวอย่างจะได้รับการทดลองทั้ง 2 วิธี โดยแบ่งกลุ่มทดลอง 5 คน ได้รับ
PROTOCOL A คือ การอบอุ่นร่างกายด้วยผ้าห่มเป่าลมร้อนที่เริ่มต้นที่ 43 ๐C และค่อยๆลดลงทีละขั้น
3 ครั้ง ห่างกัน 15 นาที ทาการทดลองใน 60 นาที หลังจากนั้นพักไป 24 ชั่วโมง และกลับมาทดลอง
PROTOCOL B คือ การอบอุ่นร่างกายด้วยผ้าห่มเป่าลมร้อนเช่นเดียวกันแต่จะเริ่มต้นที่อุณหภูมิลมที่
38 ๐C และค่อยๆ เปิดขึ้นไปทีละขั้น 3 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 15 นาที ใช้เวลาทดลอง 60 นาที
ในขณะเดียวกันกลุ่มตัวอย่างอีก 5 คน เริ่มต้นด้วย PROTOCOL B ก่อน และหยุดพักไป 24 ชั่วโมงจึง
ทดลอง PROTOCOL A

PREVENTING INADVERTENT HYPOTHERMIA
: COMPARING TWO PROTOCAL FOR PREOPERATIVE FORCED-AIR WARMING.
(COBBE, K., DIP, G., STASO, R.D., DUFF, J., WALKER, K., & DRAPER, N., 2012)
ผลการวิจัย :
- พบว่าค่าเฉลี่ยของอุณหภูมิเครื่องมือและค่าเฉลี่ยของเวลาที่ใช้ PROTOCOL A สูงและนานกว่า PROTOCOL B
- เปรียบเทียบคะแนนความสุขสบายจากอุณหภูมิ และอุณหภูมิกาย ทั้ง 2 PROTOCAL ไม่มีความแตกต่างกัน
- กลุ่มตัวอย่างชอบ PROTOCAL A มากกว่า PROTOCAL B (ร้อยละ 70 และ 30 ตามลาดับ)
การวิเคราะห์/การสังเคราะห์ และการนาไปใช้ :
การปรับผ้าห่มเป่าลมร้อนให้มีประสิทธิภาพ ความสุขสบาย และความชอบของกลุ่มตัวอย่างโดยการปรับอุณหภูมิ
ที่สูงก่อนแล้วค่อยๆ ลดลง จะทาให้กลุ่มตัวอย่างมีความสุขสบายและชอบมากกว่า

REFERENCE
- จินตนา ดีป้อม, สมจิตต์เหล่าพิรุฬห์, และเกษร แหมไธสง. (2562). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะอุณหูมิกายต่าในผู้ป่วยผ่าตัดที่ได้รับยาระงับความรู้สึกแบบทั่วร่างกายในโรงพยาบาลกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี.
วารสารการพยาบาลสุขภาพ และการศึกษา, 2(3), 3-10.
- ฐิติมา จานงค์เลิศ และคณะ, อุบัติการณ์และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะอุณหภูมิกายต่าในผู้ป่วยขณะผ่าตัด. วารสารสมาคมพยาบาลห้องผ่าตัดแห่งประเทศไทย ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม
2555 :19-30.
- รจนาถ หอมดี และคณะ. ผลของโปรแกรมการให้ข้อมูลเตรียมความพร้อมอย่างมีแบบแผนร่วมกับการใช้ผ่าห่มแบบเป่าลมร้อนต่ออุณหภูมิของร่างกายและภาวะหนาวสั่นในผู้สูงอายุผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม. วารสาร
พยาบาลตารวจ ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2555 : 57-68.
- AKHOUNDI A, SINGH B, VELA M, CHAUDHARY S, MONAGHAN M, WILSON GA, DILLON JJ, CARTIN-CEBAR, LIESKEJC, GAJIC O, KASHANIK.
INCIDENCE OF ADVERSE EVENTS DURING CONTINUOUS RENAL REPLACEMENT THERAPY. BLOOD PURIF. 2015;39(4):333-9.
- BELL M, RONCO C, HANSSON F, & BROMAN M, (2020).HYPOTHERMIA DURING CRRT , A COMPARATIVE ANALYSIS. ACTA ANAESTHESIOL
SCAND, STOCKHOLM,SWEDENT:JOHN WILEY & SONS LTD
- BLOCK, M., MULLER, J., BACH, A., ET AL. EFFECT OF PREINDUCTION AND INTRAOPERATIVE WARMING DURING MAJOR LAPAROTOMY.
BRITISH JOURNAL OF ANESTHESIA. 1998;80(20): 276-82.
- CROWLY, L. J. AND BUGGY, D. J. SHIVERING AND NEURAXIAL ANESTHESIA. REGIONAL ANESTHESIA AND PAIN MEDICINE. 2008;33(3):
241-252
- FRANK S M, CONSEQUENCES OF HYPOTHERMIA. CURRENT ANESTHESIA & CRITICAL CARE 2001;12:79-86.
- KARKAR AYMAN. (2019). CONTINUOUS RENAL REPLACEMENT THERAPY:PRINCIPLE,MODALITIES,ANDPRESCRIPTION. SAUDI J KIDNEY DIS
TRANSPL, 30(6),1201-12009
- KAUR G, BANOTH P, YERRAM P, MISRA M. A CASE OF HYPOTHERMIA ON CRRT. HEMODIALINT. 2017 OCT;21 SUPPL2:S57-S61.
- KIEKKASP, FLIGOUF, IGOUMENIDISM, STEFANOPOULOSN, KONSTANTINOUE, KARAMOUZOSV, ARETHA D. INADVERTENT HYPOTHERMIA AND
MORTALITY IN CRITICALLY ILL ADULTS: SYSTEMATIC REVIEW AND META-ANALYSIS. AUSTCRITCARE. 2018 JAN;31(1):12-22.
- RICKARD CM, COUCHMANBA, HUGHES M, MCGRAILMR. PREVENTING HYPOTHERMIA DURING CONTINUOUS VENO-VENOUS
HAEMODIAFILTRATION: A RANDOMIZED CONTROLLED TRIAL. J ADVNURS. 2004 AUG;47(4):393-400
- SEQUEIRA, H.R.,MOHAMED,H.E.,HAKIMI,N.,WAKEFIELD,D.B.,& FINE,J. (2007). A DUIDELINE-BASE POLICY TO DECREASE INTENSIVE CARE UNIT ADMISSION RATE
FOR ACCIDENTAL HYPOTHERMIA .DOI:1177/0885066617731337JOURNALS.SAGEPUB.COM/HOME/JJC
- STOLTMAN BRITTANY, “CONTINUOUS RENAL REPLACEMENT THERAPY:EDUCATING NURSE FOR PREVENTION OF COMPLICATION” (2018).
NURSING CAPTONES.232. HTTPS://COMMONS.UND.EDU/NURS-CAPSTONES/232

�ݺ�ߣ

Hypothermia

Recommended

More Related Content

What's hot (20)

Similar to Hypothermia (9)

Hypothermia