ݺߣ

ݺߣShare a Scribd company logo
ความรู้ที่๶กี่ยวกับภาคตัดกรวย
ภาคตัดกรวย   ( conic section  หรือ  conic)  ในทางคณิตศาสตร์ หมายถึง  เส้นโค้ง ที่ได้จากการตัด พื้นผิวกรวย กลม ด้วย ระนาบ แบน ภาคตัดกรวยนี้ถูกตั้งเป็นหัวข้อศึกษาตั้งแต่สมัย  200  ปีก่อนคริสต์ศักราชโดย  อพอลโลเนียส  แห่ง  เพอร์ กา  ผู้ซึ่งศึกษาภาคตัดกรวยและค้นพบสมบัติหลายประการของภาคตัดกรวย ต่อมากรณีการศึกษาภาคตัดกรวยถูกนำไปใช้ประโยชน์หลายแบบ ได้แก่ ในปี พ . ศ . 2133 ( ค . ศ . 1590)  กาลิเลโอ กาลิเลอี พบว่าขีปนาวุธที่ยิงขึ้นไปในมุมที่กำหนดมีวิถีการเคลื่อนที่โค้งแบบพาราโบลา ,  ใน พ . ศ . 2152 ( ค . ศ . 1609)  โยฮันส์ เคปเลอร์ พบว่าวงโคจรของดาวเคราะห์รอบนอกเป็นรูปวงรี เป็นต้น
ชนิดของภาคตัึϸรวย   วงกลม  และ  วงรี  คือ เส้นโค้งซึ่งได้จากการตัดกรวย ด้วยระนาบ ให้ได้ เส้นโค้งปิด   ( เป็นวง )  วงกลมนั้นถือเป็นกรณีพิเศษของวงรี โดยแนวของระนาบในการตัดนั้น ตั้งฉากกับแกนกลางของกรวย หากระนาบตัดกรวยในแนวขนานกับเส้นขอบของกรวย หรือเรียก เส้นกำเนิดกรวย  ( generator line)  จะได้เส้นโค้งเรียกว่า  พาราโบลา  หากระนาบไม่อยู่ในแนวขนานเส้นขอบ และตัด   กรวยได้เส้นโค้งเปิดไม่เป็นวง จะเรียกเส้นโค้งนี้ว่า  ไฮเพอร์โบลา  จะเห็นได้ว่าในกรณีนี้ระนาบจะตัดกรวยทั้งครึ่งบน และครึ่งล่าง ได้เป็นเส้นโค้งที่ขาดจากกันสองเส้น ในกรณีที่เรียกว่าในภาษาอังกฤษว่า ดีเจนเนอเรต ระนาบจะตัดผ่านจุดยอดของกรวย และได้ผลของการตัดเป็น  จุด   เส้นตรง  หรือ เส้นตรงสองเส้นตัดกัน กรณีเหล่านี้ไม่ได้ถูกรวมไว้ในภาคตัดกรวย
ภาคตัดกรวยจากทาง๶ึϸȨองจุด     แต่ละประเภทของภาคตัดกรวยนั้น สามารถนิยามโดยการใช้เส้นทางเดินของจุด โดยทุก ๆ จุด  P   บนเส้นทางเดิน จะต้องเป็นไปตามคุณสมบัติเฉพาะดังนี้
วงกลม  :  ระยะ ( P,C ) =  r   โดยที่  C คือจุดตายตัวเรียกว่า  จุดศูนย์กลาง  และ  r   คือค่าคงที่ เรียกว่า  รัศมี   พาราโบลา  :  ระยะ ( P,F ) =  ระยะ ( P,L )  โดยที่  F   คือจุดตายตัว เรียกว่า  จุดโฟกัส  และ  L   คือ เส้นตรง กำหนดตายตัว และไม่ผ่านจุดโฟกัส เรียกว่า  ไดเรกทริกซ์   วงรี  :  ระยะ ( P,A ) +  ระยะ ( P,B ) =  d   โดยที่  A ,   B   เป็นจุดตายตัวสองจุดที่แตกต่างกัน เรียกว่า  จุดโฟกัส  และ  d   เป็นค่าคงที่ ที่มีค่ามากกว่า ระยะ ( A,B )  เรียกว่า  เส้นผ่านศูนย์กลางหลัก   ไฮเพอร์โบลา  :  ระยะ ( P,A ) -  ระยะ ( P,B ) =  d   โดยที่  A ,   B   เป็นจุดตายตัวสองจุดที่แตกต่างกัน เรียกว่า  จุดโฟกัส  และ  d   เป็นค่าคงที่ ที่มีค่าน้อยกว่า ระยะ ( A
