ݺߣ

ݺߣShare a Scribd company logo
อารยธรรมอิȨึϸย
ในการศึกษาอารยธรรมโบราณของอินเดีย สิ่งหนึ่งที่เราพบก็คือความต่อเนื่องของวัฒนธรรมอินเดียตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ดูเหมือนว่าอารยธรรมที่สำคัญ ๆ ของโลกนี้จะมีอารยธรรมอิȨึϸยและจีนเท่านั้นที่ยังคงประพฤติ ปฏิบัติกันอยู่เหมือนเช่นพันปีที่ผ่านมา ในทางตรงข้ามหากเราพิจารณาอารยธรรมเมโสโปเตเมีย อียิปต์ กรีก เราจะพบการเสื่อมสลายขาดความต่อเนื่องของอดีตกับปัจจุบันในอินเดียปัจจุบันเรายังคงเห็นและได้ยินการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่ใช้บทสวด ซึ่งเคยใช้กันมานับพันปี เรายังคงเห็นว่าประชาชนของอินเดียเคร่งครัดต่อคติ ค่านิยม หรือกฎเกณฑ์อันเนื่องมาจากการจัดระเบียบทางสังคมหรือระบบวรรณะ
กลุ่มดราวิเดียน (Dravidian) หรือฑราวิทประชากรกลุ่มนี้มีกำเนิดไม่แน่ชัดนัก อาจเกิดจากการผสมปนเปทางเชื้อชาติของชนกลุ่มแรกๆ ที่อพยพเข้ามาในอนุทวีปอินเดีย เช่นพวกออสตราลอยด์ พวกเนกริโต ฯลฯกลุ่มอารยัน หรืออินโด-อารยัน (Aryan, Indo-Aryan)ประชากรกลุ่มนี้อพยพเข้ามาสู่อนุทวีปอินเดียเมื่อประมาณ 1500 B.C. ชนกลุ่มนี้น่าจะมีถิ่นกำเนิดจากเอเชียกลาง ลักษณะทางสรีระเป็นกลุ่มคนที่มีร่างกายสูง ผิวขาว ผมหยิกหยักศก จมูกโด่งหรืออาจจะนึกภาพอย่างง่าย ๆภาษาที่คนกลุ่มนี้ใช้อยู่ก็คือ ภาษาตระกูลอารยัน ซึ่งมีภาษาที่สำคัญในตระกูลนี้อยู่ 2 กลุ่มใหญ่คือ1. ภาษาสันสกฤต2. ภาษาปรากฤต
อย่างไรก็ตามการศึกษาประวัติศาสตร์โบราณของอินเดียนั้นมิได้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง จนกระทั่งช่วงหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 19 ก่อนหน้านี้เรื่องราวของอินเดียโบราณปรากฏอยู่ในเอกสารของกรีก ซึ่งก็ปรากฏอยู่น้อยมาก ผู้ศึกษาเรื่องราวของอินเดียในยุคแรก ๆ นั้นเป็นพวกมิชชันนารี ซึ่งประสบความสำเร็จในการศึกษาไวยากรณ์ภาษาสันสกฤต แต่ก็มิได้ทำให้เข้าใจอดีตของอินเดียอย่างแท้จริง เพราะมิชชันนารีศึกษาเฉพาะสิ่งที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่เท่านั้นการศึกษาเรื่องราวของอินเดียตั้งแต่ครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 18 จนกระทั่งมาถึงต้น ๆคริสต์ศตวรรษที่ 20 นั้นส่วนใหญ่จะเป็น การศึกษา ภาษา วรรณกรรม มีการแปลวรรณกรรมสำคัญ ๆของอินเดีย เช่น ภควัตคีตา จึงทำให้ไม่ได้ภาพของอินเดียที่แท้จริง บางกรณีก็ยังเชื่อว่า อารยธรรมอิȨึϸยเริ่มต้น และเกิดขึ้นโดยชาวอารยัน
กระทั่งศตวรรษที่ 20 การขุดค้นทางโบราณคดีอย่างจริงจัง จึงเกิดขึ้น มีการจัดตั้งกองโบราณคดีโดยมี Sir John Marshall เป็นผู้อำนวยการ และหลังจากนั้นการขุดค้นอย่างมีระบบก็เกิดขึ้น ผลงานที่ยิ่งใหญ่ของกองโบราณคดีนี้ก็คือ การค้นพบอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ ในปี 1924การค้นพบอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ เป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์โบราณของอินเดียทำให้เราได้เรียนรู้ภาพของอินเดียที่แท้จริง ทำให้เราเข้าใจวัฒนธรรมของอินเดียชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะพัฒนาการด้านศาสนา ซึ่งยังคงมีอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบัน2ในที่นี้เราคงมิต้องกล่าวถึงคุณค่า ความสำคัญ ของอารยธรรมอิȨึϸยที่มีในตัวของมันเอง รวมถึงอิทธิพลของวัฒนธรรมอินเดียที่มีต่อโลก ประชาชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่างก็ซาบซึ้งต่ออิทธิพลนี้
ภูมิศาสตร์อารยธรรมอิȨึϸยได้ถือกำเนิดในดินแดนที่เรียกขานกันว่า อนุทวีปอินเดีย ซึ่งมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลกว่าประเทศอิȨึϸยในปัจจุบัน1 เราพอจะกำหนดพรมแดนธรรมชาติของอนุทวีปนี้ได้พอสังเขปดังนี้คือทิศเหนือ มีเทือกเขาหิมาลัย (The Himalayas) วางตัวทอดยาวไปยังทิศตะวันตกและตะวันออกทิศตะวันตก ทิศตะวันออก ทิศใต้ ของอนุทวีปมีทะเลเป็นพรมแดนธรรมชาติอันได้แก่ ทะเลอาหรับ อ่าวเบงกอล และมหาสมุทรอินเดียตามลำดับจากลักษณะทางธรรมชาติเช่นนี้ ทำให้ดูเหมือนว่า อินเดียนั้นอยู่อย่างโดดเดี่ยว โดยเฉพาะเทือกเขาหิมาลัยทางตอนเหนือนั้นดูเหมือนจะปิดกั้นอินเดียจากโลกภายนอก หรือแม้แต่กับเอเชียด้วยกัน
เทือกเขาทางตอนเหนือนี่เองที่เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสำคัญ 2 สาย ของอนุทวีปอินเดีย อันได้แก่แม่นํ้าสินธุ ที่อยู่ทางทิศตะวันตก และแม่น้ำคงคาทางทิศตะวันออก บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำทั้ง 2 สายนี้ก็คือศูนย์กลางของการกำเนิดอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ของอินเดีย ดังจะกล่าวต่อไปภายหน้าภายในพรมแดนธรรมชาติข้างต้นนั้น อนุทวีปอาจพอแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน คือ อินเดียเหนือและอินเดียใต้โดยมีเทือกเขาวินธัย (Vindya) เป็นเส้นแบ่ง 2 ส่วนออกจากกันทั้งสองส่วนมีความแตกต่างกันทั้งในแง่ภูมิศาสตร์ และวัฒนธรรม
เขตตะวันตกเฉียงเหนือ ดินแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือของอนุทวีปอินเดีย ปัจจุบันคือส่วนหนึ่งของประเทศปากีสถาน ซึ่งมีแม่น้ำสินธุเป็นแม่น้ำสายหลัก ประกอบไปด้วยสาขาต่าง ๆ จึงทำให้ดินแดนแถบนี้ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์เขตลุ่มแม่น้ำคงคา และสาขา ดินแดนในเขตนี้นับว่าเป็นศูนย์กลางของการกำเนิดอารยธรรมอิȨึϸย(ตามความเข้าใจโดยทั่วไป)อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นระบบการปกครอง วรรณะ ศาสนาต่างๆ ของอินเดีย ล้วนแล้วแต่ถือกำเนิดและเจริญงอกงามในเขตนี้แทบทั้งสิ้นเขตตอนใต้ หมายถึง ดินแดนที่อยู่ใต้เทือกเขาวินธัย (Vindya) ลงไป ศูนย์กลางการกำเนิดอารยธรรมทางใต้นั้น กระจัดกระจายอยู่ตามที่ราบชายฝั่งทั้งทางตะวันตกและตะวันออก เช่น แคว้นมหาราษฎร์ทางตะวันตก
ประชากรและภาษาอนุทวีปอินเดียประกอบไปด้วยประชากรหลายเผ่าพันธุ์ หลายเชื้อชาติ อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานนับตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์หรือแม้กระทั่งในสมัยประวัติศาสตร์ ก็ยังมีการอพยพเข้ามาอยู่ไม่ขาดสายจนทำให้เกิดการผสมผสานกันทางเชื้อชาติ และเผ่าพันธุ์รวมไปถึงทางวัฒนธรรมด้วย อย่างไรก็ตามก็พอจะจำแนกกลุ่มประชากรที่หลากหลายเหล่านี้ออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ซึ่งในที่นี้จะจำแนกโดยอาศัยบทบาทในการสร้างสรรค์วัฒนธรรม เรียงตามลำดับก่อนหลังโดยมิได้คำนึงถึงว่าวัฒนธรรมของผู้ใด มีความสำคัญ หรือยิ่งใหญ่กว่ากัน ดังนั้นบางกลุ่มจึงอาจจะใช้นัยทางวัฒนธรรมเป็นตัวกำหนด กลุ่มประชากร นั้น ๆ นอกเหนือจากเชื้อชาติ หรือเผ่าพันธุ์
ภาษาสันสกฤต : เป็นภาษาที่ใช้เขียนงานทางศาสนา และงานวรรณกรรมสำคัญ ๆ ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับศาสนาฮินดู เชื่อว่าภาษาสันสกฤตนี้เป็นภาษากลางของชนเผ่าอารยัน จัดว่าเป็นภาษาชั้นสูงภาษาปรากฤต : คือภาษาถิ่นต่าง ๆ ในตระกูลภาษาอารยัน เป็นภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวันซึ่งพัฒนาขึ้นและมีความสำคัญมากขึ้นตามลำดับ
ชนกลุ่มน้อย (Minorities)ชนกลุ่มน้อยในที่นี้หมายถึง เป็นชนกลุ่มน้อยทางวัฒนธรรมซึ่งอาจมีความแตกต่างจากประชากร 2 กลุ่มแรกทั้งทางวัฒนธรรมและเชื้อชาติภาษาที่ปรากฏในชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ ที่สำคัญก็คือ ภาษาอูรดู (Urdu) ซึ่งนิยมใช้ในหมู่ชาวมุสลิมในอินเดีย เชื่อกันว่าภาษาอูรดูนี้มีพัฒนาการมาจากการผสมผสานระหว่างภาษาอาหรับ ภาษาตระกูลอารยัน (น่าจะเป็นภาษาสันสกฤต) และภาษาเปอร์เซียน (ภาษาเปอร์เซียนเป็นภาษาราชการในสมัยราชวงศ์โมกุล ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม)
อารยธรรมดั้งเดิมของอนุทวีปอินเดียอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ(Indus Civilization)(C. 2550 - 1550 B.C.)
อารยธรรมนี้ มีแหล่งขุดค้นที่สำคัญอยู่ 2 แห่ง คือที่เมือง ฮารัปปา (Harappa) และเมืองโมเหนโจดาโร (MohenjoDaro) ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ Ravi ในแคว้นปัญจาบ และบนฝั่งแม่น้ำสินธุ (250 ไมล์จากปากแม่น้ำ) ตามลำดับ นอกจากนี้ก็ยังพบเมืองซึ่งอยู่ร่วมสมัยกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในเขตแคว้นปัญจาบและลุ่มน้ำสินธุซึ่งประมาณว่ามีระยะทางจากทิศเหนือลงไปทิศใต้ยาวถึง 950 ไมล์ เมืองต่าง ๆ เหล่านี้มีรูปแบบทางวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกันมาก แม้แต่อิฐดินเผาที่ใช้ในการก่อสร้างโดยปกติแล้วจะมีขนาดและรูปร่างเหมือนกัน (Basham, 1979 : 14-15)
สภาพสังคม - การปกครอง เศรษฐกิจ และความเชื่อของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุเนื่องจากอารยธรรมนี้มิได้ทิ้งหลักฐานที่เป็นตัวอักษรเอาไว้ให้ศึกษา ดังนั้นนักวิชาการจึงสร้างภาพของอารยธรรมนี้จากหลักฐานทางโบราณคดีที่ขุดค้นพบ โดยใช้การสันนิษฐานจากโบราณสถาน และโบราณวัตถุผสมผสานกับหลักทฤษฎีทางวิชาการด้านต่าง ๆ รวมไปถึงการศึกษาเปรียบเทียบกับแหล่งอารยธรรมร่วมสมัย เช่น อารยธรรมเมโสโปเตเมีย (ซึ่งมีความสัมพันธ์กับอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ)หลักฐานทางโบราณคดีนั้นมีมากมาย
สังคม - การปกครองจากการขุดค้นทางโบราณคดีทำให้เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าสังคมของอารยธรรมนี้เป็น "สังคมเมือง" (Urban Society) หรือบางแห่งอาจเรียกว่า "สังคมนาครธรรม" เหตุที่ยอมรับกันก็เนื่องจากการขุดค้นทางโบราณคดีที่ฮารัปปาและโมเหนโจ ดาโร นั้น นักโบราณคดีได้ค้นพบเมือง (City)10เมืองที่ขุดค้นพบนี้เป็นเมืองขนาดใหญ่ ประกอบด้วยบ้านเรือนสำหรับอยู่อาศัยสร้างด้วยอิฐ มีบ่อน้ำใช้ในบ้าน มีห้องน้ำ ระบบระบายน้ำ และยังมีอาคารสาธารณะขนาดใหญ่ สระน้ำขนาดใหญ่ (TheGreat Bath) ซึ่งมีขนาด 55 เมตร x 33 เมตร (Majumdar, 1976 : 17) นอกจากนี้ยังพบว่าเมืองเหล่านี้มีแบบแปลนคล้าย ๆ กัน ขนาดของบ้านเรือนมีขนาดเท่า ๆ กัน มีการวางผังเมืองอย่างเป็นระเบียบ ถนนตัดตรง กว้าง มีท่อระบายน้ำโดยภาพรวมแล้วจากซากปรักหักพังที่ขุดค้นพบ ทำให้เราสรุปได้ว่า เคยมีเมืองขนาดใหญ่ซึ่งมีประชากรหนาแน่น มีชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบาย หรูหรา รุ่งเรือง รวมไปถึงมีระบบสาธารณสุขที่ดี และอาจกล่าวได้ว่างานสถาปัตยกรรมได้บรรลุถึงความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว (Majumdar, 1976 : 18)