ความเยื้อง  ( Eccentricity)  ค่าความเยื้อง หรือ ค่าความเบี่ยงเบนจากศูนย์กลาง  ( eccentricity)  ของภาคตัดกรวย เป็นค่าบ่งชี้ถึงความเบี้ยว หรือ เบี่ยงเบนไปจากความกลม โดยเมื่อความเยื้องมีค่าลดลง รูปร่างของภาคตัดกรวยที่ได้จะมีรูปร่างเข้าใกล้ทรงกลมมากขึ้น ถ้าเส้นตรง  L   คือไดเรกทริกซ์ และ  F   คือ จุดโฟกัส ค่าความเยื้อง หาได้จาก
คือ ระยะทางจากจุด ใดๆ บนภาคตัดกรวย ไปยังจุดโฟกัส  คือ ระยะทางจากจุด ใดๆ บนภาคตัดกรวย ไปตั้งฉากกับไดเรกทริกซ์  รูปร่างของภาคตัดกรวยที่ได้ ขึ้นกับค่า โดย เป็นรูปวงรี  เป็นรูปพาราโบลา  เป็นรูปไฮเพอร์โบลา  โดยที่
ภาคตัดกรวยกับเรྺาคณิตวิเคราะห์     บน ระบบพิกัด คาร์ ทีเซียน  กราฟของสมการสองตัวแปร กำลังสอง   ( quadratic equation)  จะเป็นรูปภาคตัดกรวยเสมอ หากเราพิจารณาสมการที่อยู่ในรูป   ถ้า  h 2 =  ab   แล้ว จะได้สมการของรูป  พาราโบลา   ถ้า  h 2  <   ab   และ  a   b   และ / หรือ  h 0  แล้ว จะได้สมการของรูป  วงรี   ถ้า  h 2  >   ab   แล้ว จะได้สมการของรูป  ไฮเพอร์โบลา   ถ้า  h 2  <   ab   and   a  =  b   and   h  = 0  แล้ว จะได้สมการของรูป  วงกลม   ถ้า  a  +  b  = 0  แล้ว จะได้สมการของรูป  ไฮเพอร์โบลามุมฉาก   แล้ว :
รูปแสดงการตัดกรวยด้วยระนาดในแนวต่าง ๆ
เซมิเลตัสเรกตัม และ ระบบพิกัดเชิงขั้ว  เซมิเลตัสเรกตัม ของภาคตัดกรวย ปกติเขียนแทนด้วย  l   คือ ระยะทางจากจุดโฟกัสหนึ่ง ไปยังภาคตัดกรวย โดยวัดตั้งฉากกับแกนหลัก  ( major axis )  มีความสัมพันธ์กับ  a   และ  b   โดย  หรือ  ใน ระบบพิกัดเชิงขั้ว นั้น ภาคตัดกรวยที่มีจุดโฟกัสหนึ่งอยู่ที่จุดออริจิน และอีกจุดหนึ่ง ( หากมี )  บนแกน  x   ด้านบวก จะกำหนดโดยสมการต่อไปนี้
๶ซไมลาตัส๶รกตัมྺองวงรี
คุณสมบัติทั่วไป ภาคตัดกรวยนั้นมีรูปร่างที่มนสม่ำเสมอ ไม่มี จุดเปลี่ยนโค้ง   ( inflection point)  ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่มีความสำคัญต่อการใช้งานหลายประเภท เช่น การใช้งานเกี่ยวกับ แอโรไดนามิกส์  ซึ่งพื้นผิวนั้นจำเป็นต้องออกแบบเพื่อให้ของไหล ไหลผ่านอย่างสม่ำเสมอ  ( laminar   flow)  เพื่อป้องกันการเกิด การไหลทะลัก   ( turbulence)
การประยุกต์ใช้งาน   ภาคตัดกรวยนั้นได้มีความสำคัญต่อ ดาราศาสตร์  โดย วงโคจรของวัตถุสองชิ้นซึ่งมี แรงดึงดูด กระทำต่อกัน ตามกฏของ นิว ตัน  นั้นจะมีรูปร่างเป็นภาคตัดกรวย หาก จุดศูนย์กลางมวล   ( center of mass)  ร่วมของทั้งสองวัตถุนั้นอยู่นิ่ง หากทั้งสองนั้นถูกดึงดูดอยู่ด้วยกัน ทางเดินของทั้งสองนั้นจะเป็นรูปวงรี หากวัตถุทั้งสองวิ่งออกจากกัน ทางเดินจะเป็นรูปพาราโบลา หรือ ไฮเปอร์โบลา ดู  ปัญหาวัตถุ  N  ชิ้น
ใน เรขาคณิตเชิงภาพฉาย   ( projective geometry)  นั้น ภาพฉายบนระนาบ ของภาคตัดกรวยแต่ละชนิดนั้นจะเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะการฉาย หรือที่เรียกว่า  การแปลงเชิงภาพฉาย   ( projective transformation) สำหรับการประยุกต์ใช้งานเฉพาะของภาคตัดกรวยแต่ละชนิดนั้น ดูที่บทความ  วงกลม   วงรี   พาราโบลา   ไฮเพอร์โบลา
ความรู้นี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขข้อมูลใหม่ ๆ

More Related Content

Viewers also liked (13)

PDF
ภาคตัดกรวย
Setthawut Ruangbun
PDF
พาราโบลา2
kru na Swkj
PDF
สื่อการเรียนรู้ ภาคตัดกรวย
Setthawut Ruangbun
PPT
ภาคตัดกรวย
guest00db6d99
PPT
ภาคตัดกรวย
Roongnapa Siripapraseadporn
PDF
ภาคตัดกรวย
Jiraprapa Suwannajak
PDF
วงกลมวงรี
Jiraprapa Suwannajak
PDF
Conic section-clip vidva
Yoothapichai KH
PPT
Lesson 8 conic sections - parabola
Jean Leano
PDF
Conic section
Theepakorn Boonpleng
PPTX
Conic Sections- Circle, Parabola, Ellipse, Hyperbola
Naman Kumar
PPT
Conic Section
Ashams kurian
PPTX
CONIC SECTIONS AND ITS APPLICATIONS
Jaffer Sheriff
ภาคตัดกรวย
Setthawut Ruangbun
พาราโบลา2
kru na Swkj
สื่อการเรียนรู้ ภาคตัดกรวย
Setthawut Ruangbun
ภาคตัดกรวย
guest00db6d99
ภาคตัดกรวย
Roongnapa Siripapraseadporn
ภาคตัดกรวย
Jiraprapa Suwannajak
วงกลมวงรี
Jiraprapa Suwannajak
Conic section-clip vidva
Yoothapichai KH
Lesson 8 conic sections - parabola
Jean Leano
Conic Sections- Circle, Parabola, Ellipse, Hyperbola
Naman Kumar
Conic Section
Ashams kurian
CONIC SECTIONS AND ITS APPLICATIONS
Jaffer Sheriff

Similar to ภาคตัดกรวย (20)

PDF
4conic_formula.pdf
SunisaTheswan
DOC
กิจกรรมที่1
rdschool
DOC
กิจกรรมที่1
rdschool
DOC
กิจกรรมที่1
rdschool
PDF
Analytic geometry
wongsrida
PDF
Analytic geometry2555
wongsrida
PDF
Student-pilot-handbook-by-tutor ferry (Ex)
Tutor Ferry
PDF
Trigonometry1
Thanuphong Ngoapm
PDF
ฟังก์ชันตรีโกณมติ 2014
Nattakarn Namsawad
PDF
Calculus
love_dsus2
PDF
84 สถิติและการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่11_ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล1
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
PDF
History
Aon Narinchoti
PDF
สรุปสูตรคณิตศาสตร์
wisita42
PDF
การคำนวณปรับแก้สำหรับการแปลงพิกัด
Chokchai Puatanachokchai
PDF
Analytic geometry1