เศรษฐกิจนักวิชาการเชื่อว่าเศรษฐกิจของอารยธรรมนี้ขึ้นอยู่กับการค้าและเกษตรกรรม การค้าดูเหมือนว่าจะเป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญกว่าเกษตรกรรม ซึ่งมีทั้งการค้าระหว่างเมืองต่าง ๆ ในอารยธรรมเดียวกันและการค้าระหว่างอารยธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับดินแดนในแถบลุ่มแม่น้ำไทรกริส-ยูเฟรติส นักโบราณคดีค้นพบหลักฐานต่าง ๆ ที่สนับสนุนแนวคิดดังกล่าว อย่างเช่น การค้นพบเปลือกหอยทะเลในแถบลุ่มแม่น้ำสินธุ หรือการค้นพบ seal จากลุ่มแม่น้ำสินธุไปปรากฏอยู่ในดินแดนเมโสโปเตเมีย หลักฐานเหล่านี้ย่อมพิสูจน์ได้ดีว่า ดินแดนแถบชายฝั่งของอนุทวีปอินเดียและดินแดนเมโสโปเตเมีย มีการติดต่อค้าขายกับดินแดนในลุ่มแม่น้ำสินธุ การค้านี่เองเสริมให้ชนชั้นกลางมีบทบาทค่อนข้างสูงในสังคมของอารยธรรมนี้ สินค้าที่ซื้อขายแลกเปลี่ยนกันก็ได้แก่ ฝ้ายจากอินเดีย โลหะจากเมโสโปเตเมีย
ระบบความเชื่อคำอธิบายระบบความเชื่อของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุก็เช่นเดียวกับคำอธิบายในประเด็นต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว คืออาศัยการสันนิษฐานจากหลักฐานทางโบราณคดีที่ค้นพบ โดยไม่มีหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรยืนยัน ดังนั้นในที่นี้ก็สามารถอธิบายได้เพียงในบางแง่มุมเท่าที่หลักฐานจะมี ฉะนั้นจึงไม่สามารถสร้างภาพระบบความเชื่อที่สมบูรณ์ของยุคนี้ได้เหมือนกับการอธิบายภาพของศาสนาในยุคต่อ ๆ ไป
การนับถือเทพที่เป็นหญิง หรือที่เรียกกันว่า เทพมารดร (Mother Goddess) นักโบราณคดีได้ขุดค้นพบรูปปั้นดินเผาขนาดใหญ่ (22 x 8 x 5 ซ.ม.) มีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์เป็นหญิง แต่มีรูปร่างลักษณะผิดไปจากมนุษย์โดยทั่วไปการนับถือต้นไม้ จากหลักฐานทางโบราณคดี คือตราหินสบู่ เราได้พบว่ามีลวดลายเป็นรูปต้นโพธิ์ (Pipal Tree) ซึ่งอาจเชื่อได้ว่าลวดลายนี้เกี่ยวข้องกับระบบความเชื่อการใช้น้ำในการประกอบพิธีกรรม จากสระน้ำขนาดใหญ่ (The Great Bath) ที่นักโบราณคดีขุดค้นพบ ทำให้เชื่อว่าน่าจะเป็นศาสนสถานที่ประชาชนในยุคนั้นใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาบุคคลธรรมดาคงไม่สามารถเป็นเจ้าของสระน้ำขนาดใหญ่ขนาดนั้นได้การนับถือปศุบดี (Siva-Pasupati) ชื่อปศุบดีนี้เป็นฉายาของพระศิวะที่ปรากฏในยุคหลัง แต่ในสมัยอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ นักโบราณคดีได้ค้นพบตราหินสบู่สลักลวดลายเป็นรูปชายนั่งบนบัลลังก์แวดล้อมด้วยสิงห์สาราสัตว์ เช่น ช้าง เสือ แรด และควาย
การสลายตัวของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุการขุดค้นทางโบราณคดีทำให้ทราบว่าอารยธรรมนี้สลายตัวเมื่อประมาณ 1500 ปีก่อนคริสตกาล(1500 B.C.) ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ชนเผ่าอารยันเข้ามามีบทบาทอยู่ในอนุทวีป ในคัมภีร์ฤคเวทของอารยันได้กล่าวถึงอินทร เทพเจ้ารุ่นแรก ๆ ของอารยันว่าเป็นผู้ทำลายป้อม (ปุรํทร) ในตอนแรกเข้าใจกันว่าเรื่องนี้เป็นนิยายของชาวอารยัน แต่จากการขุดค้นพบเมืองโมเหนโจ ดาโร ทำให้เชื่อได้ว่าเป็นเรื่องจริงเพราะหลักฐานโบราณวัตถุได้ชี้ชัดว่า เมืองนี้ถูกทำลายโดยกลุ่มคนที่มีอาวุธที่มีประสิทธิภาพ ใช้ม้า ซึ่งในช่วงเวลา 1500 B.C. ก็คือ ชาวอารยันนั่นเอง
อารยันและพัฒนาการของอารยันในอินเดียเมื่อประมาณ 1500 ปีก่อนคริสตกาล ชนชาติหนึ่งที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเชียกลาง ได้อพยพเข้ามาสู่อนุทวีปอินเดีย โดยเข้ามาทางตะวันตกเฉียงเหนือ ผ่านช่องเขาอันทุระกันดารเข้าสู่ที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุอันอุดมสมบูรณ์ ชนชาตินั้นก็คือ ชาวอารยัน (Aryan) หรือที่นักมานุษยวิทยาเรียกว่า เชื้อชาติอินโด-ยุโรป(Indo-European) ชนชาตินี้มีลักษณะทางสรีระ วิถีชีวิต กิจกรรมทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจ แตกต่างไปจากเจ้าของดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำสินธุโดยสิ้นเชิง
มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ว่าชาวอารยันเป็นผู้ทำลายอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุลง โดยทำให้สลายตัวลงไปอย่างฉับพลัน มีผลให้อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุหายไปจากประวัติศาสตร์นับพัน ๆ ปี จนกระทั่งมีการขุดค้นพบในศตวรรษที่ 20 นี้เอง อย่างไรก็ตามแม้ว่าอารยันจะเป็นผู้ชนะในสงครามระหว่างตนกับชาวพื้นเมืองของอินเดีย (ชาวดราวิเดียน) แต่ก็มิได้หมายความว่า อารยันจะเป็นผู้ชนะในทุกด้าน ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าอารยันแตกต่างจากคนพื้นเมืองของลุ่มแม่น้ำสินธุ
วัฒนธรรมของอารยันและพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของอารยัน โดยในที่นี้จะขอบรรยายให้เห็นพัฒนาการตั้งแต่แรกที่อารยันเข้ามา โดยใช้พัฒนาการทางศาสนาเป็นหลัก แต่ในขณะเดียวกันก็จะบ่งชี้ให้เห็นถึง พัฒนาการทางสังคม การปกครอง เศรษฐกิจ ควบคู่ไปด้วย โดยจะไม่แยกหัวข้อด้านต่าง ๆ ออกมา เพื่อจะให้มองเห็นภาพโดยรวมในห้วงเวลานั้น ๆ ในคราวเดียวกัน1 โดยแบ่งออกเป็นยุคต่าง ๆ ดังนี้1. ยุคพระเวท (The period of Vedas)2. ยุคพราหมณะ (The period of Brahmanas)3. ยุคอุปนิษัท (The period of Upanisads)
การประกอบพิธีกรรมสังเวยเทพยดา หรือยัญกรรม อาจกล่าวได้ว่าหัวใจ หรือศูนย์กลางของความเชื่อในหมู่ชาวอารยันในระยะนี้อยู่ที่พิธีกรรมสังเวยเทพยดาหรือ ยัญกรรม คัมภีร์ฤคเวทกล่าวถึงการประกอบพิธีกรรมสังเวยเทพยดาว่าเป็นกิจกรรมที่ใหญ่โตหัวหน้าเผ่าและผู้มั่งคั่งของเผ่าเป็นผู้สนับสนุนการประกอบพิธีนี้ จะต้องการจัดเตรียมงานกันอย่างดี มีการฆ่าสัตว์เป็นจำนวนมากเพื่อสังเวยเทพยดา และที่ขาดไม่ได้คือจะต้องมีนักบวชที่ทรงความรู้ ความสามารถจำนวนมากเข้าร่วมกิจกรรมนี้ด้วย
ความเชื่อหลัก 3 ประการ เป็นที่ยอมรับกันว่าขณะที่อารยันอพยพเข้าสู่ลุ่มแม่น้ำคงคา ชาวอารยันได้รับอิทธิพลแนวคิดจากคนพื้นเมืองในเรื่องของชีวิตหลังความตาย หรือชีวิตหน้า เมื่อถึงเวลานี้ชาวอารยันได้พัฒนาหลักความเชื่อ-สัมสาระ-กรรม-โมกษะ
ระบบอาศรม (Asramas: The 4 stages of life )ระบบอาศรมเป็นคำอธิบายของพราหมณ์เกี่ยวกับขั้นตอนของชีวิตว่ามีสี่ส่วนหรือวัย อันได้แก่1. วัยพรหมจาริน (Brahmacharin) หรือวัยเรียน (บางแห่งเรียกวัยพรหมจรรย์)2. วัยคฤหัสถ์ (Grihastha) หรือวัยครองเรือน3. วัยวานปรัสต์ (Vanaprastha) หรือวัยอยู่ป่า4. วัยสันยาสิน (Sannyasin) หรือวัยแสวงหาความสงบ
จัดทำโดยนางสาวกิติยา เชิงหอมนางสาวจิตราพร  อาษาจิตรนางสาวนภลดา กล้าหาญนางสาวสุพรรณี งามเกลี้ยงม.5/1เสนอคุณครู สฤษดิ์ศักดิ์  ชิ้นเขมจารี

More Related Content

What's hot (19)

อารยธรรมอิȨึϸย2
อารยธรรมอิȨึϸย2อารยธรรมอิȨึϸย2
อารยธรรมอิȨึϸย2
Gain Gpk
อารยธรรมอิȨึϸย2
อารยธรรมอิȨึϸย2อารยธรรมอิȨึϸย2
อารยธรรมอิȨึϸย2
Gain Gpk
อารยธรรมอิȨึϸย
อารยธรรมอิȨึϸยอารยธรรมอิȨึϸย
อารยธรรมอิȨึϸย
Hercule Poirot
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสิȨุ(อิȨึϸย)
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสิȨุ(อิȨึϸย)อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสิȨุ(อิȨึϸย)
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสิȨุ(อิȨึϸย)
พัน พัน
004 ancient indian พัชรพร
004 ancient indian พัชรพร004 ancient indian พัชรพร
004 ancient indian พัชรพร
Aniwat Suyata
ศ ลปะอ นเด_ย
ศ ลปะอ นเด_ยศ ลปะอ นเด_ย
ศ ลปะอ นเด_ย
กมลวรรณ เกตุดำ
อารยธรรมอิȨึϸยสมัยก่อนประวัติศาตร์
อารยธรรมอิȨึϸยสมัยก่อนประวัติศาตร์อารยธรรมอิȨึϸยสมัยก่อนประวัติศาตร์
อารยธรรมอิȨึϸยสมัยก่อนประวัติศาตร์
NisachonKhaoprom
พุทธศาสนาเถรวาทใȨิน๶ึϸย
พุทธศาสนาเถรวาทใȨิน๶ึϸยพุทธศาสนาเถรวาทใȨิน๶ึϸย
พุทธศาสนาเถรวาทใȨิน๶ึϸย
Anchalee BuddhaBucha
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.1
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.1 การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.1
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.1
Noo Suthina
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ 6.1
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์  6.1การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์  6.1
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ 6.1
Noo Suthina
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
Sununtha Sukarayothin
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7 เลขที่4,10
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7 เลขที่4,10การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7 เลขที่4,10
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7 เลขที่4,10
mintmint2540
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
Noo Suthina
อารยธรรมอิȨึϸย2
อารยธรรมอิȨึϸย2อารยธรรมอิȨึϸย2
อารยธรรมอิȨึϸย2
Gain Gpk
อารยธรรมอิȨึϸย2
อารยธรรมอิȨึϸย2อารยธรรมอิȨึϸย2
อารยธรรมอิȨึϸย2
Gain Gpk
อารยธรรมอิȨึϸย
อารยธรรมอิȨึϸยอารยธรรมอิȨึϸย
อารยธรรมอิȨึϸย
Hercule Poirot
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสิȨุ(อิȨึϸย)
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสิȨุ(อิȨึϸย)อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสิȨุ(อิȨึϸย)
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสิȨุ(อิȨึϸย)
พัน พัน
004 ancient indian พัชรพร
004 ancient indian พัชรพร004 ancient indian พัชรพร
004 ancient indian พัชรพร
Aniwat Suyata
อารยธรรมอิȨึϸยสมัยก่อนประวัติศาตร์
อารยธรรมอิȨึϸยสมัยก่อนประวัติศาตร์อารยธรรมอิȨึϸยสมัยก่อนประวัติศาตร์
อารยธรรมอิȨึϸยสมัยก่อนประวัติศาตร์
NisachonKhaoprom
พุทธศาสนาเถรวาทใȨิน๶ึϸย
พุทธศาสนาเถรวาทใȨิน๶ึϸยพุทธศาสนาเถรวาทใȨิน๶ึϸย
พุทธศาสนาเถรวาทใȨิน๶ึϸย
Anchalee BuddhaBucha
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.1
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.1 การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.1
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.1
Noo Suthina
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ 6.1
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์  6.1การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์  6.1