Thanuphong Ngoapm
PDF
ประมวลรายวิชา คณิตศาสตร์เพิ่มเติม2 ค31202
Aun Wny
PPT
ตรีโกณมิต..1
Jiraprapa Suwannajak
PDF
บทที่ 2 เวกเตอร์วิเคราะห์
Gawewat Dechaapinun
4conic_formula.pdf
SunisaTheswan
กิจกรรมที่1
rdschool
กิจกรรมที่1
rdschool
กิจกรรมที่1
rdschool
Analytic geometry
wongsrida
Analytic geometry2555
wongsrida
Student-pilot-handbook-by-tutor ferry (Ex)
Tutor Ferry
Trigonometry1
Thanuphong Ngoapm
ฟังก์ชันตรีโกณมติ 2014
Nattakarn Namsawad
Calculus
love_dsus2
84 สถิติและการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่11_ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล1
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์
สรุปสูตรคณิตศาสตร์
wisita42
การคำนวณปรับแก้สำหรับการแปลงพิกัด
Chokchai Puatanachokchai
Analytic geometry1
Thanuphong Ngoapm
ประมวลรายวิชา คณิตศาสตร์เพิ่มเติม2 ค31202
Aun Wny
ตรีโกณมิต..1
Jiraprapa Suwannajak
บทที่ 2 เวกเตอร์วิเคราะห์
Gawewat Dechaapinun
Ad

More from guest00db6d99 (13)

PPT
ยิȨีต้อȨับสู่ความคิดทางเรྺาคณิต
guest00db6d99
PPT
ยิȨีต้อȨับสู่ความคิดทางเรྺาคณิต
guest00db6d99
PPT
ยิȨีต้อȨับสู่
guest00db6d99
PPT
ยิȨีต้อȨับสู่
guest00db6d99
PPT
ยิȨีต้อȨับสู่
guest00db6d99
PPT
ยิȨีต้อȨับสู่
guest00db6d99
PPT
ยิȨีต้อȨับสู่
guest00db6d99
PPT
ยิȨีต้อȨับสู่
guest00db6d99
PPT
การไึϹยิน(อ.Ȩป3)
guest00db6d99
PPT
การไึϹยิน(อ.Ȩป2)
guest00db6d99
PPT
การไึϹยิน(อ.Ȩป2)
guest00db6d99
PPT
การไึϹยิน(อ.Ȩป2)
guest00db6d99
PPT
(อ.Ȩป)
guest00db6d99
ยิȨีต้อȨับสู่ความคิดทางเรྺาคณิต
guest00db6d99
ยิȨีต้อȨับสู่ความคิดทางเรྺาคณิต
guest00db6d99
ยิȨีต้อȨับสู่
guest00db6d99
ยิȨีต้อȨับสู่
guest00db6d99
ยิȨีต้อȨับสู่
guest00db6d99
ยิȨีต้อȨับสู่
guest00db6d99
ยิȨีต้อȨับสู่
guest00db6d99
ยิȨีต้อȨับสู่
guest00db6d99
การไึϹยิน(อ.Ȩป3)
guest00db6d99
การไึϹยิน(อ.Ȩป2)
guest00db6d99
การไึϹยิน(อ.Ȩป2)
guest00db6d99
การไึϹยิน(อ.Ȩป2)
guest00db6d99
(อ.Ȩป)
guest00db6d99
Ad

ภาคตัดกรวย

  • 2. ภาคตัดกรวย ( conic section หรือ conic) ในทางคณิตศาสตร์ หมายถึง เส้นโค้ง ที่ได้จากการตัด พื้นผิวกรวย กลม ด้วย ระนาบ แบน ภาคตัดกรวยนี้ถูกตั้งเป็นหัวข้อศึกษาตั้งแต่สมัย 200 ปีก่อนคริสต์ศักราชโดย อพอลโลเนียส แห่ง เพอร์ กา ผู้ซึ่งศึกษาภาคตัดกรวยและค้นพบสมบัติหลายประการของภาคตัดกรวย ต่อมากรณีการศึกษาภาคตัดกรวยถูกนำไปใช้ประโยชน์หลายแบบ ได้แก่ ในปี พ . ศ . 2133 ( ค . ศ . 1590) กาลิเลโอ กาลิเลอี พบว่าขีปนาวุธที่ยิงขึ้นไปในมุมที่กำหนดมีวิถีการเคลื่อนที่โค้งแบบพาราโบลา , ใน พ . ศ . 2152 ( ค . ศ . 1609) โยฮันส์ เคปเลอร์ พบว่าวงโคจรของดาวเคราะห์รอบนอกเป็นรูปวงรี เป็นต้น
  • 3. ชนิดของภาคตัึϸรวย วงกลม และ วงรี คือ เส้นโค้งซึ่งได้จากการตัดกรวย ด้วยระนาบ ให้ได้ เส้นโค้งปิด ( เป็นวง ) วงกลมนั้นถือเป็นกรณีพิเศษของวงรี โดยแนวของระนาบในการตัดนั้น ตั้งฉากกับแกนกลางของกรวย หากระนาบตัดกรวยในแนวขนานกับเส้นขอบของกรวย หรือเรียก เส้นกำเนิดกรวย ( generator line) จะได้เส้นโค้งเรียกว่า พาราโบลา หากระนาบไม่อยู่ในแนวขนานเส้นขอบ และตัด กรวยได้เส้นโค้งเปิดไม่เป็นวง จะเรียกเส้นโค้งนี้ว่า ไฮเพอร์โบลา จะเห็นได้ว่าในกรณีนี้ระนาบจะตัดกรวยทั้งครึ่งบน และครึ่งล่าง ได้เป็นเส้นโค้งที่ขาดจากกันสองเส้น ในกรณีที่เรียกว่าในภาษาอังกฤษว่า ดีเจนเนอเรต ระนาบจะตัดผ่านจุดยอดของกรวย และได้ผลของการตัดเป็น จุด เส้นตรง หรือ เส้นตรงสองเส้นตัดกัน กรณีเหล่านี้ไม่ได้ถูกรวมไว้ในภาคตัดกรวย
  • 4. ภาคตัดกรวยจากทาง๶ึϸȨองจุด แต่ละประเภทของภาคตัดกรวยนั้น สามารถนิยามโดยการใช้เส้นทางเดินของจุด โดยทุก ๆ จุด P บนเส้นทางเดิน จะต้องเป็นไปตามคุณสมบัติเฉพาะดังนี้
  • 5. วงกลม : ระยะ ( P,C ) = r โดยที่ C คือจุดตายตัวเรียกว่า จุดศูนย์กลาง และ r คือค่าคงที่ เรียกว่า รัศมี พาราโบลา : ระยะ ( P,F ) = ระยะ ( P,L ) โดยที่ F คือจุดตายตัว เรียกว่า จุดโฟกัส และ L คือ เส้นตรง กำหนดตายตัว และไม่ผ่านจุดโฟกัส เรียกว่า ไดเรกทริกซ์ วงรี : ระยะ ( P,A ) + ระยะ ( P,B ) = d โดยที่ A , B เป็นจุดตายตัวสองจุดที่แตกต่างกัน เรียกว่า จุดโฟกัส และ d เป็นค่าคงที่ ที่มีค่ามากกว่า ระยะ ( A,B ) เรียกว่า เส้นผ่านศูนย์กลางหลัก ไฮเพอร์โบลา : ระยะ ( P,A ) - ระยะ ( P,B ) = d โดยที่ A , B เป็นจุดตายตัวสองจุดที่แตกต่างกัน เรียกว่า จุดโฟกัส และ d เป็นค่าคงที่ ที่มีค่าน้อยกว่า ระยะ ( A
  • 6. ความเยื้อง ( Eccentricity) ค่าความเยื้อง หรือ ค่าความเบี่ยงเบนจากศูนย์กลาง ( eccentricity) ของภาคตัดกรวย เป็นค่าบ่งชี้ถึงความเบี้ยว หรือ เบี่ยงเบนไปจากความกลม โดยเมื่อความเยื้องมีค่าลดลง รูปร่างของภาคตัดกรวยที่ได้จะมีรูปร่างเข้าใกล้ทรงกลมมากขึ้น ถ้าเส้นตรง L คือไดเรกทริกซ์ และ F คือ จุดโฟกัส ค่าความเยื้อง หาได้จาก
  • 7. คือ ระยะทางจากจุด ใดๆ บนภาคตัดกรวย ไปยังจุดโฟกัส คือ ระยะทางจากจุด ใดๆ บนภาคตัดกรวย ไปตั้งฉากกับไดเรกทริกซ์ รูปร่างของภาคตัดกรวยที่ได้ ขึ้นกับค่า โดย เป็นรูปวงรี เป็นรูปพาราโบลา เป็นรูปไฮเพอร์โบลา โดยที่
  • 8.