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ 6.1
Noo Suthina
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
Sununtha Sukarayothin
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7 เลขที่4,10
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7 เลขที่4,10การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7 เลขที่4,10
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ม.6.7 เลขที่4,10
mintmint2540
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
Noo Suthina

More from SRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL (20)

Is
IsIs
Is
SRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
นายคงศักดิ์ สงสุรีย์
นายคงศักดิ์ สงสุรีย์นายคงศักดิ์ สงสุรีย์
นายคงศักดิ์ สงสุรีย์
SRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
ปวีณ์ธิดา สีหวาด
ปวีณ์ธิดา สีหวาดปวีณ์ธิดา สีหวาด
ปวีณ์ธิดา สีหวาด
SRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
จารุวรรณ ลำพองชาติ
จารุวรรณ ลำพองชาติจารุวรรณ ลำพองชาติ
จารุวรรณ ลำพองชาติ
SRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
มิ้น
มิ้นมิ้น
มิ้น
SRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
๶ตชินท์ประเทศอัฟกานิสถาน
๶ตชินท์ประเทศอัฟกานิสถาน๶ตชินท์ประเทศอัฟกานิสถาน
๶ตชินท์ประเทศอัฟกานิสถาน
SRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
ประเทศบังกลา๶ทศ
ประเทศบังกลา๶ทศประเทศบังกลา๶ทศ
ประเทศบังกลา๶ทศ
SRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
อา๶ซอร์ไบจาน
อา๶ซอร์ไบจานอา๶ซอร์ไบจาน
อา๶ซอร์ไบจาน
SRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
คองโก
คองโกคองโก
คองโก
SRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
Is1
Is1Is1
Is1
SRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
ตุรกี
ตุรกีตุรกี
ตุรกี
SRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
มัลดีฟ
มัลดีฟมัลดีฟ
มัลดีฟ
SRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
อาร์๶มเȨย
อาร์๶มเȨยอาร์๶มเȨย
อาร์๶มเȨย
SRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
นางสาวนภาพร คำภักดี เลขที่19 รัฐสุลต่านโอมาน
นางสาวนภาพร คำภักดี เลขที่19 รัฐสุลต่านโอมานนางสาวนภาพร คำภักดี เลขที่19 รัฐสุลต่านโอมาน
นางสาวนภาพร คำภักดี เลขที่19 รัฐสุลต่านโอมาน
SRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
สอบกลางภาค
สอบกลางภาคสอบกลางภาค
สอบกลางภาค
SRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
สอบกลางภาคIs ธิรดา-น้อยเสนา
สอบกลางภาคIs ธิรดา-น้อยเสนาสอบกลางภาคIs ธิรดา-น้อยเสนา
สอบกลางภาคIs ธิรดา-น้อยเสนา
SRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
จิราภา ธรรมรักษ์
จิราภา ธรรมรักษ์จิราภา ธรรมรักษ์
จิราภา ธรรมรักษ์
SRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
กลางภาค
กลางภาคกลางภาค
กลางภาค
SRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
๶ตชินท์ประเทศอัฟกานิสถาน
๶ตชินท์ประเทศอัฟกานิสถาน๶ตชินท์ประเทศอัฟกานิสถาน
๶ตชินท์ประเทศอัฟกานิสถาน
SRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
นางสาวนภาพร คำภักดี เลขที่19 รัฐสุลต่านโอมาน
นางสาวนภาพร คำภักดี เลขที่19 รัฐสุลต่านโอมานนางสาวนภาพร คำภักดี เลขที่19 รัฐสุลต่านโอมาน
นางสาวนภาพร คำภักดี เลขที่19 รัฐสุลต่านโอมาน
SRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL
สอบกลางภาคIs ธิรดา-น้อยเสนา
สอบกลางภาคIs ธิรดา-น้อยเสนาสอบกลางภาคIs ธิรดา-น้อยเสนา
สอบกลางภาคIs ธิรดา-น้อยเสนา
SRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL

อารยธรรมอิȨึϸย

  • 2. ในการศึกษาอารยธรรมโบราณของอินเดีย สิ่งหนึ่งที่เราพบก็คือความต่อเนื่องของวัฒนธรรมอินเดียตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ดูเหมือนว่าอารยธรรมที่สำคัญ ๆ ของโลกนี้จะมีอารยธรรมอิȨึϸยและจีนเท่านั้นที่ยังคงประพฤติ ปฏิบัติกันอยู่เหมือนเช่นพันปีที่ผ่านมา ในทางตรงข้ามหากเราพิจารณาอารยธรรมเมโสโปเตเมีย อียิปต์ กรีก เราจะพบการเสื่อมสลายขาดความต่อเนื่องของอดีตกับปัจจุบันในอินเดียปัจจุบันเรายังคงเห็นและได้ยินการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่ใช้บทสวด ซึ่งเคยใช้กันมานับพันปี เรายังคงเห็นว่าประชาชนของอินเดียเคร่งครัดต่อคติ ค่านิยม หรือกฎเกณฑ์อันเนื่องมาจากการจัดระเบียบทางสังคมหรือระบบวรรณะ
  • 3. กลุ่มดราวิเดียน (Dravidian) หรือฑราวิทประชากรกลุ่มนี้มีกำเนิดไม่แน่ชัดนัก อาจเกิดจากการผสมปนเปทางเชื้อชาติของชนกลุ่มแรกๆ ที่อพยพเข้ามาในอนุทวีปอินเดีย เช่นพวกออสตราลอยด์ พวกเนกริโต ฯลฯกลุ่มอารยัน หรืออินโด-อารยัน (Aryan, Indo-Aryan)ประชากรกลุ่มนี้อพยพเข้ามาสู่อนุทวีปอินเดียเมื่อประมาณ 1500 B.C. ชนกลุ่มนี้น่าจะมีถิ่นกำเนิดจากเอเชียกลาง ลักษณะทางสรีระเป็นกลุ่มคนที่มีร่างกายสูง ผิวขาว ผมหยิกหยักศก จมูกโด่งหรืออาจจะนึกภาพอย่างง่าย ๆภาษาที่คนกลุ่มนี้ใช้อยู่ก็คือ ภาษาตระกูลอารยัน ซึ่งมีภาษาที่สำคัญในตระกูลนี้อยู่ 2 กลุ่มใหญ่คือ1. ภาษาสันสกฤต2. ภาษาปรากฤต
  • 4. อย่างไรก็ตามการศึกษาประวัติศาสตร์โบราณของอินเดียนั้นมิได้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง จนกระทั่งช่วงหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 19 ก่อนหน้านี้เรื่องราวของอินเดียโบราณปรากฏอยู่ในเอกสารของกรีก ซึ่งก็ปรากฏอยู่น้อยมาก ผู้ศึกษาเรื่องราวของอินเดียในยุคแรก ๆ นั้นเป็นพวกมิชชันนารี ซึ่งประสบความสำเร็จในการศึกษาไวยากรณ์ภาษาสันสกฤต แต่ก็มิได้ทำให้เข้าใจอดีตของอินเดียอย่างแท้จริง เพราะมิชชันนารีศึกษาเฉพาะสิ่งที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่เท่านั้นการศึกษาเรื่องราวของอินเดียตั้งแต่ครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 18 จนกระทั่งมาถึงต้น ๆคริสต์ศตวรรษที่ 20 นั้นส่วนใหญ่จะเป็น การศึกษา ภาษา วรรณกรรม มีการแปลวรรณกรรมสำคัญ ๆของอินเดีย เช่น ภควัตคีตา จึงทำให้ไม่ได้ภาพของอินเดียที่แท้จริง บางกรณีก็ยังเชื่อว่า อารยธรรมอิȨึϸยเริ่มต้น และเกิดขึ้นโดยชาวอารยัน
  • 5. กระทั่งศตวรรษที่ 20 การขุดค้นทางโบราณคดีอย่างจริงจัง จึงเกิดขึ้น มีการจัดตั้งกองโบราณคดีโดยมี Sir John Marshall เป็นผู้อำนวยการ และหลังจากนั้นการขุดค้นอย่างมีระบบก็เกิดขึ้น ผลงานที่ยิ่งใหญ่ของกองโบราณคดีนี้ก็คือ การค้นพบอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ ในปี 1924การค้นพบอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ เป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์โบราณของอินเดียทำให้เราได้เรียนรู้ภาพของอินเดียที่แท้จริง ทำให้เราเข้าใจวัฒนธรรมของอินเดียชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะพัฒนาการด้านศาสนา ซึ่งยังคงมีอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบัน2ในที่นี้เราคงมิต้องกล่าวถึงคุณค่า ความสำคัญ ของอารยธรรมอิȨึϸยที่มีในตัวของมันเอง รวมถึงอิทธิพลของวัฒนธรรมอินเดียที่มีต่อโลก ประชาชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่างก็ซาบซึ้งต่ออิทธิพลนี้
  • 6. ภูมิศาสตร์อารยธรรมอิȨึϸยได้ถือกำเนิดในดินแดนที่เรียกขานกันว่า อนุทวีปอินเดีย ซึ่งมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลกว่าประเทศอิȨึϸยในปัจจุบัน1 เราพอจะกำหนดพรมแดนธรรมชาติของอนุทวีปนี้ได้พอสังเขปดังนี้คือทิศเหนือ มีเทือกเขาหิมาลัย (The Himalayas) วางตัวทอดยาวไปยังทิศตะวันตกและตะวันออกทิศตะวันตก ทิศตะวันออก ทิศใต้ ของอนุทวีปมีทะเลเป็นพรมแดนธรรมชาติอันได้แก่ ทะเลอาหรับ อ่าวเบงกอล และมหาสมุทรอินเดียตามลำดับจากลักษณะทางธรรมชาติเช่นนี้ ทำให้ดูเหมือนว่า อินเดียนั้นอยู่อย่างโดดเดี่ยว โดยเฉพาะเทือกเขาหิมาลัยทางตอนเหนือนั้นดูเหมือนจะปิดกั้นอินเดียจากโลกภายนอก หรือแม้แต่กับเอเชียด้วยกัน
  • 7. เทือกเขาทางตอนเหนือนี่เองที่เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสำคัญ 2 สาย ของอนุทวีปอินเดีย อันได้แก่แม่นํ้าสินธุ ที่อยู่ทางทิศตะวันตก และแม่น้ำคงคาทางทิศตะวันออก บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำทั้ง 2 สายนี้ก็คือศูนย์กลางของการกำเนิดอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ของอินเดีย ดังจะกล่าวต่อไปภายหน้าภายในพรมแดนธรรมชาติข้างต้นนั้น อนุทวีปอาจพอแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน คือ อินเดียเหนือและอินเดียใต้โดยมีเทือกเขาวินธัย (Vindya) เป็นเส้นแบ่ง 2 ส่วนออกจากกันทั้งสองส่วนมีความแตกต่างกันทั้งในแง่ภูมิศาสตร์ และวัฒนธรรม
  • 8. เขตตะวันตกเฉียงเหนือ ดินแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือของอนุทวีปอินเดีย ปัจจุบันคือส่วนหนึ่งของประเทศปากีสถาน ซึ่งมีแม่น้ำสินธุเป็นแม่น้ำสายหลัก ประกอบไปด้วยสาขาต่าง ๆ จึงทำให้ดินแดนแถบนี้ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์เขตลุ่มแม่น้ำคงคา และสาขา ดินแดนในเขตนี้นับว่าเป็นศูนย์กลางของการกำเนิดอารยธรรมอิȨึϸย(ตามความเข้าใจโดยทั่วไป)อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นระบบการปกครอง วรรณะ ศาสนาต่างๆ ของอินเดีย ล้วนแล้วแต่ถือกำเนิดและเจริญงอกงามในเขตนี้แทบทั้งสิ้นเขตตอนใต้ หมายถึง ดินแดนที่อยู่ใต้เทือกเขาวินธัย (Vindya) ลงไป ศูนย์กลางการกำเนิดอารยธรรมทางใต้นั้น กระจัดกระจายอยู่ตามที่ราบชายฝั่งทั้งทางตะวันตกและตะวันออก เช่น แคว้นมหาราษฎร์ทางตะวันตก
  • 9. ประชากรและภาษาอนุทวีปอินเดียประกอบไปด้วยประชากรหลายเผ่าพันธุ์ หลายเชื้อชาติ อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานนับตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์หรือแม้กระทั่งในสมัยประวัติศาสตร์ ก็ยังมีการอพยพเข้ามาอยู่ไม่ขาดสายจนทำให้เกิดการผสมผสานกันทางเชื้อชาติ และเผ่าพันธุ์รวมไปถึงทางวัฒนธรรมด้วย อย่างไรก็ตามก็พอจะจำแนกกลุ่มประชากรที่หลากหลายเหล่านี้ออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ซึ่งในที่นี้จะจำแนกโดยอาศัยบทบาทในการสร้างสรรค์วัฒนธรรม เรียงตามลำดับก่อนหลังโดยมิได้คำนึงถึงว่าวัฒนธรรมของผู้ใด มีความสำคัญ หรือยิ่งใหญ่กว่ากัน ดังนั้นบางกลุ่มจึงอาจจะใช้นัยทางวัฒนธรรมเป็นตัวกำหนด กลุ่มประชากร นั้น ๆ นอกเหนือจากเชื้อชาติ หรือเผ่าพันธุ์