  • 9. ภาคตัดกรวยกับเรྺาคณิตวิเคราะห์ บน ระบบพิกัด คาร์ ทีเซียน กราฟของสมการสองตัวแปร กำลังสอง ( quadratic equation) จะเป็นรูปภาคตัดกรวยเสมอ หากเราพิจารณาสมการที่อยู่ในรูป ถ้า h 2 = ab แล้ว จะได้สมการของรูป พาราโบลา ถ้า h 2 < ab และ a b และ / หรือ h 0 แล้ว จะได้สมการของรูป วงรี ถ้า h 2 > ab แล้ว จะได้สมการของรูป ไฮเพอร์โบลา ถ้า h 2 < ab and a = b and h = 0 แล้ว จะได้สมการของรูป วงกลม ถ้า a + b = 0 แล้ว จะได้สมการของรูป ไฮเพอร์โบลามุมฉาก แล้ว :
  • 11. เซมิเลตัสเรกตัม และ ระบบพิกัดเชิงขั้ว เซมิเลตัสเรกตัม ของภาคตัดกรวย ปกติเขียนแทนด้วย l คือ ระยะทางจากจุดโฟกัสหนึ่ง ไปยังภาคตัดกรวย โดยวัดตั้งฉากกับแกนหลัก ( major axis ) มีความสัมพันธ์กับ a และ b โดย หรือ ใน ระบบพิกัดเชิงขั้ว นั้น ภาคตัดกรวยที่มีจุดโฟกัสหนึ่งอยู่ที่จุดออริจิน และอีกจุดหนึ่ง ( หากมี ) บนแกน x ด้านบวก จะกำหนดโดยสมการต่อไปนี้
  • 13. คุณสมบัติทั่วไป ภาคตัดกรวยนั้นมีรูปร่างที่มนสม่ำเสมอ ไม่มี จุดเปลี่ยนโค้ง ( inflection point) ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่มีความสำคัญต่อการใช้งานหลายประเภท เช่น การใช้งานเกี่ยวกับ แอโรไดนามิกส์ ซึ่งพื้นผิวนั้นจำเป็นต้องออกแบบเพื่อให้ของไหล ไหลผ่านอย่างสม่ำเสมอ ( laminar flow) เพื่อป้องกันการเกิด การไหลทะลัก ( turbulence)
  • 14. การประยุกต์ใช้งาน ภาคตัดกรวยนั้นได้มีความสำคัญต่อ ดาราศาสตร์ โดย วงโคจรของวัตถุสองชิ้นซึ่งมี แรงดึงดูด กระทำต่อกัน ตามกฏของ นิว ตัน นั้นจะมีรูปร่างเป็นภาคตัดกรวย หาก จุดศูนย์กลางมวล ( center of mass) ร่วมของทั้งสองวัตถุนั้นอยู่นิ่ง หากทั้งสองนั้นถูกดึงดูดอยู่ด้วยกัน ทางเดินของทั้งสองนั้นจะเป็นรูปวงรี หากวัตถุทั้งสองวิ่งออกจากกัน ทางเดินจะเป็นรูปพาราโบลา หรือ ไฮเปอร์โบลา ดู ปัญหาวัตถุ N ชิ้น
  • 15. ใน เรขาคณิตเชิงภาพฉาย ( projective geometry) นั้น ภาพฉายบนระนาบ ของภาคตัดกรวยแต่ละชนิดนั้นจะเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะการฉาย หรือที่เรียกว่า การแปลงเชิงภาพฉาย ( projective transformation) สำหรับการประยุกต์ใช้งานเฉพาะของภาคตัดกรวยแต่ละชนิดนั้น ดูที่บทความ วงกลม วงรี พาราโบลา ไฮเพอร์โบลา