  • 10. ภาษาสันสกฤต : เป็นภาษาที่ใช้เขียนงานทางศาสนา และงานวรรณกรรมสำคัญ ๆ ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับศาสนาฮินดู เชื่อว่าภาษาสันสกฤตนี้เป็นภาษากลางของชนเผ่าอารยัน จัดว่าเป็นภาษาชั้นสูงภาษาปรากฤต : คือภาษาถิ่นต่าง ๆ ในตระกูลภาษาอารยัน เป็นภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวันซึ่งพัฒนาขึ้นและมีความสำคัญมากขึ้นตามลำดับ
  • 11. ชนกลุ่มน้อย (Minorities)ชนกลุ่มน้อยในที่นี้หมายถึง เป็นชนกลุ่มน้อยทางวัฒนธรรมซึ่งอาจมีความแตกต่างจากประชากร 2 กลุ่มแรกทั้งทางวัฒนธรรมและเชื้อชาติภาษาที่ปรากฏในชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ ที่สำคัญก็คือ ภาษาอูรดู (Urdu) ซึ่งนิยมใช้ในหมู่ชาวมุสลิมในอินเดีย เชื่อกันว่าภาษาอูรดูนี้มีพัฒนาการมาจากการผสมผสานระหว่างภาษาอาหรับ ภาษาตระกูลอารยัน (น่าจะเป็นภาษาสันสกฤต) และภาษาเปอร์เซียน (ภาษาเปอร์เซียนเป็นภาษาราชการในสมัยราชวงศ์โมกุล ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม)
  • 13. อารยธรรมนี้ มีแหล่งขุดค้นที่สำคัญอยู่ 2 แห่ง คือที่เมือง ฮารัปปา (Harappa) และเมืองโมเหนโจดาโร (MohenjoDaro) ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ Ravi ในแคว้นปัญจาบ และบนฝั่งแม่น้ำสินธุ (250 ไมล์จากปากแม่น้ำ) ตามลำดับ นอกจากนี้ก็ยังพบเมืองซึ่งอยู่ร่วมสมัยกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในเขตแคว้นปัญจาบและลุ่มน้ำสินธุซึ่งประมาณว่ามีระยะทางจากทิศเหนือลงไปทิศใต้ยาวถึง 950 ไมล์ เมืองต่าง ๆ เหล่านี้มีรูปแบบทางวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกันมาก แม้แต่อิฐดินเผาที่ใช้ในการก่อสร้างโดยปกติแล้วจะมีขนาดและรูปร่างเหมือนกัน (Basham, 1979 : 14-15)
  • 14. สภาพสังคม - การปกครอง เศรษฐกิจ และความเชื่อของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุเนื่องจากอารยธรรมนี้มิได้ทิ้งหลักฐานที่เป็นตัวอักษรเอาไว้ให้ศึกษา ดังนั้นนักวิชาการจึงสร้างภาพของอารยธรรมนี้จากหลักฐานทางโบราณคดีที่ขุดค้นพบ โดยใช้การสันนิษฐานจากโบราณสถาน และโบราณวัตถุผสมผสานกับหลักทฤษฎีทางวิชาการด้านต่าง ๆ รวมไปถึงการศึกษาเปรียบเทียบกับแหล่งอารยธรรมร่วมสมัย เช่น อารยธรรมเมโสโปเตเมีย (ซึ่งมีความสัมพันธ์กับอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ)หลักฐานทางโบราณคดีนั้นมีมากมาย
  • 15. สังคม - การปกครองจากการขุดค้นทางโบราณคดีทำให้เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าสังคมของอารยธรรมนี้เป็น "สังคมเมือง" (Urban Society) หรือบางแห่งอาจเรียกว่า "สังคมนาครธรรม" เหตุที่ยอมรับกันก็เนื่องจากการขุดค้นทางโบราณคดีที่ฮารัปปาและโมเหนโจ ดาโร นั้น นักโบราณคดีได้ค้นพบเมือง (City)10เมืองที่ขุดค้นพบนี้เป็นเมืองขนาดใหญ่ ประกอบด้วยบ้านเรือนสำหรับอยู่อาศัยสร้างด้วยอิฐ มีบ่อน้ำใช้ในบ้าน มีห้องน้ำ ระบบระบายน้ำ และยังมีอาคารสาธารณะขนาดใหญ่ สระน้ำขนาดใหญ่ (TheGreat Bath) ซึ่งมีขนาด 55 เมตร x 33 เมตร (Majumdar, 1976 : 17) นอกจากนี้ยังพบว่าเมืองเหล่านี้มีแบบแปลนคล้าย ๆ กัน ขนาดของบ้านเรือนมีขนาดเท่า ๆ กัน มีการวางผังเมืองอย่างเป็นระเบียบ ถนนตัดตรง กว้าง มีท่อระบายน้ำโดยภาพรวมแล้วจากซากปรักหักพังที่ขุดค้นพบ ทำให้เราสรุปได้ว่า เคยมีเมืองขนาดใหญ่ซึ่งมีประชากรหนาแน่น มีชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบาย หรูหรา รุ่งเรือง รวมไปถึงมีระบบสาธารณสุขที่ดี และอาจกล่าวได้ว่างานสถาปัตยกรรมได้บรรลุถึงความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว (Majumdar, 1976 : 18)
  • 16. เศรษฐกิจนักวิชาการเชื่อว่าเศรษฐกิจของอารยธรรมนี้ขึ้นอยู่กับการค้าและเกษตรกรรม การค้าดูเหมือนว่าจะเป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญกว่าเกษตรกรรม ซึ่งมีทั้งการค้าระหว่างเมืองต่าง ๆ ในอารยธรรมเดียวกันและการค้าระหว่างอารยธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับดินแดนในแถบลุ่มแม่น้ำไทรกริส-ยูเฟรติส นักโบราณคดีค้นพบหลักฐานต่าง ๆ ที่สนับสนุนแนวคิดดังกล่าว อย่างเช่น การค้นพบเปลือกหอยทะเลในแถบลุ่มแม่น้ำสินธุ หรือการค้นพบ seal จากลุ่มแม่น้ำสินธุไปปรากฏอยู่ในดินแดนเมโสโปเตเมีย หลักฐานเหล่านี้ย่อมพิสูจน์ได้ดีว่า ดินแดนแถบชายฝั่งของอนุทวีปอินเดียและดินแดนเมโสโปเตเมีย มีการติดต่อค้าขายกับดินแดนในลุ่มแม่น้ำสินธุ การค้านี่เองเสริมให้ชนชั้นกลางมีบทบาทค่อนข้างสูงในสังคมของอารยธรรมนี้ สินค้าที่ซื้อขายแลกเปลี่ยนกันก็ได้แก่ ฝ้ายจากอินเดีย โลหะจากเมโสโปเตเมีย
  • 17. ระบบความเชื่อคำอธิบายระบบความเชื่อของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุก็เช่นเดียวกับคำอธิบายในประเด็นต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว คืออาศัยการสันนิษฐานจากหลักฐานทางโบราณคดีที่ค้นพบ โดยไม่มีหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรยืนยัน ดังนั้นในที่นี้ก็สามารถอธิบายได้เพียงในบางแง่มุมเท่าที่หลักฐานจะมี ฉะนั้นจึงไม่สามารถสร้างภาพระบบความเชื่อที่สมบูรณ์ของยุคนี้ได้เหมือนกับการอธิบายภาพของศาสนาในยุคต่อ ๆ ไป
  • 18. การนับถือเทพที่เป็นหญิง หรือที่เรียกกันว่า เทพมารดร (Mother Goddess) นักโบราณคดีได้ขุดค้นพบรูปปั้นดินเผาขนาดใหญ่ (22 x 8 x 5 ซ.ม.) มีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์เป็นหญิง แต่มีรูปร่างลักษณะผิดไปจากมนุษย์โดยทั่วไปการนับถือต้นไม้ จากหลักฐานทางโบราณคดี คือตราหินสบู่ เราได้พบว่ามีลวดลายเป็นรูปต้นโพธิ์ (Pipal Tree) ซึ่งอาจเชื่อได้ว่าลวดลายนี้เกี่ยวข้องกับระบบความเชื่อการใช้น้ำในการประกอบพิธีกรรม จากสระน้ำขนาดใหญ่ (The Great Bath) ที่นักโบราณคดีขุดค้นพบ ทำให้เชื่อว่าน่าจะเป็นศาสนสถานที่ประชาชนในยุคนั้นใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาบุคคลธรรมดาคงไม่สามารถเป็นเจ้าของสระน้ำขนาดใหญ่ขนาดนั้นได้การนับถือปศุบดี (Siva-Pasupati) ชื่อปศุบดีนี้เป็นฉายาของพระศิวะที่ปรากฏในยุคหลัง แต่ในสมัยอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ นักโบราณคดีได้ค้นพบตราหินสบู่สลักลวดลายเป็นรูปชายนั่งบนบัลลังก์แวดล้อมด้วยสิงห์สาราสัตว์ เช่น ช้าง เสือ แรด และควาย
  • 19. การสลายตัวของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุการขุดค้นทางโบราณคดีทำให้ทราบว่าอารยธรรมนี้สลายตัวเมื่อประมาณ 1500 ปีก่อนคริสตกาล(1500 B.C.) ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ชนเผ่าอารยันเข้ามามีบทบาทอยู่ในอนุทวีป ในคัมภีร์ฤคเวทของอารยันได้กล่าวถึงอินทร เทพเจ้ารุ่นแรก ๆ ของอารยันว่าเป็นผู้ทำลายป้อม (ปุรํทร) ในตอนแรกเข้าใจกันว่าเรื่องนี้เป็นนิยายของชาวอารยัน แต่จากการขุดค้นพบเมืองโมเหนโจ ดาโร ทำให้เชื่อได้ว่าเป็นเรื่องจริงเพราะหลักฐานโบราณวัตถุได้ชี้ชัดว่า เมืองนี้ถูกทำลายโดยกลุ่มคนที่มีอาวุธที่มีประสิทธิภาพ ใช้ม้า ซึ่งในช่วงเวลา 1500 B.C. ก็คือ ชาวอารยันนั่นเอง
  • 20. อารยันและพัฒนาการของอารยันในอินเดียเมื่อประมาณ 1500 ปีก่อนคริสตกาล ชนชาติหนึ่งที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเชียกลาง ได้อพยพเข้ามาสู่อนุทวีปอินเดีย โดยเข้ามาทางตะวันตกเฉียงเหนือ ผ่านช่องเขาอันทุระกันดารเข้าสู่ที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุอันอุดมสมบูรณ์ ชนชาตินั้นก็คือ ชาวอารยัน (Aryan) หรือที่นักมานุษยวิทยาเรียกว่า เชื้อชาติอินโด-ยุโรป(Indo-European) ชนชาตินี้มีลักษณะทางสรีระ วิถีชีวิต กิจกรรมทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจ แตกต่างไปจากเจ้าของดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำสินธุโดยสิ้นเชิง
  • 21. มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ว่าชาวอารยันเป็นผู้ทำลายอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุลง โดยทำให้สลายตัวลงไปอย่างฉับพลัน มีผลให้อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุหายไปจากประวัติศาสตร์นับพัน ๆ ปี จนกระทั่งมีการขุดค้นพบในศตวรรษที่ 20 นี้เอง อย่างไรก็ตามแม้ว่าอารยันจะเป็นผู้ชนะในสงครามระหว่างตนกับชาวพื้นเมืองของอินเดีย (ชาวดราวิเดียน) แต่ก็มิได้หมายความว่า อารยันจะเป็นผู้ชนะในทุกด้าน ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าอารยันแตกต่างจากคนพื้นเมืองของลุ่มแม่น้ำสินธุ
  • 22. วัฒนธรรมของอารยันและพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของอารยัน โดยในที่นี้จะขอบรรยายให้เห็นพัฒนาการตั้งแต่แรกที่อารยันเข้ามา โดยใช้พัฒนาการทางศาสนาเป็นหลัก แต่ในขณะเดียวกันก็จะบ่งชี้ให้เห็นถึง พัฒนาการทางสังคม การปกครอง เศรษฐกิจ ควบคู่ไปด้วย โดยจะไม่แยกหัวข้อด้านต่าง ๆ ออกมา เพื่อจะให้มองเห็นภาพโดยรวมในห้วงเวลานั้น ๆ ในคราวเดียวกัน1 โดยแบ่งออกเป็นยุคต่าง ๆ ดังนี้1. ยุคพระเวท (The period of Vedas)2. ยุคพราหมณะ (The period of Brahmanas)3. ยุคอุปนิษัท (The period of Upanisads)
  • 23. การประกอบพิธีกรรมสังเวยเทพยดา หรือยัญกรรม อาจกล่าวได้ว่าหัวใจ หรือศูนย์กลางของความเชื่อในหมู่ชาวอารยันในระยะนี้อยู่ที่พิธีกรรมสังเวยเทพยดาหรือ ยัญกรรม คัมภีร์ฤคเวทกล่าวถึงการประกอบพิธีกรรมสังเวยเทพยดาว่าเป็นกิจกรรมที่ใหญ่โตหัวหน้าเผ่าและผู้มั่งคั่งของเผ่าเป็นผู้สนับสนุนการประกอบพิธีนี้ จะต้องการจัดเตรียมงานกันอย่างดี มีการฆ่าสัตว์เป็นจำนวนมากเพื่อสังเวยเทพยดา และที่ขาดไม่ได้คือจะต้องมีนักบวชที่ทรงความรู้ ความสามารถจำนวนมากเข้าร่วมกิจกรรมนี้ด้วย
  • 24. ความเชื่อหลัก 3 ประการ เป็นที่ยอมรับกันว่าขณะที่อารยันอพยพเข้าสู่ลุ่มแม่น้ำคงคา ชาวอารยันได้รับอิทธิพลแนวคิดจากคนพื้นเมืองในเรื่องของชีวิตหลังความตาย หรือชีวิตหน้า เมื่อถึงเวลานี้ชาวอารยันได้พัฒนาหลักความเชื่อ-สัมสาระ-กรรม-โมกษะ
  • 25. ระบบอาศรม (Asramas: The 4 stages of life )ระบบอาศรมเป็นคำอธิบายของพราหมณ์เกี่ยวกับขั้นตอนของชีวิตว่ามีสี่ส่วนหรือวัย อันได้แก่1. วัยพรหมจาริน (Brahmacharin) หรือวัยเรียน (บางแห่งเรียกวัยพรหมจรรย์)2. วัยคฤหัสถ์ (Grihastha) หรือวัยครองเรือน3. วัยวานปรัสต์ (Vanaprastha) หรือวัยอยู่ป่า4. วัยสันยาสิน (Sannyasin) หรือวัยแสวงหาความสงบ
  • 26. จัดทำโดยนางสาวกิติยา เชิงหอมนางสาวจิตราพร อาษาจิตรนางสาวนภลดา กล้าหาญนางสาวสุพรรณี งามเกลี้ยงม.5/1เสนอคุณครู สฤษดิ์ศักดิ์ ชิ้นเขมจารี